วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2550

หลีเป๊ะ...เกาะสวาท หาดสวรรค์ ภาค 2 ตอน 1.33 ต่อรถตู้จากหาดใหญ่สู่ท่าเรือปากบารา แล้วนั่งสปีดโบ๊ทสู่เกาะหลีเป๊ะ เริ่มดำน้ำตื้นวันแรก(Part I)


หลังจากที่เราได้ลงจากเครื่องบินแอร์เอเชียที่สนามบินหาดใหญ่แล้ว ก็รีบเดินออกมาตรงด้านหน้าสนามบินเนื่องจากไม่มีของที่โหลดใต้ท้องเครื่อง มาครั้งนี้มีกลุ่มใหญ่ 5 คนได้เดินไปรอที่จุดขึ้นรถสองแถวสายสนามบิน-ตลาดกิมหยงแล้ว เราก็เดินไปสมทบ ต่อจากนั้นก็มีมาเพิ่มอีก 4-5 คน ทำให้รถเต็มเร็ว รถจึงได้เคลื่อนตัวออกไปเร็วกว่าครั้งที่แล้ว ระหว่างทางก็มีบทสนทนาจากกลุ่มใหญ่ 5 คน ผมเดาๆก็คงไม่พลาดที่จะไปหลีเป๊ะเหมือนกัน

เกือบถึงสะพานข้ามทางรถไฟ ผู้หญิงที่นั่งข้างๆผมถามกับผมว่า "ไปค้างที่เกาะไหน ?" ผมหล่ะงง เลยถามกลับไปว่าคืออะไร เขาก็บอกว่า ดูจากถุง Ocean Pack ที่ใส่ snorkel ผมก็เลยบอกไปว่าไปค้างที่หลีเป๊ะ หลังจากนั้นก็คุยๆกันมาตลอดทาง จนลงจากรถสองแถวที่ตลาดกิมหยง แล้วก็เดินต่อๆไปที่หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ เดินคุยไปคุยมาก็ถามชื่อกัน เขาชื่อเนตร(สะกดผิดขออภัยด้วย) และแฟนชื่อโอ๋ ผมก็ตัดใจบอกไปว่าชื่ออาร์ต(กลัวว่าคนจะรู้จัก) หลังจากที่บอกชื่อไป เนตรได้ถามกลับมาว่า "อาร์ตตะลอน" หรือเปล่า ? ผมหล่ะ ตกใจเลย มีคนรู้จักเราด้วยแฮะ ก็บอกไปว่าไม่ใช่มั้ง สุดท้ายไม่อยากโกหก ก็เลยบอกว่าใช่ และก็ได้ทำความสนิทสนมกันมากขึ้น

ชม "หลีเป๊ะ...เกาะสวาท หาดสวรรค์" ภาคแรกได้ตามลิงค์ด้านล่างครับ
http://athlons.blogspot.com/2006/12/Lipe-01.html


9 โมงนิดๆก็เดินมาถึงที่ท่ารถตู้ไปปากบารา หลังจากไปซื้อตั๋วซึ่งคนละ 100 บาทก็ได้ขึ้นไปนั่งในรถ แต่น่าเสียดายที่รถคันแรกเต็มและได้ออกไปแล้ว ส่วนพวกเรา(เรา 2 คน+เนตรและแฟน 2 คน+กลุ่มใหญ่อีก 6 คน)ต้องนั่งรอผู้โดยสารอีก 3 คนถึงจะเต็ม โดยที่นั่งทั้งหมดในรถตู้มี 14 ที่นั่ง พอนั่งรอสักพักเลยตกลงกันว่าเหลืออีก 3 คนคือ สามร้อยบาท เรามาแชร์กันออกดีกว่า เพราะกลัวจะตกเรือที่ท่าปากบารา ซึ่งทุกคนยินดี แต่โชคดีมานิดหนึ่งตรงที่มีฝรั่งมา 1 คู่ เลยเสียจริงๆแค่ 100 บาท ซึ่งหารแล้วเสียเพิ่มคนละ 10 บาทเท่านั้น

รถตู้กว่าจะออกได้ก็ล่วงเลยมา 9:30 น. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จาก sea@holiday โทรมาเป็นระยะว่าถึงไหนแล้ว


