วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

นครวัด-นครธม-บันทายสรี-กบาลสะเปียน ตอน 1 เดินทางด้วยรถบ่อนไปด่านปอยเปต เที่ยวโตนเลสาบ ชมพระอาทิตย์ตก ณ พนมบาเคง


ทริปนี้เกิดขึ้นก่อนวันเดินทางไม่เกิน 2 สัปดาห์ ตอนแรกว่าจะหยุดอยู่บ้านช่วงหยุด 6-8 เมษายน แต่พอดีทางบริษัทใจดี ประกาศวันหยุดเพิ่มในวันที่ 9 เมษายน ตามรัฐบาล ทำให้วันหยุดแต่เดิม 3 วันติดกัน กลายเป็น 4 วันติดกันโดยไม่ต้องลาเพิ่ม  คราวนี้ก็อยู่บ้านกันไม่ติดแล้วครับ รีบหาโปรแกรมที่พอจะไปต่างประเทศละแวกเพื่อนบ้านได้ในเวลา 4 วันด้วยกัน ทำให้แผนที่เคยวางไว้หลายๆ ปีก่อนในอดีตผุดขึ้นมาในสมอง จะเป็นอะไรไปซะไม่ได้ ก็ต้องเป็น สิ่งมหัศจรรย์ของโลกนั่นคือ Angkor Wat Angkor Thom หรือ นครวัด นครธม ประเทศกัมพูชานั่นเอง 

พอได้สถานที่ที่จะไปแล้ว ข้อมูลที่เคยหามาในอดีตก็ลืมไปหมดแล้ว ทำให้ต้องรื้อฟื้นกันใหม่ ผมเริ่มหาข้อมูลการเดินทางทั้งจากบ้านที่อยู่บริเวณเซ็นทรัลบางนาไปตลาดโรงเกลือด่านชายแดน และจากด่านปอยเปตเข้าเมืองเสียมเรียบทางอินเตอร์เน็ต พร้อมๆ การเดินทางทั้ง 3 วันที่จะอยู่ในเสียมเรียบว่าใช้บริการแบบไหนดี และห้องพักโรงแรมไหนที่นักท่องเที่ยวชอบพักและแนะนำกัน

ก่อนเดินทาง 3 วัน ผมได้เมล์ติดต่อคนขับตุ๊กๆ คนหนึ่งในเสียมเรียบที่มีคนแนะนำกันบนเน็ต แต่พอคุยต่อรองราคาไปๆมาๆ ไม่ค่อยจะลดราคาให้ และดูแล้วอาจแพงกว่าไปหาและต่อลองเองด้วยซ้ำ เลยตัดสินใจไม่เอา ไปต่อรองเอาที่สถานที่จริง เจอตัวต่อตัวดีกว่า ติดต่อทางเมลล่วงหน้าแทนที่จะราคาไม่แพงมากนัก

ที่พักในเสียมเรียบผมเลือกที่จะพักที่ Golden Temple Villa อย่างที่เพื่อนๆแนะนำกัน แต่พอจองเข้าไปปรากฎว่าเต็มครับ เต็มทั้ง 3 คืนเลย แต่เขาก็แนะนำที่พักในเครือมาให้ครับ แต่ผมเห็นว่ายังไม่ถูกใจเลยหาเอง คราวนี้เลยใช้บริการ Agoda เลือกที่คะแนนรีวิวเยอะๆ ราคาไม่แพง ไปได้ที่ Im Malis Hotel ครับ คืนละ 574 บาท แต่ครั้งแรกจองผิด ดันไปจองแบบพักคนเดียว แต่ยกเลิกฟรี ไม่เสียเงินค่าปรับสักบาท แต่คะแนน redemption ใช้ไปแล้ว ได้คืนมาก็ไม่ทันใช้กับอีกครั้งที่ถูกต้องเลยต้องจ่ายเต็มๆ 

