เกือบถึงสะพานข้ามทางรถไฟ ผู้หญิงที่นั่งข้างๆผมถามกับผมว่า "ไปค้างที่เกาะไหน ?" ผมหล่ะงง เลยถามกลับไปว่าคืออะไร เขาก็บอกว่า ดูจากถุง Ocean Pack ที่ใส่ snorkel ผมก็เลยบอกไปว่าไปค้างที่หลีเป๊ะ หลังจากนั้นก็คุยๆกันมาตลอดทาง จนลงจากรถสองแถวที่ตลาดกิมหยง แล้วก็เดินต่อๆไปที่หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ เดินคุยไปคุยมาก็ถามชื่อกัน เขาชื่อเนตร(สะกดผิดขออภัยด้วย) และแฟนชื่อโอ๋ ผมก็ตัดใจบอกไปว่าชื่ออาร์ต(กลัวว่าคนจะรู้จัก) หลังจากที่บอกชื่อไป เนตรได้ถามกลับมาว่า "อาร์ตตะลอน" หรือเปล่า ? ผมหล่ะ ตกใจเลย มีคนรู้จักเราด้วยแฮะ ก็บอกไปว่าไม่ใช่มั้ง สุดท้ายไม่อยากโกหก ก็เลยบอกว่าใช่ และก็ได้ทำความสนิทสนมกันมากขึ้น
ชม "หลีเป๊ะ...เกาะสวาท หาดสวรรค์" ภาคแรกได้ตามลิงค์ด้านล่างครับ
http://athlons.blogspot.com/2006/12/Lipe-01.html
รถตู้กว่าจะออกได้ก็ล่วงเลยมา 9:30 น. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จาก sea@holiday โทรมาเป็นระยะว่าถึงไหนแล้ว
คาดว่าหลายคนในรถตู้คันนี้คงลุ้นมาตลอดทางว่าจะไปถึงปากบาราทัน 11:30 น. หรือไม่ ผมเองก็นั่งลุ้นด้วย แต่คิดว่ายังไงถ้าไปช้าไม่มาก เขาต้องรอเราอยู่แล้ว ลืมบอกไปว่าเราชวนเนตรและโอ๋ไปเรือ speedboat กับเราด้วย โดยผมโทรไปจองที่เรือเพิ่มอีก 2 คนเกรงว่าถ้าไปซื้อทีหลังจะราคาแพงกว่าคนละ 100 บาทดังที่คุณโกหงวนได้เคยบอกไว้ ซึ่งก็เป็นการดีที่เขาจะทิ้งลูกค้าถึง 4 คนไม่ได้ ยังไงก็ต้องรอเรา
10:36 น. รถตู้มาถึงสามแยกที่จะเลี้ยวขวาไปเส้นละงู สังเกตได้จากมีมัสยิดสีเขียวอยู่หัวมุมด้านขวามือของทางแยก
เส้นทางนี้จะมีชาวบ้านปลูกสวนยางและสวนมะพร้าวอยู่มากมายตามสองข้างทาง ทำให้ดูสดชื่นเมื่อมองไปด้านข้างทางทั้งซ้ายและขวา ระหว่างนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของเรือโทรเข้ามาสอบถามเป็นระยะ อีกจุดหนึ่งที่ดูว่าช้าก็คือ รถตู้คันนี้ต้องจอดหลายจุดเพื่อไปส่งของให้ร้านหรือบ้านของชาวบ้านที่มีคนฝากมาจากหาดใหญ่ด้วย
บริเวณท่าเรือปากบาราก็วุ่นวายอย่างที่เห็นนั่นแหล่ะ
นี่ไง...เรือที่เราจะนั่งไป ครั้งนี้เลือกไปแบบ speedboat โดยเปลี่ยนแบบกระทันหัน เพราะอยากอยู่หลีเป๊ะนานๆ และที่สำคัญ จะได้ไปดำน้ำเลยในช่วงบ่ายของวันนี้ วันรุ่งขึ้นจะได้มาซ่อมได้ แต่มารู้ทีหลังว่าเรือดังกล่าวเป็นเรือที่มาแทนเรือที่จะไปเดิม เนื่องจากเรือเดิมเครื่องเสีย
