วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2549

หลีเป๊ะ...เกาะสวาท หาดสวรรค์ ตอน 1 ย้อนรอยตะรุเตา นรกแห่งอันดามัน


ครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ผมใฝ่ฝันจะไปตามหาชายหาดและเกาะที่ใครๆเขาว่ากันว่าสวยงามยิ่งนัก เดินบนทรายยังกับเดินบนแป้งหรือคอฟฟี่เมตก็ไม่ปาน อีกทั้งมีการผสมผสานระหว่างวิถีชีวิตชาวประมงหรือเรารู้จักกันในนามชาวเลกับธรรมชาติที่อยู่โดยรอบเกาะได้อย่างลงตัว ผมจึงไม่รีรอที่จะหาข้อมูลในการจะไปเยือนเกาะแห่งนั้นให้ได้

ข้อมูลมีอยู่มากมายทั้งในเว็บโดยเฉพาะห้อง BP แห่งนี้ และหนังสือท่องเที่ยวที่ขายกันอยู่ทั่วไป หมู่เกาะที่เราจะไปเยือนนี้จะว่าไปแล้วน่าจะอยู่ใต้สุดของประเทศไทยเรา ถ้าใต้ไปกว่านั้นก็คงจะเป็นเกาะลังกาวีของมาเลเซียที่อดีตเคยเป็นของไทยมาก่อน 

ชื่อแปลกๆกระทบมายังโสตประสาทหูและตาอยู่บ่อยครั้งหลังจากเริ่มหาข้อมูลอย่างเป็นจริงเป็นจัง ชื่อแปลกๆที่ว่านั้นก็คือ หลีเป๊ะ บ้างก็แปลว่า บอบบาง หรือไม่ก็กระดาษ คงจะเป็นสาวงามหุ่นบอบบางแห่งอันดามันที่อยู่ท่ามกลางชายหนุ่มบึกบึนซึ่งก็คือเกาะอาดัง-ราวีที่รายล้อมอยู่กระมัง 

หลังจากหาข้อมูลอยู่หลายวัน ผมก็มาตระหนักว่ามีนักเดินทางท่านหนึ่งซึ่งให้ข้อมูลอย่างมีประโยชน์มากเลย ประกอบกับได้แนบเบอร์ติดต่อไว้ด้วยในกรณีที่สงสัย ผมจึงลองคุยตามสายเพื่อสอบถามข้อมูลที่ตัวเองยังสงสัย ได้รับการตอบคำถามเป็นอย่างดี ทำให้ใจโน้มเอียงไปในทางซื้อทัวร์ไป แต่แล้วก็มาเปลี่ยนใจว่าจะจองเองซึ่งรีสอร์ทที่เราต้องการพักนั้นเต็มหมด จึงต้องวนกลับมาที่ทัวร์อีกครั้งหนึ่งโดยให้ทัวร์จองรีสอร์ทที่เราต้องการนั้นให้ ปรากฏว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แสดงว่าเขากันไว้สำหรับทัวร์นั่นเอง

ข้อมูลต่างๆที่เตรียมไว้มีพร้อมแล้ว จึงเหลือแค่รอวันนับถอยหลังนั่นเอง สุดท้ายวันนี้ก็มาถึง วันไปหลีเป๊ะ...เกาะสวาท หาดสวรรค์นั่นเอง


ผมนึกขึ้นได้ก่อนจะไปไม่กี่วันว่าเคยซื้อหนังสือทริปมาเล่มหนึ่งซึ่งมีภาพและข้อมูลหมู่เกาะอาดัง ราวี หลีเป๊ะ และเกาะหินงามที่ดูภาพแล้วสวยงามเหลือเกิน จึงได้ค้นมาและทบทวนความอยากไปอีกครั้งจากการดูรูปภายในเล่ม


สอบถามข้อมูลใน BP จึงค่อนข้างมั่นใจว่าวันที่ไปยังไม่เก็บเงินค่าที่จอดรถในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งก็ยังไม่เก็บจริงๆ แต่มีเพิ่มมาอีกคือบัตรจอดรถกันหายนั่นเอง
หกโมงเช้าก็มาถึงยังอาคารผู้โดยสารขาออกของสุวรรณภูมิ แสงไฟที่เปิดตามตัวอาคารและหลังคาดูสว่างไสวอลังการจริงๆ


ผมและเพื่อนขึ้นเครื่องบินแอร์เอเชียไฟล์ท 6:55 น. ซึ่งจะลัดฟ้าพาเราไปลงที่หาดใหญ่ จ.สงขลา ไฟล์ทแรกอย่างที่ผมคิดไว้คือ ออกตรงเวลาและไม่ดีเลย์เลย สักแปดโมงเช้า เครื่องบินก็ลดระดับแล่นผ่านมาที่ทะเลสาบสงขลา มองเห็นวิวทะเลสาบชัดเจน