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ได้โปรแกรมคร่าวๆ ตลอด 4 วัน 3 คืนของทริปนี้ดังต่อไปนี้ครับ
วันแรก   :  ออกเดินทางแต่เช้าตรู่จากหน้า Big C Bangna ไปตลาดโรงเกลือด่านชายแดนไทย-กัมพูชา โดยรถคาสิโนของ Grand Diamond City Poipet
                ถึงด่านชายแดน ผ่านตม.ไทย เข้าไปคาสิโนเพื่อไปรับเงินคืน 100 บาท และอาจทานอาหาร
                เช้าโดยคูปองฟรีที่นี่เลย
                ผ่านตม.กัมพูชา เดินออกไปหารถแท็กซีแคมรี หรือไม่ก็นั่งรถมินิบัสจากวงเวียนไปท่ารถ(ฟรี)
                ถึงเมืองเสียมเรียบ เข้าที่พัก (Im Malis Hotel) ย่านถนน Thapul (เดินไป night market 10 นาที)
                หารถตุ๊กๆ เพื่อต่อรองราคา โดยจะเหมารวมทั้ง 3 วันเลยที่เที่ยวปราสาททั้งหมด และอยากไป
                โตนเลสาบในช่วงบ่ายของวันนี้ถ้าเป็นไปได้
                ไปชมพระอาทิตย์ตกน้ำที่โตนเลสาบ หรือพระอาทิตย์ตกดินที่พนมบาเค็ง
                ไปทานอาหารเย็นที่ Pub Street
วันที่สอง  : ตื่นแต่เช้ามืด ไปเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดข้างๆสระบัว
                กลับมาที่พักเพื่อทานอาหารเช้าที่โรงแรม
                สายๆ ไปต่อที่นครวัด ชมภาพฝาผนังที่วิจิตรบรรจง
                ทานอาหารเที่ยงแถวๆ ปราสาท
                บ่ายไปต่อที่นครธม -บายอน-บาปวน-พิมานอากาศ-ลานพระราชวัง-ลานช้าง-ลานพระเจ้าขี้
                เรื้อน-ธรรมนานน-เจ้าสายเทวดา-สะเปียนทมอ-ตาแก้ว-ตาพรหม
                หาอาหารเย็นทานแถวๆ Lucky Mall
วันที่สาม : ตื่นเช้า 
                ทานอาหารเช้าที่โรงแรม 
                ไปเที่ยวปราสาทรอบใหญ่ กระวัน-แปรรูป-กบาลสะเปียน-บันทายสรี-แม่บุญ-ตาสม-นาคพัน-
                 พระขรรค์
                 กลับที่พัก ทานอาหารเย็น ซื้อของฝากที่ Old Market
วันที่สี่     :  ตื่นสายหน่อย
                 ทานอาหารเช้าที่โรงแรม 
                 หารถกลับด่านปอยเปต
                 ข้ามฝั่งเข้าไทย ขึ้นรถคาสิโนกลับบ้าน
                 จบทริปบริบูรณ์


วันที่หนึ่ง : 6 เมษายน 2555
ตื่นแต่เช้าตรู่ ตี 4 ตรงเพื่อให้ทันไปรอรถบัส VIP คาสิโน รอบตี 5 ที่หน้าบิ๊กซี บางนา แต่เกือบจะไปไม่ทันแล้ว เพราะรถแท็กซี่ที่โทรไปใช้บริการที่ศูนย์แท็กซี่หารถแท็กซี่บริเวณนั้นไม่ได้ ทั้งที่บ้านก็อยู่แถวๆเซ็นทรัลบางนา ทำให้ต้องลากกระเป๋งตุเลงๆ เดินไปหารถแท็กซี่เองหน้าปากซอย โชคดีมีรถแท็กซี่ว่างผ่านมาพอดี เลยรีบขึ้นและให้ตรงดิ่งไปที่ป้ายรถเมล์หน้า บิ๊กซี บางนาทันที พอไปถึงไม่ทันได้จ่ายเงิน รถบัสที่ว่าก็มาจอดต่อท้าย เกือบขึ้นไม่ทันซะแล้ว

