วันนี้แล้วสิที่เราทั้งสามจะต้องกลับมาตุภูมิประเทศไทยกันแล้ว เราทั้งสองเตรียมตื่นแต่เช้าเพื่อต้องการไป Kathmandu Durbar Square ก่อนที่จะบินกลับไปไทย เพราะเที่ยวบินจะออกจากกาฐมาณฑุช่วงบ่ายๆ เรายังพอมีเวลาเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ย่านทาเมลไม่เกิน 2 กม.
ออกจากห้องก็ได้เจอกับกระดาษโน้ตที่กอล์ฟเขียนบอกว่า วันนี้ช่วงเช้าคงไม่ได้ไปด้วยเพราะอยากนอนพักผ่อนเพิ่ม ไม่สบายนิดหน่อย เราทั้งสองเลยต้องไปกันเพียงสองคน โปรแกรมของวันนี้ก็คงมีเท่านี้ แต่ก่อนจะไปเราแวะซื้อของฝากเล็กๆน้อยที่ร้านขายขนมใกล้ๆที่พัก แล้วก็เรียกแท็กซี่ไปได้เลย ครั้งนี้เรารู้ว่าไปไม่ไกลเลยต่อรองราคาเหลือแค่ 100 Rs. เท่านั้น ซึ่งโชเฟอร์ก็ยอมโดยดี เสร็จจากเที่ยวชมจตุรัสเดอบาร์กาฐมาณฑุแล้วก็จะกลับมาเก็บข้าวของอีกครั้งที่โรงแรมแล้วค่อยเรียกแท็กซี่ไปส่งที่สนามบินตรีภูวันไม่ให้เกิน 11:30 น.เพื่อเช็คอินขึ้นเครื่องการบินไทยกลับบ้านต่อไป
เราเดินไปหาซื้อของฝากตามร้านขายของใกล้ๆกันก่อน ต่อจากนั้นเราก็เดินเข้าไปร้านเบเกอรี่เพื่อหาอะไรรองท้องทานกัน มื้อเช้าวันนี้ไม่ทานอาหารหนักๆกันแล้ว ขอเปลี่ยนเป็นเค้กอร่อยๆกับกาแฟสดคาปูชิโนร้อนละกัน
พอทานขนมเค้กกับกาแฟเป็นอาหารมื้อเช้าเสร็จเราก็เดินทางต่อโดยว่าแท็กซี่ไป Kathmandu Durbar Square ซึ่งไม่ไกลจากย่านที่เราพักจริงๆ รถแท็กซี่พาเราลัดเลาะไปตามซอกของตึกอย่างชำนิชำนาญจนมาถึงยังจตุรัสเดอบาร์ของเมืองหลวงเนปาลจนได้ ภาพแรกที่เห็นคือผู้คนเดินกันขวักไขว่ บ้างก็นั่งอยู่ตามบันไดเพื่อมาคุยพบปะกันยามเช้า หรือไม่ก็มาถ่ายรูปซึ่งจะมีเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างแดนอย่างเราเท่านั้น
วิหารนี้คงเป็น Shiva-Parvati Temple เนื่องจากสังเกตเห็นตรงที่มีรูปปั้น ของ พระศิวะและพระนางภาวตี พระมเหสี อยู่บนชั้นสองของวิหาร
ดูกันใกล้ๆกับรูปปั้นของพระศิวะและพระนางภาวตีพระมเหสี สังเกตที่มือซ้ายของพระศิวะ สายตาทั้งคู่จ้องมองลงมายังด้านล่าง
มองกลับมาอีกด้านก็จะเป็น Kumari Temple ซึ่งจะเป็นที่ประทับของกุมารีเทพเจ้าที่ยังมีชีวิต
ประวัติเกี่ยวกับการคัดเลือกกุมารี
==========
การคัดเลือกกุมารี จะคัดเลือกเด็กหญิงที่มีอายุราว 4-5 ปี ที่มี ลักษณะทางกายภาพถูกต้อง 32 ประการ อาทิ สีตา รูปร่างลักษณะฟัน เสียง วัน เดือนปีเกิด เป็นต้น