พอถึงสนามบินหาดใหญ่ ผมก็เตรียมตัวที่จะไปรอรถสองแถวที่จอดด้านหน้าสนามบิน เพื่อจะไปขึ้นรถตู้ต่อไปยังท่าเรือปากบาราที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ แต่รอผู้โดยสารคนอื่นสักพัก คุณอินไกด์ทัวร์ที่ผมติดต่อด้วยได้โทรเข้ามาและบอกว่าให้เราโดยสารรถเก๋งที่มีคนเขาเหมาไปท่าเรือปากบาราด้วยเช่นกัน จะได้แชร์ค่าใช้จ่าย
ด้วยความที่เราก็อยากรีบไปอีกทั้งกลัวเสียเวลากับรถสองแถวที่ยังรอผู้โดยสารให้ครบก่อน เราเลยพลาดที่ไม่ได้ถามค่ารถ พอถึงท่าเรือปากบาราจึงได้รู้ว่าเขาเหมามาแพงจริงๆ รู้งี้ไปรถตู้แบบปกติดีกว่า กลายเป็นว่าเรามาช่วยสมทบเสียเงินค่ารถให้คนที่เขาเหมามาเฉยเลย แต่ไม่เป็นไร ในที่สุดเราก็มาถึงที่ท่าเรือปากบาราประมาณ 10:30 น. ก่อนเวลาเรือออก 10-15 นาที
หลังจากเข้าไปติดต่อกับทัวร์ที่เราจองมาก็เป็นอันเรียบร้อย เตรียมพร้อมที่จะลงเรือเดินทางต่อไปยังหลีเป๊ะแต่เราจะไปแวะเที่ยวที่ตะรุเตาก่อนอันดับแรก


ภายในเรือซึ่งมีทั้งคนไทยและเทศเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง เรือที่ไปค่อนข้างเล็ก จุคนไม่ได้มากเท่าไหร่


เรือออกประมาณ 11 โมงได้ ผ่านหอไฟแดง ไม่ทราบว่าใช้ทำอะไรเหมือนกัน หรือแค่เปิดไฟตอนกลางคืนเพื่อนำทางเรือที่จะเข้ามาที่ท่าเรือ


เรือแล่นไปเรื่อยๆท่ามกลางน้ำทะเลสีฟ้า เราเปลี่ยนที่นั่งจากแต่ก่อนนั่งข้างล่างซึ่งร้อนออกมานั่งด้านบนซึ่งเย็นกว่าเพราะมีลมโชยมาตลอด แปลกใจเหมือนกันเมื่อเห็นหลายคนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ทั้งๆที่ออกมาจากฝั่งพอประมาณแล้ว ซึ่งก็จริงๆว่ายังมีสัญญาณโทรศัพท์อยู่ตลอด


เกือบเที่ยงเราก็มายังเกาะตะรุเตา เกาะที่เมื่อครั้งอดีต พ.ศ. 2479 เคยเป็นที่ฝึกอาชีพและกักขังนักโทษคดีอุจฉกรรจ์ ที่ตั้งอยู่กลางทะเลลึก ซึ่งใครที่คิดจะหนีจากเกาะแห่งนี้ก็จะต้องผจญภัยกับปลาฉลามและจระเข้ ที่คอยจ้องจะกินเหยื่ออันโอชะแบบเนื้อมนุษย์อยู่


อ้าว....ใครจะแวะเที่ยวที่นี่ก็เชิญลงได้ ส่วนคนที่ไม่แวะก็จะไปกับเรือนี้ต่อไปที่ปลายทางเกาะหลีเป๊ะเลยนั่นเอง


ใครมาแถบทะเลอันดามันบ่อยๆคงจะชินกับป้ายเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิที่ตั้งอยู่แถบชายทะเลของตะรุเตา


พี่ไกด์ Luckey 1 ใน 3 ของไกด์ที่มาดูแลพวกเรา 10 ชีวิตกำลังอธิบายสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวอีกทั้งประวัติศาสตร์ของเกาะแห่งนี้ให้พวกเราได้ฟัง ก่อนที่เราจะทานข้าวกลางวันและมีโปรแกรมไปดูอดีตคุกของตะรุเตาในช่วงบ่าย


ณ ร้านอาหารของอุทยานจะแหงนมองเห็นศาลาชมวิวที่มองลงมด้านล่างซึ่งคงเดินขึ้นไปไกลน่าดูเชียว