กัปตันของเรา เตรียมจัดแจงบังคับพวงมาลัย นำเรือออกจากฝั่งแล้ว เวลาจริงก็เที่ยงตรงพอดี
ในลำนี้มีกรุ๊ปทัวร์ของคุณหน่อยซึ่งถ้าจำไม่ผิดเป็นทัวร์ที่คุณแฟนสวยไปได้ถึง 2 ครั้ง บางกลุ่มก็นั่งหน้ารับลม บางกลุ่มก็นั่งข้างใน เรือ speedboat เร็วก็จริง แต่ไม่ได้บรรยากาศวิวท้องทะเลและเกาะต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเราเลย แถมยังนั่งแบบเบียดๆกันด้วย
เที่ยงสามสิบห้า เรือก็พาพวกเรามาถึงยังเกาะตะรุเตา วันนี้ได้มี ดร.สุวิทย์ ยอดมณี เข้ามาเยือนเกาะนี้ ณ เวลาเดียวกันด้วย ทำให้หลายคนรีบถ่ายรูปท่านกันตลอด ส่วนผมถ่ายไม่ทันถึงทันก็อยู่ซะหลังเลย งั้นเดินไปยังห้องบรรยายสรุปประวัติกันดีกว่า
ชักภาพเก็บแผนที่ 3D ที่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานทำขึ้นดีกว่า ใครจะมาจะได้ทราบถึงที่ตั้งและตำแหน่งของหมู่เกาะตะรุเตา-อาดัง-ราวี-หลีเป๊ะ แห่งนี้
ดูในภาพแล้ว หลีเป๊ะนั้นช่างเล็กแบนราบเหมือนบูมเมอแรงดังที่มีคนว่าไว้จริงๆ ส่วนเรื่องบูมเมอแรงนั้นต้องรอพิสูจน์ด้วยตาตัวเองบนจุดชมวิวผาชะโด
ที่นี่ยังมีซากปลาวาฬให้ดูด้วย ด้านข้างๆเป็นน้องเต่าน้อย
เขาว่าเจ้านี่ ประภาคาร คือสัญลักษณ์ของตะรุเตา แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ เพราะที่ไหนๆที่ใกล้ชายฝั่งก็มีประภาคารทั้งนั้น
สงสัยเจ้าเรือพวกนี้จะเป็นเรือของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล เพราะเคยเห็นมาแล้วที่สิมิลัน
หลังจากเรือออกจากตะรุเตา เกือบๆครึ่งชั่วโมง เรือก็มาถึงยังเกาะที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของจ.สตูล นั่นคือ ซุ้มประตูหินธรรมชาติที่เกาะไข่นั่นเอง
เรือจะขับอ้อมไปด้านหลังฝั่งขวามือเพื่อไปเทียบที่หาดทรายก่อนจะปล่อยให้นักท่องเที่ยวลงถ่ายรูปประมาณ 30 นาที(ทำไมนานจัง)
หลีกให้คนเขาเดินไปถ่ายรูปที่ซุ้มประตูหินกันก่อน เราเลยได้วิวน้ำทะเลใสๆไล่เฉดสีไปจนถึงเกาะกลมๆที่อยู่ข้างๆ
มีบางคนเหม่อลอยเมื่อยามเห็นทะเลสวยๆ ไกลโพ้นจากฝั่ง
ครั้งนี้มีเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาถ่ายรูปด้วย แต่คงร้อนน่าดูเลย
30 นาทีหมดไปกับการเดินตากแดดร้อนๆไปถ่ายรูปและลุยน้ำทะเล ก็ได้เวลาต่อไปยังหลีเป๊ะแล้ว