ก่อนลงรถคนยืนรอเต็มไปหมด 10 คนได้ พอรถมาจอดก็กรูกันขึ้นทั้งหมดเลย เกือบทำให้เราไม่มีที่นั่งด้วยซ้ำไป เลยได้ไปนั่งเบาะท้ายสุด ดังสภาพที่เห็นในรูป แล้วเจ้าหน้าที่ก็มาขอพาสปอร์ตและบัตรประชาชนไปกรอกใบผ่านชายแดนให้ด้วย สงสัยคนที่ไปส่วนใหญ่จะกรอกกันไม่เป็นมั้งครับ

ขึ้นรถเสร็จ พอรถไปได้เกือบครึ่งชั่วโมงก็เริ่มง่วงครับ เพราะตื่นเช้าเหลือเกิน เส้นทางของรถจะใช้บูรพาวิถีแล้วลงที่บางวัวเพื่อเข้ามอเตอร์เวย์ แล้วไปออกบางปะกงเส้น 314 เข้าพนมสารคาม ปราจีนบุรี เข้าสระแก้ว ออกที่โรงเกลือ ด่านชายแดนเป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจของรถคันนี้ครับ

ลืมบอกไปว่า ค่ารถคนละ 200 บาท แต่ถ้าเข้าไปที่คาสิโนแล้วไปลงชื่อก็จะได้คืน 100 บาทครับ ซึ่งเราก็ไปรับคืน ทำให้จ่ายจริงๆ คนละ 100 บาทเท่านั้น


รถไปจอดพัก 10 นาทีที่ปั๊มน้ำมัน สระแก้ว แล้วก็ไปต่อ รถใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.นิดๆ ก็ถึงโรงเกลือ คนในรถลงกันหมดรวมเราด้วย ลงเสร็จก็มองหาทางไปด่านตรวจคนเข้าเมืองกัน ไปทางนี้ครับ เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลย


8.28 น. เดินไปถึงที่หน้าด่านตม.ไทยก็ถึงกับตะลึง เพราะแถวยาวมากๆ ยาวออกมาจากที่กั้นด้านนอก ยาวเฉพาะคนที่ถือหนังสือเดินทางไทยซะด้วย แต่เอ๊...บางคนที่ไม่ใช่ต่างชาติ ซึ่งก็คือคนไทยบางกลุ่มสามารถเดินลัดออกไปด้านขวา ไปเข้าห้องก่อนได้นะ ทราบทีหลังก็คือกรุ๊ปทัวร์ที่ได้อภิสิทธิจากตม.ที่นี่นั่นเอง


ระหว่างยืนต่อแถวรอที่ยาวแสนยาว ก็ถ่ายภาพยักษ์ 2 ตนยืนเฝ้าด่านฝั่งไทย ตรงที่เป็นเส้นทางรถผ่านเข้าออก


หลังจากยืนเข้าแถวรอกันไปเกือบๆ ชั่วโมง ก็ได้เข้าไปในห้องที่ติดแอร์เย็นๆ วันนี้คนผ่านด่านขาออกไปกัมพูชาเยอะมาก สงสัยเพราะเป็นวันหยุดยาว คนไทยส่วนใหญ่ที่ไปก็จะไปเล่นที่คาสิโนฝั่งปอยเปตนั่นเอง มีบ้างที่เดินทางต่อไปเมืองเสียมเรียบเพื่อไปท่องเที่ยว

9.11 น. เราก็ออกมาจากด่านตม.ไทย เดินเข้าเขตปอยเปต กัมพูชาแล้ว ข้างหน้าเป็นประตูประสาทนครวัดจำลอง สัญลักษณ์ของประเทศกัมพุชา