เมื่อพบก็นำเด็กเหล่านั้นมาอยู่รวมกันในห้องมืด แล้วทำเสียงตีกลอง โห่ร้องให้ดูน่ากลัว ถ้าเด็กคนไหนร้องไห้ก็จะถูกคัดออกเป็นมีสปิ๋วไป จากนั้นก็จะให้เลือกข้าวของเครื่องใช้ของกุมารีคนก่อน ถ้าเลือกได้ ถูกต้องจึงจะได้เป็นกุมารี เมื่อได้รับเลือกเป็นกุมารีแล้ว กุมารีและครอบครัวก็จะอพยพเข้าไป อาศัยใน Kumari Bahal และกุมารีจะไม่สามารถออกนอกอาคารบริเวณนี้ได้ กุมารีจะออกมาให้ผู้คนได้ยลโฉมเฉพาะในเทศกาลที่สำคัญเท่านั้น เช่น เทศกาล Indra Jatra Festival (เดือนกันยายน-ตุลาคม)
การเป็นกุมารี จะเป็นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีระดูหรือประสบอุบัติเหตุที่ต้องสูญเสียเลือด ก็จะต้องมีพิธีเลือกกุมารีคนถัดไป
ซูมไปดูกันใกล้ๆครับ
เราเข้าไปถามกับเจ้าหน้าที่ว่าจะสามารถชมพระพักตร์ของกุมารีได้หรือไม่ โชคดีที่เราได้รับคำตอบว่า กุมารีจะออกมาปรากฎตัวตอนช่วงสิบโมงเป็นต้นไปให้มารอชื่นชมได้ ซึ่งเราโชคดีเพราะจะเป็นโอกาสเดียวที่เรามาที่เนปาลแล้วได้ชม
รอ...รอ...รอ... เมื่อใกล้เวลาทางไกด์จะมาบอกก่อนที่กุมารีปรากฎตัวว่า เมื่อกุมารีปรากฎตัวที่หน้าต่างด้านบนให้พูดคำว่า "นมัสเต" และขอความร่วมมือห้ามถ่ายรูปซึ่งนักท่องเที่ยวทุกท่านก็ให้ความร่วมมือกันอย่างดีรวมทั้งตัวผมด้วย ในที่สุดวินาทีที่เรารอคอยก็มาถึง เราก็ได้เห็นกุมารีปรากฎตัวที่หน้าต่างด้านบนชั้นสามพร้อมๆกับเสียงกล่าว "นมัสเต" ดังกันอย่างพร้อมพรั่ง ไกด์คนหนึ่งได้กล่าวกับกุมารีว่า "Smile" ซึ่งสักพักกุมารีก็ยิ้ม ช่างเป็นยิ้มที่น่ารักจริงๆ สักพักกุมารีก็กลับเข้าด้านใน โดยนับเวลาที่ปรากฎตัวเพียงไม่เกิน 10 วินาทีเห็นจะได้ ทริปนี้เราคงโชคดีมากๆ แม้ไม่ได้ถ่ายรูปแต่เราก็เก็บไว้ในความทรงจำของเราทั้งสอง
เดินออกมาด้านนอกก็เดินชมผู้คนชาวเนปาลไปเรื่อย ตรงจุดนี้จะมีชาวเนปาลมายืนรออ่านหนังสือพิมพ์กันอยู่หลายคน
ขนมสีสันน่าทานขายอยู่ร้านข้างๆ
ถั่วชนิดต่างๆซึ่งเป็นผลิตผลทางการเกษตรของชาวเนปาลเขา วางขายอยู่บริเวณจัตุรัสแห่งนี้
อีกมุมหนึ่ง
เดินอ้อมมาตรงจุดนี้ นกพิราบเยอะมากๆ แถมยังมีวัว 4-5 ตัวยืนหาอาหารอีกด้วย วัวถือเป็นพาหนะของพระศิวะตามความเชื่อของศาสนาฮินดู
และแล้วก็เจอกับฤาษีตนนี้ ขนาดผมแอบถ่ายโดยใช้เลนส์เทเล 300 mm.ไม่ให้เจ้าตัวเห็นแล้วนะ แต่ก็ไม่ทัน พอหลังจากผมกดชัตเตอร์เสร็จ ฤาษีตนนี้ก็ลุกที่จะเดินมาทางผมเพื่อเรียกเงินค่าถ่ายรูปเลย ซึ่งผมอยู่ไกลกว่าจะเห็นว่าจะเดินมาเลยรีบเดินหนีไปก่อน เกือบไปแล้วเชียว
ใกล้ๆกันก็จะมีพิธีอะไรสักอย่าง ที่เห็นคือ รูปปั้น Hanuman ด้านหน้าพระราชวัง Hanuman Dhoka
และก็เดินมาเจอกับ Kal Bhairav หรือ พระไภรวะ/ไภรพ หรือ พระอิศวรปางดุร้าย เป็นปางหนึ่งของพระศิวะ ซึ่งชาวไทย เรียกว่า พระพิราพ ซึ่งเป็นครูในนาฏกรรม มีในนิกายตันตระ สาเหตุที่ทำให้มีลักษณะที่น่ากลัว เนื่องจากจะทำให้ศาสนิกเกรงกลัวพลอำนาจของเทพเจ้า พระอิศวรไภรพนั้นมีอยู่มี 2 แบบ คือ