ทานอาหารกลางวันเสร็จก็เดินออกมาถ่ายรูปพร้อมกับชมวิวด้านอ่าวพันเตมะละกาที่อยู่หน้าที่ทำการของอุทยาน


พอบ่ายโมงก็เริ่มเดินทางต่อไปยังอ่าวตะโละวาว(ถ้าจำผิดก็ขออภัยด้วย) โดยรถ 6 ล้อของอุทยาน เรานั่งหน้าเพื่อจะได้ชมวิวสองข้างทางและดูเส้นทางไปด้วย อีก 20-30 นาทีก็มาถึงจุดที่จะต้องลงเดินไปยังสถานที่ที่เคยเป็นคุกตะรุเตาแล้ว
ณ มุมนี้ก็จะเป็นท่าเทียบเรือด้วยเช่นกัน


เอาหล่ะ...ได้เวลาเดินต่อไปแล้ว สุ(ไกด์ของเรา)บอกว่าระยะทางประมาณ 1 กม.


ตามประวัติท่าเรือนี้ เคยใช้สำหรับส่งนักโทษที่มาจากกทม.โดยรถไฟจากหัวลำโพงแล้วมาลงที่สถานีควนเนียง สงขลาแล้วเดินทางด้วยรถยนต์ไปยังเรือจำสตูลแล้วต่อด้วยเรือมายังเกาะตะรุเตาแห่งนี้อีกครั้ง
นักโทษชุดแรกที่มาจำนวน 500 คน มาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2481


ต่อไปก็จะเป็นตึกแดงซึ่งใช้กักขังเดี่ยวนักโทษในกรณีที่รุนแรงที่สุดโดยนักโทษจะเกรงกลัววิธีนี้มาก เป็นหลุมดินปิดทึบ มีรูหายใจขนาดเท่าหัวแม่มือ 5 รูเท่านั้น


เดินต่อไปอีกก็จะเป็นเรือนพยาบาล ซึ่งทำไว้สำหรับรักษานักโทษที่เจ็บป่วยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ช่วงหลังๆมีไข้มาเลเรียระบาดทำให้มีนักโทษล้มป่วยตายมากถึง 700 คนด้วยกัน นักโทษที่ตายก็จะนำไปห่อด้วยผ้าหรือเสื่อแล้วนำไปฝังที่ป่าช้าในวันเดียวกัน แล้วแทงจำหน่ายโดยไม่บอกให้ญาติรับรู้


ส่วนอันนี้เป็นรถเข็นที่ใช้สำหรับขนส่งวัสดุก่อสร้างโดยใช้กำลังคน ผลิตจากโรงงานต่างประเทศ


ต่อจากนั้นก็จะเป็นบ้านพักหรือที่ทำการอะไรสักอย่าง ผมจำไม่ได้แล้ว


พอบ่ายสามโมงสิบ ก็ได้เวลาอำลาตะรุเตา นรกแห่งอันดามัน เพื่อไปยังเกาะหลีเป๊ะโดยระหว่างทางนั้นเราจะเจอกับเกาะไข่


เรือผ่านเกาะไข่ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือตอนขาไป เรือแล่นชลอๆให้นักท่องเที่ยวได้มีเวลาเก็บภาพประทับใจ โดยเกาะไข่นี้ในอดีตเคยเป็นเกาะที่เต่าทะเลมาวางไข่ แต่สมัยนี้ไม่มีแล้ว เหลือเพียงซุ้มประตูหินธรรมชาติให้เราๆได้ถ่ายรูปและจังหวะดีๆเรือเข้าไปเทียบเราก็สามารถเดินลอดซุ้มนี้ได้


บ๊าย บาย เกาะไข่ มุ่งหน้าสู่เกาะหลีเป๊ะต่อไป


เรือประมงแฝด ลอยลำเหงาๆกลางทะเลอันดามัน


ในที่สุด การเดินทางอันยาวนานก็เกือบสิ้นสุดลง จะเหลือเพียงแต่เรือหางยาวมารับเราจากเรือใหญ่ไปขึ้นฝั่งตามรีสอร์ทที่จองไว้นั่นเอง ดูเวลาประมาณ 17:15 น.


