หลังจากที่เราได้อิ่มหมีพีมันกับการดำน้ำดูปะการังอ่อนที่เกาะหินซ้อน พร้อมๆกับแสบๆคันๆจากการที่โดนแตนทะเลกัดตามลำตัวเต็มไปหมดไม่เว้นที่ "ปาก" เราก็กลับขึ้นเรือ ผมเองได้บอกกับพี่บ่าวว่าให้ไปจอดเรือทานข้าวกลางวันที่เกาะที่มีคนเขียนชื่อได้หลายแบบมากที่สุด นั่นคือเการอกอย รอกวย ลอกอย ลอกวย หรือแม้กระทั่ง รอคอย ก็ยังมีคนเรียก ส่วนแบบไหนเขียนถูกต้องก็คงต้องหากันหล่ะครับ แต่จะเห็นเป็นทางการที่สุดน่าจะเป็น "รอกอย" ครับ
เกาะนี้นับได้ว่า ครองใจนักท่องเที่ยวที่มาหลีเป๊ะกันทุกๆคน ไม่เว้นแม้กระทั่งผม ซึ่งสาเหตุก็เนื่องมาจากความใสของน้ำทะเลที่นี่นั่นเอง เรือหลายลำเลยจัดโปรแกรมให้การมาเยือนเกาะนี้อยู่ในช่วงเกือบๆจะเที่ยงวันของแต่ละทริปที่มีคนเหมาไป พร้อมๆกับการมาพักผ่อนและทานอาหารกลางวันไปด้วยเลย ซึ่งในวันนี้เราก็เจอกับเรือหลายลำเช่นกันที่มาเกาะรอกอยนี้ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน
น้ำใสๆแบบนี้ใครมีมีแต่คนเท่านั้นที่ชอบ ปลิงทะเลก้ชอบเหมือนกัน ตัวใหญ่ไม่ใช่เล่นเชียว
ก่อนจะออกไปต่อ ผมถามคุณหน่อยว่าจะไปไหนต่อ ในใจคิดว่าจะไปเกาะราวีเหมือนกันซะอีก แกตอบกลับมาว่าจะไปเกาะผึ้ง มีปะการังกับกัลปังหาเหมือนกัน โอย....โชคดีจริงๆเลยเรา เกือบลืมเจ้าเกาะผึ้งไปเลย ถ้าไม่ได้ถามแกตอนนี้คงพลาดไปซะแล้ว ผมเลยเปลี่ยนโปรแกรมบอกกับพี่บ่าวว่าไปเกาะผึ้งก่อน แล้วค่อยมาที่เกาะราวี รู้สึกแกจะอิดออดเล็กน้อย แต่ก็ไปครับ
ในที่สุด บ่ายโมงสิบเอ็ดก็มาถึงเกาะผึ้ง ลงน้ำต่อ สิ่งที่เห็นอันแรกคือกัลปังหาสีชมพู แต่น้ำที่นี่ค่อนข้างขุ่น ต้องว่ายหาจุดใสๆดีๆ
ว้าว !!!.....ในความขุ่นของน้ำก็ควานเจอปะการังอ่อนสีชมพูแซมขาวจนได้
ก่อนมาครั้งที่สองนี้ ยังกลัวๆอยู่เลยว่าจะได้ดูปะการัง 7 สีเหมือนครั้งที่แล้วหรือไม่ แต่สุดท้ายได้ดูจนอิ่มตาเลย ทั้ง จาบัง 2 รอบ , เกาะหินซ้อน และเกาะผึ้งนี้ มาถึงตอนนี้ ก็ถือได้ว่าคุ้มแล้วสำหรับเรา มากกว่านี้คือกำไรครับ
จุดนี้จะเป็นปะการังแข็งซะมากกว่า แต่ก็มีหอยมือเสือเข้ามาแทรกตรงกลาง สีสันสวยงามทีเดียว
ก่อนจะว่ายขึ้นเรืออำลาเกาะผึ้งแห่งนี้ เจอกับกัลปังหาสีแสด ยอมรับว่าลำบากกับการถ่ายรูปมากๆ แต่ก็ยังหามาได้นะเรา
เนื่องจากมีรูปที่จุดนี้มาก ครั้นจะตัดออกไปก็เสียดาย ลงมันทุกภาพก้จะโหลดนานอีก เลยขอมารวบรวมไว้ในภาพๆเดียวคล้ายๆโปสการ์ดนะครับ
บน
1.ซ้าย ฝูงปลาว่ายมาต้อนรับเรา
2.กลาง ปลาอะไรเอ่ยตัวสีดำ มีสีส้มๆที่ครีบกับปาก แปลกๆดี
3.ขวา ปลาสีฟ้าว่ายเหนือหอยมือเสือ
ล่าง
4.ซ้าย พุ่มๆสีเขียวอันนี้เรียกว่าอะไรครับ จำไม่ได้แล้ว
