วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2551

เนปาล (Day V Part II) ท่ามกลางอ้อมกอดหิมาลัย ตอน 5.5 วันแห่งการเดินเท้าที่สุดแสนจะทรมาน [3rd day trekking]


หลังจากลงจากพูนฮิลล์ จุดชมวิวที่สวยที่สุดในโลกที่หนึ่ง เราก็ทานอาหารเช้า(ตอนทานก็สายมากแล้ว) แล้วรีบเก็บสัมภาระต่างๆเพื่อออกเดินทางต่อ เนื่องจากเรามาเพื่อพูนฮิลล ดังนั้นการออกเดินทางในวันนี้จึงสายๆหน่อยเกือบสิบโมงสี่สิบก็เริ่มออกเดินทางกัน อาการเจ็บเข่าก็เพิ่มความปวดร้าวเข้ามาแทนที่ความสนุกเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเช่นเคย ผมจึงทานยา Celebrex อีกหนึ่งเม็ดหลังอาหารแบบขนาด 400 mg. กะให้ออกฤทธิ์แบบสุดๆไปเลย ไม่รู้ว่าวันนี้จะเดินไปได้ถึงตรงเป้าหมายหมู่บ้านทาดาปานี(Tadapani) ที่วางแผนไว้หรือไม่ งั้นลองมาดูกัน


=====
Ghorephani - Deurali - Banthanti - [Tadapani ?]
เส้นสีชมพู : เส้นทางเดินเทร็คกิ้งวันที่สามหลังจากลงจากพูนฮิลล์ จากกอเรปานี(Ghorepani) ไปบันธานติ(Banthanti)
เส้นสีน้ำเขียว : เส้นทางเดินขึ้นพูนฮิลล์จุดที่สูงที่สุดบริเวณนั้นในเช้ามืดวันที่สาม เพื่อชมเทือกเขาหิมาลายาในแบบพานอรามา
เส้นสีน้ำตาล : เส้นทางเดินเทร็คกิ้งวันที่สอง จากอุลเลรี(Ulleri)ไปกอเรปานี(Ghorepani)
เส้นสีแดง : เส้นทางเดินเทร็คกิ้งวันแรก จากนายาพุล(Nayapul)ไปอุลเลรี(Ulleri)
เส้นสีน้ำเงิน : เส้นทางจากเมืองโพครา(Pokhara)ไปนายาพุล(Nayapul)


การเดินทางเส้นนี้ดีที่มีเทือกเขาหิมาลัยมาทักทายเราตลอดเกือบทั้งเส้นทาง ขอเก็บภาพสวยๆก่อนออกจากกอเรปานี


เส้นทางช่วงแรกเป็นป่าไม้ที่ร่มเย็น มีต้นกุหลาบพันธุ์ปีเต็มสองข้างทาง ป้ายบอกทางไป Ghandrung ซึ่งจะเขียนแตกต่างจากที่เคยเห็นมาคือ Ghandrunk ไม่แน่ใจว่าเขียนได้สองแบบหรือไม่เพราะเจอเขียนแบบนี้อยู่บ่อยๆสลับกับแบบแรกเช่นกัน


ลมเย็นสบายๆ ช่วงแรกยังคงเดินติดๆกัน ขาก็ไม่เจ็บเท่าที่ควรเพราะมีเดินขึ้นตลอดทาง ยังไม่มีเดินลงเท่าใดนัก


 ค่อยๆเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ฟ้าสวย


คนอื่นในกลุ่มเดินไปถึงบนสุดแล้ว ส่วนผมช้าตลอด 555


พอถึงด้านบนสุดแล้วมองเห็นวิวเทือกเขาหิมาลัยที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปีขาวโพลนแบบนี้ก็มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะ นานๆจะได้เห็นสักที เจ้าเทือกเขาหิมาลายาเนี่ย


ขึ้นมาเจอธงมนตรามั่งแล้ว สบัดไหวตามแรงลม


เจ้ากอล์ฟยืนรออยู่ไกลๆบนเนินโน่น


ทุ่งหญ้าสีทองกับฟ้าครึ้มๆ เหมือนๆฝนจะตกในช่วงเย็นๆ


ลมที่แรงทำให้ธงมนตราปลิวไสวไปตามแรงลม สวยงามมาก


มองย้อนมาฝั่งตรงกันข้าม อากาศเย็นๆ สบายๆ


ด้านบนนี้มีร้านขายน้ำและขนมด้วย เราเลยแวะทานน้ำไปหนึ่งขวดพร้อมกับ snickers อีกหนึ่งอัน


ณ ตรงนี้จะมองเห็นหอคอยที่พูนฮิลล์อันเล็กๆสีขาวอยู่ไกลออกไปลิบๆ ไม่น่าเชื่อว่าเราเพิ่งเดินมาจากตรงนั้นเมื่อตอนเช้า