เดินไปก็งงๆ ว่าด่านตม.กัมพูชาอยู่ไหน ทำไมไม่มีต่อกันเลย จนต้องหยุดเพื่อถามคนท้องถิ่นแถวนั้น ซึ่งก็บอกให้เดินต่อไปทางด้านขวา

หลังจากหายงง เราก็เดินต่อไปสักครู่ก็เจอคาสิโน Grand Diamond City เจ้าของรถบัสที่เราขึ้นมา ไม่รอช้าเดินเข้าไปด้านในเพื่อไปลงชื่อรับเงินคืนคนละ 100 บาท ซึ่งก็ได้คืนกันมาจริง แถมด้วยคูปองทานอาหารบุฟเฟต์อีกมูลค่า 169 บาทต่อคน ทำให้เราเลือกทานอาหารเช้าที่นี่ก่อนนั่งรถไปเสียมเรียบ

ผมเลือกทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นชามนี้ครับ รสชาติอร่อยดี


ออกจากคาสิโน ก็เดินชิดขวามาเข้าด่านตม.กัมพูชากัน เดินตรงไปเลยครับ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ชาวไทยเข้าดัมพูชาไม่เกิน 14 วัน ไม่ต้องทำวีซ่าแล้ว ประหยัดเงินไปได้อีกเยอะเลย


ตม.ที่นี่ต้องสแกนนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วกันเลยทีเดียวครับ ซึ่งก็ดีนะผมว่า ตามจับคนทำผิดกฎหมายจะได้ง่ายๆ สะดวกๆ

ออกจากตม.มาก็เดินไปนิดเดียว เจอคนรอเยอะมาก เอ๊ะ...รออะไรกัน อ๋อ...รอรถมินิบัสฟรีไปท่ารถนั่นเอง ตรงนี้เองที่มีเจ้าหน้าที่กัมพูชามาคอยบอกเราสองคนให้รีบไปรอขึ้นรถที่กำลังจะวนมาที่ด้านหน้าเลย เราก็งงๆว่า มาคอยเทคแคร์เรา 2 คนทำไม แต่พอรถมินิบัสมาจอดจริงๆ คนไทยที่มากับทัวร์เข้าแถวต่อยาวไปขึ้นรถแล้ว ที่เจ้าหน้าที่บอกให้เราไปยืนรอก็คือการไปยืนแซงแถวยาวของกรุ๊ปทัวร์นั่นเอง ซึ่งเราก็ไม่ไป เพราะจะแซงเขา ครั้นรอให้คนขึ้นจนหมดก็จะเต็มกันพอดี เราเลยใช้ข้อมูลเดิมคือ เดิมไปหารถแถวๆวงเวียน มองหาที่รถแคมรี่จอดกันเยอะๆ


เราไม่เดินไปขึ้นรถมินิบัส เพราะคนไทยยืนต่อแถวขึ้นเยอะมากๆ อย่างที่บอก เราเลยเดินตัดไปที่วงเวียน


จากวงเวียน มองหารถแคมรี่ที่จอดเยอะๆ นั่นไง...เห็นแล้ว เลยเดินจากวงเวียนไปหา ซึ่งก็มีคนท้องถิ่นพูดภาษาอังกฤษคล่องทีเดียวมาคอยเสนอราคารถแท็กซี่แคมรี่ที่เราจะใช้บริการกัน เสนอราคาครั้งแรกมาที่ 45 USD ซึ่งแพงเอามากๆ จากที่หาข้อมูลมามันน่าจะถูกกว่านี้ เลยบอกไปว่าไม่เอาแพงไป และต่อรองราคากัน ผมบอกถ้าเป็นเงินไทยเท่าไหร่ ก็เสนอมาเป็น 1,500 บาท ซึ่งก็ยังแพงอยู่มาก เลยต่อไปเหลือ 1,000 บาท ซึ่งก็ยังไม่ให้ จนสุดท้ายมาจบที่ราคา 1,100 บาท บอกราคานี้ดีที่สุดแล้ว ผมดูราคาก็โอเค ถูกกว่าที่เสนอราคามาทางเมล์ด้วยซ้ำไป เลยตกลง