5.กลาง ฝูงปลาว่ายผ่านแบบเผาขนมาก
6.ขวา ปลาอะไรก็ไม่รู้ดูแปลกๆ
ดำไปสักพักเพิ่งนึกขึ้นได้ ไปดำตามจุดต่างๆทั้ง 9 จุดที่เจ้าหน้าที่เขากำหนดไว้ดีกว่า เริ่มจากจุดแรกที่ผมเจอคือจุดที่ 2 จุดที่ 1 ไม่รู้หายไปไหน หาไม่เจอ
1.ซ้าย ปลาลายนี้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดีทีเดียว
2.กลาง สีฟ้า พุ่มของดอกไม้ทะเล
3.ขวา ป้ายจุดที่ 3
ล่าง
4.ซ้าย ฝูงปลาว่ายผ่านจุดดำน้ำที่ 4
5.กลาง ป้ายจุดที่ 7
6.ขวา ที่นี่มีปะการังแข็งมากมาย ส่วนใหญ่ปะการังเขากวาง
ปลาโนรี อยู่เป็นคู่ กำลังแทะเล็มเศษอาหารตามซอกหินและปะการัง
1.ซ้าย ปลาว่ายเหนือหอยเม่น
2.กลาง ปลาอะไรไม่รู้ว่ายมาเหนือปลาโนรี
3.ขวา หอยกำลังอ้าปากพอดี
ล่าง
4.ซ้าย คล้ายๆเห็ด มีสีม่วงชมพู
5.กลาง ปะการังแข็งหลากหลายชนิดขึ้นติดๆกัน
6.ขวา ปลาว่ายเหนือปะการังเขากวาง
ปลาอะไรครับท่าน...สีฟ้าสะท้อนแสงเชียว
หอยมือเสือแบบเต็มๆตามั่ง มาครั้งนี้หายากจัง น้ำก็ขึ้นเลยอยู่ลึกจากระดับผิวน้ำ แถมน้ำยังไม่ใสอีก
1.ซ้าย เห็นเจ้าปลาชนิดนี้เป็นครั้งแรก สีเหลืองแปลกตาเชียว แต่ถ่ายยากชมัด
2.กลาง ครั้งนี้เจอเจ้านีโม่น้อยแบบไกลๆ ฮือๆ ไม่สะใจเลย อย่างที่บอกน้ำดันมาขึ้นช่วงนี้ซะอีก
3.ขวา ปลาตัวนี้ก็แปลก มีจุดสีเหลืองๆที่โคนหายด้วย ส่วนลำตัวมีลายจุดสีส้ม
ล่าง
4.ซ้าย ปลาเดียวกับภาพแรกซ้าย ว่ายเหนือดอกไม้ทะเล
5.กลาง ปลากำลังว่ายน้ำอยู่เหนือปะการัง
6.ขวา หอยกำลังอ้าปากกว้างๆ อิอิ
ปลาปักเป้า เจอเป็นครั้งแรกอีกแล้ว อุตส่าห์ไล่ตามถ่ายรูปจนเหนื่อยเลย
1.ซ้าย ปะการังแข็งขนิดหนึ่งแผ่สาขากว้างใหญ่เชียว
2.กลาง ปลาตัวยาวๆ แหลมๆ เรียกว่าปลาปากจรวดตามที่คุณ ninue ว่ามาเปล่า
3.ขวา คล้ายๆเห็ดอีกแล้ว สีชมพูม่วง แต่คราวนี้หงายขึ้น
ล่าง
4.ซ้าย ปลาสีชมกำลังหาที่หลบซ่อนตัว
5.กลาง นีโม่น้อย แหวกว่ายกับดอกไม้ทะเล บ้านของเขา
6.ขวา ดงหอยเม่น
สุดท้ายก่อนจะกลับที่เกาะราวีแห่งนี้ เจอกับเจ้านี่ครั้งแรกอีกแล้ว ปลากระเบน ที่เกาะแห่งนี้ช่างเป็นเกาะที่ดำน้ำดูปะการังแข็งและสัตว์ทะเลได้ไม่เบื่อเลยครับ
พอเรือไปถึงที่ร่องน้ำจาบัง แน่นอนว่าคลื่นแรงอย่างที่คาดไว้จริงๆ เวลาก็ประมาณ 4 โมงเย็น คลื่นแรงซะจนทัวร์หลายทัวร์ต้องยกเลิกไป ซึ่งเรามองหน้ากันกับเนตรและโอ๋ เลยไม่ลง บอกกับพี่บ่าวให้ไปต่อที่เกาะกะเลยละกัน(เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเราพลาดเกาะยาง เนื่องจากพี่บ่าวคนเรือของเราแกไม่นำเสนอและบอกจุดดำน้ำอะไรที่น่าสนใจแก่เราเลย ทุกอย่างที่ว่ามา ผมเป็นคนบอกทั้งนั้น เฮ้อ...)