คุณเนตรกับโอ๋ วันนี้พักที่อาดัง เราเลยแยกกัน ณ จุดนี้ แต่ได้ชวนกันเหมาเรือไปดำน้ำทั้งวันนี้ครึ่งวันและวันพรุ่งนี้แล้ว โดยวันนี้ พอเราได้เรือเสร็จก็จะไปรับที่เกาะอาดังแล้วออกไปดำด้วยกัน
สุดท้ายเรือของโกหงวน เม้าเท่นรีสอร์ทก็มารับเราถูกที่ เรือแล่นย้อนกลับมาด้านเม้าเท่นรีสอร์ทอีกครั้ง ผ่านตอม่อเทียบเรืออันเก่าที่ยังมีซากให้เห็นอยู่
ขนาดเดินขึ้นบันไดของรีสอร์ทมาเหนื่อยๆ ยังอึตส่าห์เก็บรูปวิวไว้สักรูปก่อนจะเข้าเช็คอิน
พอมาถึงก็มีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทมาเตรียมรอรับเราที่ร้านอาหารด้านบน แล้วมีน้ำเย็นมาเสริฟให้คลายร้อนและเหนื่อย คุยสักพักก็ขอตัวไปเก็บของที่ห้องพักและจะกลับมาเหมาเรือออกไปดำน้ำอีกครั้ง
มาถึงห้องพักแล้ว เป็นห้องพัดลม ราคา 600 บาท/คืน สะอาดสะอ้านเช่นเดิม
เราเดินกลับมายังร้านอาหารเพื่อรอเรือไปดำน้ำซึ่งเป็นเรือลำเดียวกับที่มาส่งเราเมื่อตะกี๊ วิวตรงจุดนี้ จำได้ว่าครั้งก่อนน้ำยังไม่ลดจนเห็นสันทรายขนาดนี้เลย แต่มาครั้งนี้น้ำลดจนเห็นสันทรายซึ่งผมว่าสวยงามมากกว่าน้ำขึ้นซะอีก เป็นความงามที่ถูกซ้อนเร้นไว้จริงๆ
มาถึงที่ร่องน้ำจาบังบ่ายสี่ยี่สิบ น้ำสีเข้มและแรงมาก เกาะที่เห็นด้านหน้าก็เกาะจาบังนั่นเอง ส่วนด้านขวาของภาพเป็นเกาะหินงาม แต่น้ำแรงยังไงก็ต้องลงไปพิสูจน์ดูอยู่แล้ว ลุยๆๆ
เรามาเริ่มที่ปลากันบ้าง ขนาดปลาเองยังจะเอาตัวไม่รอดเลยเมื่อเจอกระแสน้ำแบบนี้
ขยับไปอีกมุมหนึ่ง
เริ่มมีแสงแดดส่องลงมาบ้างแล้ว
ตกลงที่บอก 7 สีมีสีอะไรบ้าง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
ดูดีๆจะมีหอยเม่นมาแจมด้วย
ไม่แน่ใจว่าที่เป็นรอยหยักๆเหลี่ยมๆสลับฟันปลาข้างๆหอยเม่นมันคืออะไร เป็นฝาของหอยหรือเปล่า
ในความสวยงามก็จะมีอันตรายแฝงอยู่ ดังเช่นปะการัง 7 สีที่มีหอยเม่นแซมอยู่ข้างๆนั่นไง
หลังจากนั้น น้ำก็จะเริ่มใสแล้ว ความแรงของน้ำก็ลดลง แต่เป็นที่น่าเสียดาย แบตฯกล้องเจ้ากรรมดันมาหมดซะก่อน กดเปิดยังไงก็ไม่ได้ เลยมีภาพมาฝากที่ร่องน้ำจาบังเท่านี้ครับ คงรอขึ้นจากน้ำแล้วไปเปลี่ยนแบตฯอีกครั้งบนเรือ
ขอจบตอนนี้ Part I ไว้เพียงเท่านี้ครับ แล้วมาติดตามต่อตอนไปเกาะหินงามและกลับมาดูกัลปังหาที่จุดดูระหว่างอาดังกับหลีเป๊ะกันครับ สวัสดี (_/\_)
Original Published on www.pantip.com at [ 28 มี.ค. 50 00:07:19 ] as below link
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น