หญ้าสีทอง, กุหลาบพันปีสีแดง สลับกับต้นไม้สีเขียวได้อย่างลงตัวบนเทือกเขาแห่งนี้


หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าป่าทึบอีกครั้ง เจอกับขบวนม้าที่กำลังควบมาอย่างสนุกสนาน เส้นทางนี้เราจะไม่เจอลาอีกต่อไป เพราะดูเป็นเส้นทางที่ลดเลี้ยวไปตามป่าเขาไม่มีหินชั้นที่นำมาวางเป็นพื้นแบบเส้นทางขามาอีกต่อไป เลยทำให้ลาเดินลำบากหรือเปล่า


ชมวิวดอกไม้สวยงามรายทาง ดูดอกนี้จะเหมือนละม้ายคล้ายๆกับดอกนางพญาเสือโคร่งของไทยเราเหมือนกันนะครับ


บ่ายโมงสี่สิบก็มาถึงหมู่บ้าน Deurali มีลูกหาบเราหนึ่งคนนั่งคอยอยู่


ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงเพราะแต่ละหมู่บ้านตามร้านขายอาหารต่างๆจะมีแผนที่เส้นทางเดิน trekking ใหญ่ๆแบบนี้ตลอด แถมสีสันยังสวยงามอีกต่างหาก


จะมีช่วงนี้เท่านั้นที่ทางเดินจะออกลื่นๆไปหน่อยครับ เพราะเป็นดินเหนียวบวกกับน้ำฝนที่คงตกมาก่อนหน้านี้ทำให้พื้นเฉอะแฉะเวลาเดินต้องระวังนิดครับ


บ่ายสามโมงตรงก็มาเจอกับกลุ่มกอล์ฟที่มาทานอาหารคอยก่อนแล้ว เราเลยสั่งอาหารต่อ


ณ จุดนี้พวกเราเสียเงินไปกับของที่ระลึกอีกแล้ว ผมได้สร้อยข้อมือหินแกะสลัก ส่วนจ๊ะเอ๋ได้สร้อยคอและสร้อยข้อมือหินไปหลายอันเช่นกัน ต่อราคากันจนคนขายหน้าตาบึ้งๆไปเหมือนกัน


อาหารที่สั่งไปกว่าจะมาเสริฟก็เกือบๆชั่วโมง ทานมันฝรั่งทอดกับสปาเก็ตตี้ชีสแค่นั่นส่วน egg fried noodle ต้องเอาใส่ถุงครับ เพราะมันเยอะมากๆและถ้าทานต่อก็จะเสียเวลามากๆด้วย เพราะตอนนี้ดูเวลาก็เกือบบ่ายสีโมงแล้ว ยังไปไม่ถึงไหนเลย :(


เจอสะพานไม้ข้ามลำธารเล็กๆ เปลี่ยนบรรยากาศเดินไปอีกฝั่งบ้าง


หลังจากที่นั่งเพื่อรออาหารกับทานอาหารตั้งนาน พอจะลุกเดินต่อไปคราวนี้เป็นทางลงเขาแล้ว เข่าก็เริ่มกลับมาเดี้ยงอีกครั้งแล้ว คราวนี้มาแบบสุดๆเลย เวลาลงบันไดแต่ละขั้นต้องคอยเอามือยันจ๊ะเอ๋ตลอดเวลา ขอบคุณมากๆครับที่ไม่รู้สึกรำคาญและเจ็บอะไรเลย แถมเดินลงบันไดไปยังเจอะเจอกับฝูงม้าที่เดินสลับกันไปมาอีก แทบจะชนกันตกเขาตาย ม้าเองก็เบียดกันจะตกบันไดเอา ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลำบากจริง เดินไปได้ระยะทางน้อยมากๆ



มองดูเส้นทางแล้วแทบจะหมดกำลังใจเพราะเส้นทางมีแต่ลงเขาอย่างเดียว ทางลงเขานี่แหล่ะคนที่เจ็บเข่ากลัวกันนักเพราะเวลาเดินลงแรงมันจะกระแทกที่เข่าทั้งสองข้างอย่างเดียว แถมยังไม่มีไม้เท้าอีกด้วย เข่าเลยรับแรงเต็มๆ ถ้าขึ้นเขาจะไม่กลัวแบบนี้เลย


เดินมาถึงสะพานข้ามลำธารเล็กๆมีชื่อว่า SARANGA RIVER ถ้าตาดีๆมองไปที่ป้ายขาวๆจะมีการเขียนระลึกถึงคนที่เสียชีวิตด้วย


ซึ่ง Saranga เป็นชื่อของลูกชายไกด์เทร็คกิ้งชาวเนปาล น่าจะเสียชีวิตบริเวณสะพานแห่งนี้เลยนำชื่อมาตั้งเป็นชื่อสะพาน ตามรายละเอียดของป้าย เด็กเกิดมาเพียง 4 วันเองครับ


ในที่สุดสี่โมงสิบห้าฝนก็ตกลงมาจนได้ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่ตั้งนาน แต่ตกแบบปรอยๆ ผมต้องรีบนำกล้องใส่ในกระเป๋าและนำถุงพลาสติกมาคลุมกระเป๋ากล้องอีกทีกันน้ำเข้ากล้อง