เรือแล่นอ้อมผ่านหน้าเม้าเท่นและตอม่อของสะพานเทียบเรือเก่า ณ จุดนี้เป็นบริเวณหน้าหาด Sunlight มองไปหาเกาะหลีเป๊ะจะเป็นเอเชียรีสอร์ทหลังคาสีน้ำเงินตัวบ้านสีขาว และข้างๆ บ้านไม้แบบเก่าสีออกเหลืองๆ
ระลอกคลื่นน้อยๆใสๆซัดเข้าหาชายหาดของเกาะกะ
เราเดินข้ามเกาะไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเกาะ อ๊ะๆ...อย่าเพิ่งแปลกใจนะครับ ว่ามันไกลกันไหม 2 ฝั่งเนี่ย ไม่ไกลหรอกครับ แค่ไม่ถึงนาทีเท่านั้นเอง ฮ่าๆๆๆ มีเรือประมงกับ speedboat จอดลอยลำอยู่
ซากเปลือกหอยที่แตกๆอยู่ก็เยอะ เต็มไปหมดตามพื้นทราย ใครจะมาเดินก็ระวังหน่อยนะครับ หารองเท้าใส่มาด้วยก็ดี ส่วนผมไม่ใส่ครับ 555
เป็นอีกมุมหนึ่งที่ยืนอยู่ในเกาะกะแล้วมองไปยังหลีเป๊ะ...เกาะสวาท หาดสวรรค์ ของผม
เห็นนกร่อนบินอยู่เหนือหัวอยู่ไวๆ สังเกตอีกครั้ง เนตรบอกกับเราว่าเป็นนกอินทรี ใครได้เห็นนกอินทรีถือได้ว่า"โชคดีมาก" งั้นวันนี้เราก็โชคดีนะสิ หรือว่าตอนกลับไปกรุงเทพจะได้ข่าวดีกับเรื่องงานนะ
อีก 10 นาที 5 โมงเย็น ผมดูท่าว่าจะค่ำเกินไปสำหรับการขึ้นผาชะโดในยามนี้ เลยบอกกับทุกคนว่าขอไปที่เกาะอาดังก่อน เพื่อจะเดินขึ้นผาชะโดด้วยเรือลำเดิมลำนี้แหล่ะ
ทางเดินแนวระดับช่วงแรกไม่ยากหรอก ไปตามๆป้ายบอกทาง
ระหว่างทางเดินก็ขอเก็บภาพที่นอนแบบเต็นท์โดยมีกระต๊อบมาครอบอีกที อย่างนี้ฝนตกก็ไม่เปียก เก็บไว้ดูเนื่องจากว่าตอนก่อนมา 2 สัปดาห์โทรมาจองที่นี่เขาบอกว่าเต็มซะแล้ว เลยอดค้างที่เกาะอาดัง ไว้โอกาสหน้าคงได้สัมผัสบ้างนะ
เริ่มแล้วหล่ะ สภาพทางขึ้นไปจุดชมวิวผาชะโด ผมถ่ายมาและกลับมาดู ดูทุกๆครั้งแล้วเหมือนกับมีเด็กมายืนมองทางผมทุกทีเลย ตรงที่เป็นตอข้างๆต้นไม้ เพื่อนๆเห็นเหมือนกันหรือเปล่าครับ
แต่ในที่สุดก็มาถึงจุดชมวิวจนได้ นาฬิกาบอกเวลาประมาณ 5 โมงครึ่งได้ มาถึงที่นี่มีเพื่อนๆนักท่องเที่ยวยืนชมวิวเจ้าบูมเมอแรงอยู่ด้วยกัน 4 คนแล้ว ผมถึงกับร้องโอ้โหในใจเลย อะไรจะสวยขนาดนั้น สักพักเหลือบไปเห็นแว่นตาของเนตรที่ถอดวางไว้ตอนขึ้นมาในยามเช้าของวันนี้(เนตรได้โทรมาหาผมตอนผมขึ้นมาได้ที่จุดชมวิวจุดที่ 1 ว่าช่วยหาแว่นตาให้ด้วย) เลยบอกกับน้องที่เก็บไว้ได้แล้วนำกลับมาเอง (ต้องขอบคุณน้องคนนั้นด้วยที่เก็บไว้เพื่อจะไปคืนที่ที่ทำการของเกาะอาดัง)
หลีเป๊ะ...ความหมายที่ว่าแบนราบนั้น คำเฉลยก็เป็นดังที่เห็นว่าตัวเกาะเองนั้นแบนราบขนาดไหน ส่วนตัวคิดว่ารูปร่างของเกาะหลีเป๊ะนั้นมีลักษณะคล้าย"บูมเมอแรง"ด้วย ไม่เชื่อก็จินตนาการและดูใกล้ๆกันสิ