คาดว่าหลายคนในรถตู้คันนี้คงลุ้นมาตลอดทางว่าจะไปถึงปากบาราทัน 11:30 น. หรือไม่ ผมเองก็นั่งลุ้นด้วย แต่คิดว่ายังไงถ้าไปช้าไม่มาก เขาต้องรอเราอยู่แล้ว ลืมบอกไปว่าเราชวนเนตรและโอ๋ไปเรือ speedboat กับเราด้วย โดยผมโทรไปจองที่เรือเพิ่มอีก 2 คนเกรงว่าถ้าไปซื้อทีหลังจะราคาแพงกว่าคนละ 100 บาทดังที่คุณโกหงวนได้เคยบอกไว้ ซึ่งก็เป็นการดีที่เขาจะทิ้งลูกค้าถึง 4 คนไม่ได้ ยังไงก็ต้องรอเรา

10:36 น. รถตู้มาถึงสามแยกที่จะเลี้ยวขวาไปเส้นละงู สังเกตได้จากมีมัสยิดสีเขียวอยู่หัวมุมด้านขวามือของทางแยก


เส้นทางนี้จะมีชาวบ้านปลูกสวนยางและสวนมะพร้าวอยู่มากมายตามสองข้างทาง ทำให้ดูสดชื่นเมื่อมองไปด้านข้างทางทั้งซ้ายและขวา ระหว่างนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของเรือโทรเข้ามาสอบถามเป็นระยะ อีกจุดหนึ่งที่ดูว่าช้าก็คือ รถตู้คันนี้ต้องจอดหลายจุดเพื่อไปส่งของให้ร้านหรือบ้านของชาวบ้านที่มีคนฝากมาจากหาดใหญ่ด้วย


หลังจากที่ลุ้นมานาน ในที่สุดก็ได้มาถึงท่าเรือปากบาราซะที ก่อนเวลาเรือออกประมาณ 10 นาที นั่นคือ 11:20 น. นั่นเอง แต่สุดท้ายก็ต้องมาคอยเรือเติมน้ำมันอีก เอ๊ะ....ทำไมเพิ่งมาเติมน้ำมันนะ สงสัยจัง ไม่เตรียมพร้อมเลย

บริเวณท่าเรือปากบาราก็วุ่นวายอย่างที่เห็นนั่นแหล่ะ


นี่ไง...เรือที่เราจะนั่งไป ครั้งนี้เลือกไปแบบ speedboat โดยเปลี่ยนแบบกระทันหัน เพราะอยากอยู่หลีเป๊ะนานๆ และที่สำคัญ จะได้ไปดำน้ำเลยในช่วงบ่ายของวันนี้ วันรุ่งขึ้นจะได้มาซ่อมได้ แต่มารู้ทีหลังว่าเรือดังกล่าวเป็นเรือที่มาแทนเรือที่จะไปเดิม เนื่องจากเรือเดิมเครื่องเสีย


กัปตันของเรา เตรียมจัดแจงบังคับพวงมาลัย นำเรือออกจากฝั่งแล้ว เวลาจริงก็เที่ยงตรงพอดี


ในลำนี้มีกรุ๊ปทัวร์ของคุณหน่อยซึ่งถ้าจำไม่ผิดเป็นทัวร์ที่คุณแฟนสวยไปได้ถึง 2 ครั้ง บางกลุ่มก็นั่งหน้ารับลม บางกลุ่มก็นั่งข้างใน เรือ speedboat เร็วก็จริง แต่ไม่ได้บรรยากาศวิวท้องทะเลและเกาะต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเราเลย แถมยังนั่งแบบเบียดๆกันด้วย


เที่ยงสามสิบห้า เรือก็พาพวกเรามาถึงยังเกาะตะรุเตา วันนี้ได้มี ดร.สุวิทย์ ยอดมณี เข้ามาเยือนเกาะนี้ ณ เวลาเดียวกันด้วย ทำให้หลายคนรีบถ่ายรูปท่านกันตลอด ส่วนผมถ่ายไม่ทันถึงทันก็อยู่ซะหลังเลย  งั้นเดินไปยังห้องบรรยายสรุปประวัติกันดีกว่า


ชักภาพเก็บแผนที่ 3D ที่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานทำขึ้นดีกว่า ใครจะมาจะได้ทราบถึงที่ตั้งและตำแหน่งของหมู่เกาะตะรุเตา-อาดัง-ราวี-หลีเป๊ะ แห่งนี้

ดูในภาพแล้ว หลีเป๊ะนั้นช่างเล็กแบนราบเหมือนบูมเมอแรงดังที่มีคนว่าไว้จริงๆ ส่วนเรื่องบูมเมอแรงนั้นต้องรอพิสูจน์ด้วยตาตัวเองบนจุดชมวิวผาชะโด