เราทั้งสองเดินรั้งท้ายและระหว่างเดินแทบจะไม่เจอใครเดินสวนมาเลยจนเสมือนกับเดินอยู่เพียงลำพังสองคนในป่าใหญ่ บางทีก็กลัวๆเหมือนกัน แต่ก็พยายามเดินๆไป ตอนนี้ฝ่าเท้าผมมันย่ำแย่เอามากๆเลย แทบจะไม่อยากขยับขาเดินไปอีกเลย บางทีเดินไปนิดเดียวก็อยากหยุดเดินแล้วเพราะปวดทั้งเข่าและฝ่าเท้าเอามากๆ ยาที่ทานมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว เลยหยุดนั่งพักแล้วทีนี้ ค่ำไหนนอนนั่นสงสัยจะไปไม่ถึงเป้าหมายที่หมู่บ้านทาดาปานีตามที่วางแพลนไว้ซะแล้ว


หลังจากนั่งพักแล้วลุกเดินต่อก็มาเจอกับกลุ่มกอล์ฟที่มานั่งพักที่หมู่บ้านบันธานติ(Banthanti) คุยกับลูกหาบได้ความว่าสงสัยพวกเราคงไปไม่ถึงทาดาปานีซะแล้วเพราะจากที่นี่ไปทาดาปานีต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง เลยแนะนำเราให้เดินไปอีกหน่อยจะเจอกับที่พักในหมู่บ้านบันธานตินี้ ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยว่าเราควรจะหาที่พักแล้ว คงจะเดินต่อไปที่ทาดาปานีไม่ไหวจริงๆ ผมเองแทบจะอยากพักที่นี่แล้ว แต่ก็พยายามฝืนที่จะเดินต่อ ตอนนี้เลยนั่งพักอีก 5 นาที เอาเจลมาถูนวดที่เข่าและข้อเท้าเพื่อหวังว่าจะบรรเทาไปได้บ้าง


ค่อยๆขยับขาไปช้าๆ เอ๊ะ...ควายที่ไหนหลงฝูงมาเนี่ย ??


เห็นหนทางที่สองข้างมีแต่ป่าเขาแล้วแทบจะหมดกำลังใจ เพราะเจ็บปวดกับเข่าและฝ่าเท้ามากๆ เดินจะไม่ไหวอยู่แล้ว แต่อดทนอีกหน่อยก็คงจะถึง


ในที่สุดความทรมานของการเดินเท้ามาตลอดทั้งวันนี้คงจะสิ้นสุดซะที เพราะเวลาประมาณ 18:05 น. เราก็มาถึงที่พักชื่อว่า Trekker's Sanctuary Lodge ซึ่งอยู่ในเขตหมู่บ้านบันธานติ(Banthanti)


ที่นี่เป็นที่พักของเราในคืนนี้ จริงๆที่นี่ก็มีวิวที่สวยงามเช่นกันเพราะสามารถมองเห็นยอดเขาอันนาปุณะเซ้าท์ และฮิอุนชูลิ เหมือนๆกับวันแรกที่เห็นตอนพักที่ประทับเกสเฮ้าส์ เอาหล่ะถึงวิวจะไม่ดีแบบนี้เราก็ต้องพักเพราะไปไหมไม่ไหวอีกแล้ว


ไม่น่าเชื่อว่าเดินกันมาได้ เพราะมองลงไปยังด้านล่างมันคือลำธารที่เราเดินข้ามกันมาหรือเปล่า อยู่ลึกลงไปจริงๆ


วันนี้ผมมองว่าเรามาพักที่พักเปรียบเสมือนบ้านเล็กในป่าใหญ่เพราะละแวกนี้มีบ้านพักหลังนี้อยู่หลังเดียวเท่านั้น


ห้องพักในวันนี้ก็คล้ายๆกับที่อื่นๆบนเขาคือสะอาด มีสองเตียงและเตียงเล็กและแคบ ดิ้นก็คงตกเตียงแน่ๆ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ามีที่นอนที่อบอุ่นให้พักกายยามเหนื่อยล้ามิใช่หรือ ...


ตอนแรกเราสั่งชาร้อนกันมาเพื่อเพิ่มอุณหภูมิภายในร่างกายที่ ณ ตอนนี้มันหนาวเข้ากระดูกซะเหลือเกิน ยิ่งมาพักที่ที่ใกล้ชิดกับหิมาลายามากขึ้นไปด้วยแล้วยิ่งหนาวไปใหญ่ ต่อจากนั้นผมก็ขอตัวไปนอนพักที่ห้องก่อน กะว่าสักพักจะออกมาทานอาหารเย็นด้วย ไปๆมาๆไม่ออกไปไหนแล้ว รอทานแค่ไข่ดาว 2 ฟองที่ห้องละกัน และยา celebrex อีก 200 mg.(จริงๆทานเกิน เพราะเขาให้ทานวันละเม็ด) แล้วขอตัวหลับแบบสลบไสลท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็น 4 องศาไปอีกหนึ่งคืน หวังว่ารุ่งขึ้นคงจะดีขึ้นนะ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมทริปเทร็คกิ้งในวันอันแสนจะทรมาน แล้วเจอกันใหม่ในวันรุ่งขึ้น วันเทร็คกิ้งที่ 4 หรือวันที่อยู่ในเนปาลวันที่ 6 ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น