ยามนี้แสงไม่ค่อยจะมีแล้ว แถมฟ้าก็ครึ้มๆ รูปวิวหลีเป๊ะเลยออกมาแบบนี้ แต่ก็สวยไปอีกแบบนะ ผมยืนสูดอากาศเพลินๆก็ถามๆกับน้องๆว่า เอ๊ะ...จริงๆมันมีอีกจุดหนึ่งไม่ใช่เหรอ เห็นมีทางขึ้นไปด้วย แต่น้องๆที่นี่บอกว่า "มีผมก็ไม่ขึ้นไปแล้วครับ ไม่ไหวแล้ว" แต่สำหรับผม ดั้นด้นมาตั้งไกลกว่าพันกิโลเมตร แถมทางขึ้นสาหัสอย่างนี้อีก ยังไงก็ต้องขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดให้ได้ ผมเลยเดินไปอีกคนเดียว(อีกแล้ว)
ป้ายบอกทางว่าอีก 300 เมตร แต่ผมว่าเป็น 300 เมตรที่หฤโหดทีเดียว เส้นทางขึ้นชันไปตามโขดหิน แต่ยังไงซะก็ไม่ถอยอยู่แล้ว ถ้าเหนื่อยก็พัก ไม่เห็นจะต้องเร่งรีบแต่อย่างใด
ในที่สุดเวลาประมาณ 17:47 น. ผมก็มาถึงยังจุดชมวิวผาชะโด จุดสูงสุด ณ เกาะอาดังแห่งนี้ จะสังเกตได้จากที่มีกองหินตั้งอยู่ พร้อมๆกับไม้กั้นด้านข้างๆว่าไม่มีทางเดินขึ้นไปไหนอีกแล้ว นั่นคือจุดนี้คือจุดสุดท้ายจริงๆ
คุณเชื่อมั๊ย ณ เวลานี้ซึ่งมีผมอยู่เพียงคนเดียวกับบรรยากาศที่อยู่รายรอบ ผมอุทานออกมาเบาๆว่า "สุดยอด" กับวิวและบรรยากาศที่เห็นอยู่ตรงเบื้องหน้า ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ผมเฝ้ารอนั้น ในที่สุดก้ทำได้ คือการได้มายืนชมวิว ดูเกาะหลีเป๊ะอันแบนราบคล้ายไบมเมอแรง ณ จุดชมวิวผาชะโดแห่งนี้
สุดท้ายผมก็เดินเหงื่อโทรมกายกลับมาถึงยังหาดแหลมสนที่ที่เรือได้จอดส่งผม รวมเวลาก็ 1 ชั่วโมง 20 นาที สัญลักษณ์ของชายหาดแหลมสนที่เกาะอาดังคงหนีไม่พ้นซากต้นไม้ใหญ่ที่หักโค่นลงแล้วตามชายหาด
ณ ยามนี้พวกเราใช้พี่บ่าวคนเรือจนคุ้มเลย เราจึงออกความคิดกันว่าจะให้ทิปพี่แก ซึ่งก็เป็นอันตกลงทั้งหมด ขากลับพอลงจากเรือที่ชายหาดเม้าเท่น เราเลยให้สินน้ำใจแกเล็กๆน้อยๆ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจกัน
พอมาถึงที่หลีเป๊ะ ก็รีบเข้าห้องพักและอาบน้ำชำระร่างกาย ในใจยังคิดว่าจะไปทานอาหารที่วารินทร์ซะหน่อย แต่ฝนเจ้ากรรมก็เทลงมาอีกแล้ว แผนที่วางไว้เลยต้องยกเลิก กลายเป็นว่าครั้งนี้ที่มาหลีเป๊ะ ไม่ได้ไปเหยียบทรายฝั่งหาดพัทยาเลย ไม่เป้นไร เราเลยฝากท้องมื้อเย็นนี้ไว้กับเม้าเท่นรีสอร์ทเช่นเดิม อาหารก็มีปลาอะไรสักอย่างนึ่งบ๊วยบวกกับอีก 2 อย่าง มื้อนี้เลยอิ่มแปล้อีกแล้ว
ขอจบวันที่สองของทริปเพียงแค่นี้ครับ แล้วคอยติดตามชมตอนสุดท้ายในวันเดินทางกลับต่อไปครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามชมกันเสมอมา ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2007/04/E5280972/E5280972.html
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น