ที่นี่ยังมีซากปลาวาฬให้ดูด้วย ด้านข้างๆเป็นน้องเต่าน้อย


เดินมาดูทะเลหน้าเกาะตะรุเตากันดีกว่า นักว่ายน้ำเจอป้ายนี้คงเซ็งน่าดู แต่ก็เพื่อความปลอดภัย


มีเรือใบลอยลำอยู่ใกล้ชายฝั่ง


เขาว่าเจ้านี่ ประภาคาร คือสัญลักษณ์ของตะรุเตา แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ เพราะที่ไหนๆที่ใกล้ชายฝั่งก็มีประภาคารทั้งนั้น


สงสัยเจ้าเรือพวกนี้จะเป็นเรือของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล เพราะเคยเห็นมาแล้วที่สิมิลัน


หลังจากเรือออกจากตะรุเตา เกือบๆครึ่งชั่วโมง เรือก็มาถึงยังเกาะที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของจ.สตูล นั่นคือ ซุ้มประตูหินธรรมชาติที่เกาะไข่นั่นเอง

เรือจะขับอ้อมไปด้านหลังฝั่งขวามือเพื่อไปเทียบที่หาดทรายก่อนจะปล่อยให้นักท่องเที่ยวลงถ่ายรูปประมาณ 30 นาที(ทำไมนานจัง)


หลีกให้คนเขาเดินไปถ่ายรูปที่ซุ้มประตูหินกันก่อน เราเลยได้วิวน้ำทะเลใสๆไล่เฉดสีไปจนถึงเกาะกลมๆที่อยู่ข้างๆ


มีบางคนเหม่อลอยเมื่อยามเห็นทะเลสวยๆ ไกลโพ้นจากฝั่ง


ในที่สุดก็ต้องถ่ายรูปที่มีคนล้นหลามอยู่ตามซู้มประตูหินฯ ผิดกับครั้งก่อนที่สามารถถ่ายได้แบบโล่งๆ และอีกอย่าง ครั้งนี้น้ำขึ้นซะจนต้องเดินลุยน้ำถึงแข้งไปยังซุ้มประตู แต่ก็ดีที่ได้เห็นระดับน้ำถึง 2 แบบด้วยกันในจุดเดิมที่เคยมาแล้ว


ครั้งนี้มีเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาถ่ายรูปด้วย แต่คงร้อนน่าดูเลย


30 นาทีหมดไปกับการเดินตากแดดร้อนๆไปถ่ายรูปและลุยน้ำทะเล ก็ได้เวลาต่อไปยังหลีเป๊ะแล้ว


เรามาถึงยังหลีเป๊ะประมาณบ่ายสองสี่สิบเห็นจะได้ ครั้งนี้มาแปลกตรงที่เรือไม่ยอมจอดระหว่างเกาะอาดังและหลีเป๊ะเหมือนดังครั้งก่อน ผมแปลกใจมาก เพราะเห็นเรือแล่นอ้อมโลกไปทางหาดพัทยา แล้วจอดลอยลำอยู่เฉยๆ รอเรือหางยาวมารับ ผมเลยโทรหาโกหงวนแจ้งให้แกทราบว่ามาถึงแล้ว แต่เรือมาจอดที่หน้าหาดพัทยา แกเองก็แปลกใจมากๆ ถึงกับย้อนถามมาว่า "คุณมากับเรืออะไร ?" แสดงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับเรือแน่ๆ ทุกครั้งต้องมาจอดกลางทะเลระหว่างอาดังกับหลีเป๊ะ
คุณเนตรกับโอ๋ วันนี้พักที่อาดัง เราเลยแยกกัน ณ จุดนี้ แต่ได้ชวนกันเหมาเรือไปดำน้ำทั้งวันนี้ครึ่งวันและวันพรุ่งนี้แล้ว โดยวันนี้ พอเราได้เรือเสร็จก็จะไปรับที่เกาะอาดังแล้วออกไปดำด้วยกัน

สุดท้ายเรือของโกหงวน เม้าเท่นรีสอร์ทก็มารับเราถูกที่ เรือแล่นย้อนกลับมาด้านเม้าเท่นรีสอร์ทอีกครั้ง ผ่านตอม่อเทียบเรืออันเก่าที่ยังมีซากให้เห็นอยู่


ถึงแล้วเม้าเท่นรีสอร์ท รีสอร์ทที่ตั้งอยู่บนเนินเขาของหลีเป๊ะ


ขนาดเดินขึ้นบันไดของรีสอร์ทมาเหนื่อยๆ ยังอึตส่าห์เก็บรูปวิวไว้สักรูปก่อนจะเข้าเช็คอิน