1.กาฬไภรพ ชาวเนปาล เรียกว่า "กาฬไภราพ" ผิวกายเป็นสีดำ สวมเครื่องประดับสีแดงและเหลือง มีสีแดงที่คนเอามาป้ายทาต่างเลือดสังเวยเปรอะทั้งองค์ พระเนตรของพระองค์โปนถลน เขี้ยงโง้ง พระหัตถ์ทั้ง 6 ถือดาบและอาวุธต่างๆ รวมทั้งหัวคนด้วย เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถลงโทษคนพูดเท็จให้เลือดออกจนตายได้ เวลาจะสาบานอะไร ต้องมาสาบานที่กาฬไภรพ (แบบที่เห็นในรูป)
2.เศวตไภรพ ชาวเนปาล เรียกว่า "เสโตไภราพ" เป็นแบบเดียวกับกาฬไภรพ แต่แตกต่างกับกาฬไภรพตรงที่ เศวตไภรพนี้ผิวกายจะเป็นสีขาว
ดูกันใกล้ๆ น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ยด้านหน้าประตูนี้คงเป็นทางเข้าไปยังพระราชวังเก่าของกษัตริย์เนปาล ซึ่งปัจจุบันคงเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชม
Northfield ที่พักของเราเมื่อคืนนี้ ได้เวลาขนสัมภาระออกแล้ว เตรียมตัวไปสนามบิน
มาถึงที่ห้องก็ต้องมาเจอกับกระดาษโน้ตครั้งที่สองจากกอล์ฟ ซึ่งเขียนมีใจความว่า ขณะนี้ไปรับอานี่สาวชาวเกาหลีไปสนามบินแล้ว ส่วนค่าที่พักกอล์ฟจ่ายไปให้ก่อนแล้วค่อยมาเคลียร์ทีหลัง
ต่อจากนั้นเราก็เก็บสัมภาระจากห้องพักแล้วลงมาเรียกแท็กซี่หน้าโรงแรม ต่อรองราคาได้เสร็จสรรพ 150 Rs. (ไม่ได้ราคานี้ก็ไม่ไป)
แท็กซี่ก็ปูเลงๆมาส่งเราที่สนามบินตรีภูวันอาคารผู้โดยสารขาออกเกือบๆเที่ยง ยังทันเวลาออกจริงสองชั่วโมงกว่า มาถึงก็เจอกอล์ฟและอานี่ โดยกอล์ฟอาสาไปจ่ายภาษีสนามบิน(ซื้อเป็นตั๋วมา)ให้ แล้วเราก็ต่อแถวเช็คอินตามปกติ แถวยาวมากๆ เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้บอร์ดดิ้งพาสมาครอบครอง
นี่คือรูปตั๋วหรือคูปองสำหรับค่าภาษีสนามบินขาออกจากเนปาล ราคาก็ 1,695 Rs. แต่จ่ายไป 1,700 Rs. แล้วไม่ทอนนะครับ
เรานั่งรอก่อนบอร์ดดิ้งไม่นานเกินไปนัก แต่เที่ยวที่จะกลับไปไทยก็ดีเลย์เล็กน้อย
สุดท้ายเครื่องบินของการบินไทยก็มาจอดรอรับเรากลับบ้านกันแล้ว เดินขึ้นไปเลย
อีกมุมสวยๆของเครื่องยนต์เทอร์ไบน์ด้านล่างของปีกเครื่องบิน
และแล้วเราก็ต้องอำลาเนปาล ประเทศที่เต็มไปด้วยผู้คนใจดี ธรรมชาติอันรื่นรม วิวสวยๆของเทือกเขาหิมาลายา เหมาะแก่การมาเที่ยวยิ่งนัก แต่การจากไปครั้งนี้คงไม่ใช่เป็นเพียงการจากเลย เราให้สัญญาว่า เราจะกลับมาเยือนประเทศเนปาลนี้อีก จุดหมายต่อไปเรายังไม่รู้แน่ชัดนัก แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ที่ใครๆมาที่นี่แล้วจะต้องกลับมาอีกเพื่อมาเยือนภูเขาที่สูงที่สุดในโลก ขอแค่ EBC หรือ Everest Base Camp ก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา ขอบคุณที่ติดตามทริปเนปาลอันยาวนาน สวัสดีครับ (_/\_)