จากนั้นก็เดินไปหารถที่จะไปกัน เป็นคันนี้ ถ่ายรูปไว้ก่อนเป็นหลักฐานพร้อมคนขับ

ปรากฎว่า คนที่คุยต่อรองราคาด้วย ไม่ได้ขับซะงั้น ให้อีกคนหนึ่งขับ เป็นวัยรุ่นที่กำลังเข็นมอไซด์นั่นแหล่ะครับ พูดอังกฤษไม่ได้เลยก็ว่าได้ แต่มาคิดอีกที ก็นั่งระหว่างทางไปเมืองเสียมเรียบก็คงไม่ต้องสื่อสารอะไรแล้วหล่ะ ไปหาคนขับตุ๊กๆพูดอังกฤษได้อีกทีที่เสียมเรียบละกัน

ก่อนขับออกจากปอยเปต เจ้าคนที่ต่อรองราคากันก็บอกขอ 100 บาทก่อน เพื่อไปจ่ายตำรวจ แต่ผมคิดว่าเข้ากระเป๋าตัวเองแหล่ะ  และผมก็ได้ถามยืนยันอีกครั้งว่า ไปถึงโรงแรมที่เสียมเรียบผมจะจ่ายให้คนขับเพียง 1,000 บาทเท่านั้นนะ ซึ่งก็ทำความเข้าใจกันทั้ง 3 คนรวมคนขับที่พูดอังกฤษไม่ค่อยจะได้ด้วย เป็นอันโอเค


ล้อหมุน 10.20 น. รถเริ่มเดินทางออกจากปอยเปตที่ว้าวุ่น มุ่งสู่เมืองเสียมเรียบแหล่งท่องเที่ยวอันเป็นมรดกของโลก หลังจากนี้ไปคงใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ กว่าจะถึง

ปล.พวงมาลัยซ้ายนะครับ เวลาเลือกรถ ไม่งั้นท่านจะเสียวไปตลอดทางเวลาเร่งแซงคันอื่น


ประมาณ 20 นาทีรถก็จอดข้างทาง ในใจนึก อะไรว่ะ...จะตุกติกอะไรหรือเปล่า หรือแวะร้านค้าให้ซื้อของ แต่ที่ไหนได้ แวะเติมแก็สรถยนต์นั่นเองครับ แฮะๆ

ภูมิปัญญาชาวบ้านครับ เอาแก็สถังใหญ่วางบนตาชั่งสปริง แล้วจดตัวเลขก่อนและหลังเติม หักลบกันเป็นปริมาณแก็สที่เติมเข้าไป คูณด้วยราคาต่อกก.ก็จะเป็นค่าใช้จ่ายต่อการเติมครั้งนี้ เยี่ยมจริงๆ


แวะถ่ายซะหน่อย ออกจากปอยเปตมา 21 กม.แล้วค่ะ


ระหว่างทางก็จะเจอกับการขนส่งสัตว์ที่นำมาใช้เป็นอาหารกับตลอด ขาที่มาจากเสียมเรียบจะเป็นการขนหมูที่เชือดแล้ว(ขาตั้งเด่) ส่วนขาที่ไปเสียมเรียบจะเห็นแต่ไก่ที่ตายแล้วห้อยหัว กันอยู่ตลอด 2 ชม. สลับกันไป


11.43 น. คนขับรถก็จอดรถอีกครั้ง ครั้งนี้จอดเพื่อแวะเข้าห้องน้ำ หรือหาอะไรดื่มเพื่อแก้กระหายกัน ส่วนเราออกจากรถไปถ่ายรูปเฉยๆ จากนี้คงใกล้เสียมเรียบเข้าไปทุกทีแล้วสินะ


ระหว่างทางเจอกับแก๊งค์นักท่องเที่ยวที่ขับตุ๊กๆ กันมาเป็นขบวนยาว ดูจากธงชาติน่าจะเป็นชาวออสเตรเลีย