นั่นไง....วิว Mountain Resort ที่เราจองไว้เมื่อมองจากเรือ ความรู้สึกตอนนั้นไม่ผิดหวังเลยที่ได้จองที่นี่ไว้


เดินขึ้นบันไดไม้มา เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย สูงก็สูง ชันก็ชัน แต่คุ้มที่จะมาพัก


หลังจากไกด์เคลียร์เรื่องเช็คอินที่พัก เราก็เดินไปเก็บสัมภาระเสื้อผ้าที่ห้อง E-1
ที่พักที่นี่จะเป็นไม้ไผ่สาน ใต้ถุนยกสูง สภาพใหม่เนื่องจากเปิดได้ไม่นานเมื่อเทียบกับที่อื่น ปลูกกันไล่ระดับตามเขา


มาถึงแล้วที่พักของเรา E-1 สังเกตมีโอ่งน้ำไว้ล้างเท้าที่เปื้อนทรายก่อนเข้าห้องด้วย


ภายในห้องกระทัดรัด มีห้องน้ำในตัว เตียงมีมุ้งแถมมาด้วย สงสัยยุงที่นี่เยอะน่าดู ผ้าปูเตียงและหมอนยังใหม่ๆอยู่เลย สภาพความสะอาดถือว่าดีมากๆ


หลังจากเก็บข้าวเก็บของเสร็จ ก็ได้เวลาเดินสำรวจหาดสวรรค์กันแล้ว
เดินลงมาตามทางเดินบันไดไม้ ชอบมากกับบรรยากาศชายหาดยามเย็นบวกกับวันที่พระจันทร์ดวงกลมๆโตๆ โผล่ออกมาหยอกเย้ากับเรา


ชายหาดนี้เรียกว่าเป็นชายหาดฝั่งทิศเหนือที่ต่อกับชายหาดทิศตะวันออกหรือ Sunrise Beach


เย็นวันนี้พระจันทร์สวยจริงๆ


มองย้อนมาทิศตะวันตกบ้าง พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าไปแล้ว


ได้เวลาเดินขึ้นไปชมวิวต่อที่ด้านบนร้านอาหาร บันไดไม้ใหม่และทาสีสดและสวยประทับใจจริงๆ


ณ จุดนี้มองออกไปเห็นผืนทะเลเต็มๆ


วิวด้านตรง


มองมาทางฝั่งขวาบ้าง ทะเลก็ยังสวยเหมือนเดิม


1 ทุ่มได้เวลาทานข้าวแล้ว ผัดเปรี้ยวหวานปลาอร่อยมาก


โอ้....พระจันทร์สาดแสงลงมา สวยงามจริงๆ


ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลาเดินไปหาโรตีดังๆทานกัน ไกด์ทั้งสองคือ นกและสุเดินไปกับเราด้วย โดยรอไกด์อีกคนพร้อมกับลูกทัวร์เดินไปพร้อมกัน
เราเดินผ่าน Karma bar ซึ่งวันนี้รู้สึกจะไม่เปิด


ไฟทางเดินบันไดก็ดูสวยงามมากครับ


ส่งท้ายอีกรูป ไฟตามบันไดที่ขึ้นไปยัง Mountain Resort


พวกเราเดินเลาะผ่านหน้าอันดามันรีสอร์ท ไปตามแนวชายหาดพระอาทิตย์ขึ้น ที่ชายหาดนี้มีต้นมะพร้าวปลูกอยู่เต็มไปหมด


ระหว่างทางผ่านโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง หมู่บ้านชาวเล กับร้านขายปลาหรืออาหารทะเลสดๆกันหน้าร้านเลย แต่ราคาค่อนข้างแพงไปหน่อยนะ


เดินมาเรื่อยๆผ่านร้าน Lotus Dive, Pooh's bar ร้านน่าเข้าเหมือนกัน


และแล้วก็มาเสียเงินกับสร้อยข้อมือหินหลากสีที่ร้านนี้


เดินมาเหนื่อยๆร้อนๆ ขอแวะทานโรตีก่อนครับ แต่ไม่ได้เป็นร้านดังแต่อย่างใด


3 ทุ่ม 45 นาที มาถึงยังวารินรีสอร์ท หาดพัทยาจนได้ เห็นมีการก่อกองทรายหน้าหาดสวยดี เลยถ่ายเก็บไว้(สงสัยพวกฝรั่งต้องทำไว้แหงเลย)


เรากินบรรยากาศสักครู่ใหญ่ๆก็ได้เวลากลับที่พัก โดยทิ้งภาพปลาสัญลักษณ์ของวารินรีสอร์ทไว้เพียงเท่านี้ คืนนี้จะได้นอนเอาแรงเพื่อพรุ่งนี้จะได้เตรียมพร้อมกับการดำน้ำทั้งวัน

ขอจบวันแรกที่หลีเป๊ะ...เกาะสวาท หาดสวรรค์ไว้เพียงเท่านี้ แล้ววันรุ่งขึ้นเจอกันใหม่กับความมหัศจรรย์กับท้องทะเลไทยทั้ง นีโม่ ปลาสิงห์โต และปะการัง 7 สี สุดยอดของทริปนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ _/\_

Original Published on www.pantip.com at [ 7 ธ.ค. 49 02:20:10 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2006/12/E4941228/E4941228.html


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น