พอมาถึงก็มีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทมาเตรียมรอรับเราที่ร้านอาหารด้านบน แล้วมีน้ำเย็นมาเสริฟให้คลายร้อนและเหนื่อย คุยสักพักก็ขอตัวไปเก็บของที่ห้องพักและจะกลับมาเหมาเรือออกไปดำน้ำอีกครั้ง


มาถึงห้องพักแล้ว เป็นห้องพัดลม ราคา 600 บาท/คืน สะอาดสะอ้านเช่นเดิม


ออกมาที่ระเบียงห้องพัก ก็ยังพอที่จะเห็นวิวทะเลบ้าง แต่ถึงไม่เห็นก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับเราอยู่แล้ว เพราะยังไงซะก็ต้องออกมาเดินเล่นด้านหน้าชายหาดหรือมาชมวิวเต็มๆที่ร้านอาหารของรีสอร์ทอยู่แล้ว


เราเดินกลับมายังร้านอาหารเพื่อรอเรือไปดำน้ำซึ่งเป็นเรือลำเดียวกับที่มาส่งเราเมื่อตะกี๊ วิวตรงจุดนี้ จำได้ว่าครั้งก่อนน้ำยังไม่ลดจนเห็นสันทรายขนาดนี้เลย แต่มาครั้งนี้น้ำลดจนเห็นสันทรายซึ่งผมว่าสวยงามมากกว่าน้ำขึ้นซะอีก เป็นความงามที่ถูกซ้อนเร้นไว้จริงๆ


KARMA BAR เริ่มเปิดบริการแล้ว


บ่ายสามโมงกว่าๆ เรือก็กลับมายังฝั่งเม้าเท่นหลังจากไปส่งกรุ๊ป 6 คนที่เกาะอาดัง ต่อจากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปรับเนตรกับโอ๋ที่เกาะอาดังเพื่อไปดำน้ำด้วยกัน


มาเหยียบยังเกาะอาดังครั้งแรกแล้ว เพราะครั้งที่แล้วไม่ได้มีโอกาสมา คราวนี้ก็ได้แต่รอ ร๊อ รอ....


ระหว่างรอก็หามุมถ่ายรูปไปเรื่อย มุมนี้เป็นวิวที่มองเห็นเกาะหลีเป๊ะจากชายหาดอาดัง ดูแล้วเหมือนไม่ไกล แต่ทำไมเวลานั่งเรือข้ามเกาะมันนานจัง


เนตรโทรมาบอกว่าจะมีเพื่อนมาแจมด้วยอีก 2 คน ซึ่งก็ดีเลย ไปหลายคนสนุกออก เรือออกเดินทางจากอาดังจริงๆก็บ่ายสี่โมง เราบอกกับพี่คนเรือว่าจะไปดำที่ไหนดี หลังจากคุยไปคุยมาโปรแกรมบ่ายวันนี้จะเป็น ร่องน้ำจาบัง แล้วไปเกาะหินงาม กลับมาต่อด้วยจุดชมปะการัง แล้วผมยังแอบหวังว่าจะได้ขึ้นผาชะโดในเย็นวันนี้ด้วย

มาถึงที่ร่องน้ำจาบังบ่ายสี่ยี่สิบ น้ำสีเข้มและแรงมาก เกาะที่เห็นด้านหน้าก็เกาะจาบังนั่นเอง ส่วนด้านขวาของภาพเป็นเกาะหินงาม แต่น้ำแรงยังไงก็ต้องลงไปพิสูจน์ดูอยู่แล้ว ลุยๆๆ


พอลงไปได้ รับรู้ถึงความแรงของน้ำ ซึ่งไหลแรงอย่างที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนในชีวิต ครั้งแรกที่มาก็ไม่ได้แรงอะไรมากมายขนาดนี้ หนทางเดียวเท่านั้นคือจับเชือกตามทุ่นให้แน่น ห้ามปล่อยเด็ดขาด ฟงฟินที่เอามาแทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่...แต่...ภาพที่ปรากฏออกมานั้นก็คงพอที่จะลืมความลำบากไปได้มากทีเดียว ปะการัง 7 สีนั่นเอง


พอกดมาได้ภาพแรก หลังจากนั้น 10 นาทีก็ไม่ได้เห็นอีกเลย หาไม่เจอแล้ว ผมเองก็พะวงกับการจับเชือกด้วย น้ำแรงมากกๆๆๆ ในใจท้อแล้ว สงสัยคงต้องกลับมาซ่อมในวันรุ่งขึ้นแน่นอน เอาหัวโผล่มาก็ถ่ายบรรยากาศเพื่อนร่วมเรือลำเดียวกันที่กำลังขะมักขะเม้นกับการดำดูปะการัง 7 สีเหมือนกัน