ใกล้เข้ามาแล้วครับ ป้ายบอกอะไรสักอย่างเกี่ยวกับนครวัด


นั่นไง ผ่านโรงแรมหรูระหว่างถนนใหญ่เข้าให้แล้ว


สักพักคนขับแท็กซี่ก็หยุดจอดเพื่อถามเส้นทางไปโรงแรมที่ผมจองอยู่ เจ้าโชเฟอร์คนนี้แผนที่ยังดูไม่เป็นเลย ต้องหาตัวช่วยตลอด  คนที่จอดแล้วมาช่วยบอกก็คือคนที่ทำทัวร์ทั้งรถตุ๊กๆและรถแคมรี่ในเสียมเรียบรายหนึ่งนั่นเอง แต่การเข้ามาตอบและเสนอที่จะพาไปหาโรงแรมของเราเป็นกันเอง ไม่บังคับ คุยด้วยก็รู้ว่าไว้ใจได้ ผมเลยยอมให้นั่งรถมาด้วย(เบาะหน้าข้างคนขับ) เขาก็บอกว่า จะพาไปที่โรงแรมและจะเสนอทัวร์เที่ยวปราสาทในเสียมเรียบ ถ้าเราไม่สนใจก็ไม่เป็นไร ไม่ได้เก็บเงิน

ในที่สุด ก็ถึงโรงแรม Im Malis ซอย Taphul จนได้  เกือบๆบ่ายโมงตรง   โรงแรมเป็นอาคาร 4 ชั้น


เข้าไปเช็คอินกับเจ้าหน้าที่ก่อนครับ (เอาใบ voucher ที่พิมพ์มาล่วงหน้าจากเน็ตจาก Agoda ไปให้เป็นหลักฐาน)

เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิง ยิ้มแย้มแจ่มใส แจ้งข้อมูลทั้งเรื่องบริการของโรงแรม อะไรทานได้ฟรีตลอด อยู่ตรงไหน และเรื่องบริการทัวร์ที่ทางโรงแรมมีอยู่ โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายชัดเจนครับ แจกเป็นกระดาษ A4 ให้มาเลย แต่พอดีผมมีคนที่จะเสนอมาด้วยแล้วเลยฟังเฉยๆครับ


เช็คอินเสร็จ ก็ขึ้นไปที่ห้องพักกัน อยู่ชั้น 2 (ชั้นที่ 3 นับจากชั้นล่างสุด)

ห้องพักสะอาดสะอ้านครับ ผนังสีฟ้าสวยดี คาดว่าน่าจะปรับปรุงใหม่ กดแอร์เย็นดี แต่เสียดายตู้เย็นไม่เย็นซะงั้น  แต่ไม่เป็นไร ไม่ค่อยได้ใช้ จะใช้ก็แต่ดื่มน้ำเปล่าซึ่งเย็นธรรมดาก็ได้ อิอิ


มองออกไปจากหน้าต่างห้องพักเป็นบ้านเรือนและซอย Taphul


เอาเงินดอลล่าร์มากางดูกัน

แลกมาจากซุปเปอร์ริชจำนวน 12,400 บาท ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน 31 บาทต่อดอลล่าร์ มีทั้งแบงค์ 1, 5, 10 และ 20 ดอลล่าร์ รวมๆ กัน โดยแบงค์ 1 ดอลล่าร์จะเยอะสุดครับ


จากนั้นก็ลงมาที่ล็อบบี้ชั้นล่างอีกครั้งเพื่อคุยเรื่องโปรแกรมที่จะให้ทางคนที่มาด้วยเสนอราคามาว่ามากน้อยแค่ไหน ถ้าแพงไปก็จะได้ต่อ หรือถ้าต่อไม่ได้จริงๆก็จะได้ไม่เอา แล้วไปซื้อทัวร์ที่โรงแรมแทน