See U again in "Land of Dream" ... One of Contries in Europe
เครดิต
ขอขอบคุณเป็นพิเศษกับคุณ kfc เจ้าพ่อแห่งการเทร็คกิ้งบนเส้นอันนาปุรณะ พูนฮิลล์ ช่วงปี 46 กระทู้ที่เป็นอมตะสำหรับเหล่าเทร็คเกอร์ที่ตามรอยไปในเว็บ TKT อ่านแล้วก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากที่จะไปเยือนประเทศนี้มากๆ
http://www.trekkingthai.com/cgi-bin/webboard/generate.pl?board=backpacker&content=0673
ขอขอบคุณคุณกี้ Let's see the World แห่ง Multiply และ TKT เช่นกันที่ให้สอบถามข้อมูลเนปาลอีกทั้งยังช่วยเหลือหาสายการบินอื่นๆนอกจากการบินไทยให้ และให้สอบถามทางโทรศัพท์ได้
ขอขอบคุณคุณ jellybobo แห่ง TKT ที่ช่วยตอบคำถามตอบผมโทรไปสอบถามที่ออฟฟิศ TKT และแนะนำฟ้อนสไตล์เนปาลีให้ ตามลิงค์ด้านล่าง
http://www.dafont.com/theme.php?cat=206
ขอบขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ตอบคำถามผมและโพสต์ข้อมูลต่างๆในบอร์ดสะพายเป้ท่องโลก ประเทศเนปาล
http://board.trekkingthai.com/board/webboard.php?Category=trekking&forum=2&q_country=เนปาล
ขอขอบคุณกอล์ฟที่ยังคงเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่จริงใจที่สุดในทริปนี้ ช่วยเหลือดูแลกันมาตลอด และทำให้ผมพบว่า การจะมาเทร็คกิ้งหรือมาเที่ยวลักษณะนี้ จะต้องดูกันให้มากเรื่องคนที่จะชวนมาด้วย ไม่งั้นจะเสียอารมณ์กันเปล่าๆ ผมได้บทเรียนเรื่องคนมากที่สุดก็จากทริปนี้ครับ ไม่มีวันลืมเลย
และสุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนสมัย ม.ต้น ที่รับคำชวนผมไปเดินเทร็คกิ้งที่พูนฮิลล์ เนปาลด้วยกัน ทำให้ผมไม่เหงาอีกต่อไป แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเพื่อนแล้ว นั่นคือ "จ๊ะเอ๋" นั่นเอง
ข้อมูลค่าใช้จ่าย(ไม่อัพเดทแล้วครับ)
==========
1.ค่าเครื่องบินไปกลับกรุงเทพ-กาฐมาณฑุ = 23,700 บาท / คน (ตั๋วปี - แพงสุด)
2.ค่าเครื่องบินกลับจากเมืองโพครามากาฐมาณฑุ = 80 USD / คน
3.ค่ารถทัวร์จากกาฐมาณฑุไปเมืองโพครา = 15 USD
4.ค่าลูกหาบ 600 Rs. / ลูกหาบ 1 คน / วัน
5.ค่าล่องเรือที่ทะเลสาบเฟวา เมืองโพครา = 250 Rs.
6.xx
7.xx
Original Published on http://www.pantip.com at [ 27 พ.ค. 51 00:59:39 ] as below link
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น