ต่อไปนี้จะเป็นชุดของภาพใต้น้ำล้วนๆ ยังดีที่มีโชคอยู่บ้าง น้ำเริ่มลดความแรงลง เลยพอที่จะเห็นอะไรได้บ้าง แต่น่าเสียดายที่แสงเริ่มน้อยแล้ว ฉะนั้น ภาพที่ออกมาค่อนข้างจะถ่ายยากมากๆ คุณภาพของภาพเลยออกมาไม่ดีเท่าไหร่

เรามาเริ่มที่ปลากันบ้าง ขนาดปลาเองยังจะเอาตัวไม่รอดเลยเมื่อเจอกระแสน้ำแบบนี้


ปลาตัวนี้แปลกดี ไม่เคยเห็น จังหวะพอดีที่ว่ายมาหน้ากล้อง


จากการดำน้ำที่ร่องน้ำจาบัง ผมค้นพบมาว่า ปะการังอ่อนจะมีอยู่ด้วยกัน 3 กอใหญ่ๆ 2 กอแรกจะมีปะการัง 7 สีอยู่เยอะพอๆกัน ส่วนอีกกอซึ่งอยู่ไกลออกไปนั้นพื้นหินจะเป็นสีเหลือง และมีปะการังอ่อนอยู่ไม่กี่พุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสีแดงเข้ม


ลำบากมากในการถ่ายรูปใต้น้ำยามนี้ เนื่องมาจากน้ำแรงเราต้องเกาะเชือกตลอด ปล่อยมือไม่ได้ ทำให้ไม่ค่อยมีมือว่างมากดฟังก์ชั่นภายในกล้อง กอนี้ปะการังสีชมพูสวยสดทีเดียว


ขยับเข้าไปใกล้ๆซิ


ซูมมาดูใกล้ๆดีกว่า ภาพจะแตกๆหน่อย เนื่องจาก ISO มาก noise เลยเยอะตาม


อีกมุมหนึ่ง


ซูมออกมาดูภาพรวม


ขยับไปอีกมุมหนึ่ง


เริ่มมีแสงแดดส่องลงมาบ้างแล้ว


ตกลงที่บอก 7 สีมีสีอะไรบ้าง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน


ปะการังกับปลาเป็นของคู่กัน มีปะการังที่ไหนมีปลามาว่ายวนเวียนเสมอไป


สีชมพูแซมขาวก็สวยเหมือนกัน


อีกมุมหนึ่งที่ใกล้เคียงกันโดยมีสีส้มมาแจม


ดำมาประมาณ 20 นาทีแล้ว ยังไม่รู้สึกเบื่อเลย


ไม่รู้จะบรรยายอะไรดี


ดูดีๆจะมีหอยเม่นมาแจมด้วย


ไม่แน่ใจว่าที่เป็นรอยหยักๆเหลี่ยมๆสลับฟันปลาข้างๆหอยเม่นมันคืออะไร เป็นฝาของหอยหรือเปล่า


ซูมกันใกล้ๆอีกครั้ง มีปลาสีฟ้ามาเข้ากล้องด้วยแฮะ


เอ้า....ดูกันให้ตาแฉะกันไปเลย


ในความสวยงามก็จะมีอันตรายแฝงอยู่ ดังเช่นปะการัง 7 สีที่มีหอยเม่นแซมอยู่ข้างๆนั่นไง


นี่แหล่ะที่เคยบอกไว้ว่าเป็นอีกกอหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป โดยมีสีพื้นของกอหินเป็นสีเหลือง แต่มปะการังสีไม่กี่พุ่ม ส่วนใหญ่จะสีแดงเข้ม

หลังจากนั้น น้ำก็จะเริ่มใสแล้ว ความแรงของน้ำก็ลดลง แต่เป็นที่น่าเสียดาย แบตฯกล้องเจ้ากรรมดันมาหมดซะก่อน กดเปิดยังไงก็ไม่ได้ เลยมีภาพมาฝากที่ร่องน้ำจาบังเท่านี้ครับ คงรอขึ้นจากน้ำแล้วไปเปลี่ยนแบตฯอีกครั้งบนเรือ

ขอจบตอนนี้ Part I ไว้เพียงเท่านี้ครับ แล้วมาติดตามต่อตอนไปเกาะหินงามและกลับมาดูกัลปังหาที่จุดดูระหว่างอาดังกับหลีเป๊ะกันครับ สวัสดี (_/\_)

Original Published on www.pantip.com at [ 28 มี.ค. 50 00:07:19 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น