ลงมาคิดว่าไปแล้วซะอีก สอบถามชื่อกัน ชื่อว่าโซ โดยผมบอกความต้องการคร่าวๆไปว่าวันแรก วันที่สอง และวันที่สามจะไปไหนบ้าง โซเสนอว่าวันแรกน่าจะไปโตนเลสาบ และไปดูพระอาทิตย์ตกน้ำ ฟังดูน่าชมเนอะ   ทั้งหมดใช้รถตุ๊กๆในการเดินทางครับ

วันที่สอง ไปชมปราสาทรอบเล็ก นครวัด, กลุ่มปราสาทนครธม และกลุ่มปราสาททางตะวันออก

ส่วนวันที่สาม ค่อยไปเก็บปราสาทรอบนอกอีกครั้ง พร้อมกับไปกบาลสะเปียน และบันทายสรี

ทั้งหมดคิดตามวันดังนี้
วันแรก : 7 USD ต่อเหลือ 6 USD 555
วันที่สอง : 13 USD
วันที่สาม : 20 USD

Hightlight มันอยู่ที่ราคาวันที่สามครับที่ไปกบาลสะเปียน ดูมาจากหลายๆที่ มีแต่ 30-35 USD ทั้งนั้น เพราะไกลมาก แต่กับโซเสนอมาเพียง 20 USD ซึ่งสามารถไปได้โดยรถตุ๊กๆนี่แหล่ะ ซึ่งทั้งหมดผมก็ตกลงตามราคาดังกล่าว เพราะดูแล้วถูกจริงๆ ไม่แพงเลย

ปล. ในภาพคือบริเวณที่ทานอาหารเช้าชั้นล่างครับ


พอคุยตกลงราคาเสร็จก็ขอตัวพักสักครึ่งชั่วโมง แล้วนัดให้มารับอีกทีที่หน้าโรงแรมเวลาบ่ายสองโมงตรง

พอถึงเวลาก็มาตามนัด เพิ่มคนขับมาอีกคนหนึ่ง แต่คุยไปคุยมา เจ้าโซก็บอกเราว่า วันนี้จะไปกับเราด้วย แต่อีก 2 วันไม่ได้ไปแล้ว ทางน้องชายที่เป็นคนขับจะไปเพียงคนเดียว   โอว....เหมือนกับนายหน้าเลย แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวลองคุยดูอีกที ว่าพรุ่งนี้จะไปด้วยหรือเปล่า

คันนี้ครับที่จะพาเราไปโตนเลสาบสำหรับบ่ายวันนี้


พอรถเริ่มออกจากซอยเข้าถนนใหญ่ เจ้าโซบอกกับเราว่า จะลงเดินเที่ยว Old Market ก่อนมั้ย เพราะไปโตนเลสาบตอนนี้เลยจะยังไม่มีอะไร อาจไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกดิน อ้าว....แล้วดันไม่บอกแต่แรกว่าไปเร็วไป จะนัดใหม่บ่าย 3 บ่าย 4 ยังได้ แต่ดันไม่ยอมบอกนี่ เลยบอกไปว่า....ไม่ลงเดินหรอก จะไปโตนเลสาบเลย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว

ข้างทางที่เห็นเป็นแม่น้ำเสียมเรียบครับ


เส้นทางไปโตนเลสาบ ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย จากเสียมเรียบจะลงไปทางใต้ของเมือง ผ่านไร่นา ผ่านการปลูกบัวในยามที่หมดฤดูเก็บเกี่ยวข้าว


ประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงท่าเรือไปโตนเลสาบ  ก่อนเข้าท่าเรือต้องเสียค่าเข้าอีกคนละ 2 USD อีก

เพิ่งจะเก็บได้ไม่นานเลย ไม่ถึงปีเลย และพอไปถึงท่าเรือ ก็จะต้องเสียอีก สำหรับเรา 2 คน ราคาพิเศษจริงๆ คนละ 15 USD ครับ เคยหาข้อมูลมา คนละ 10 USD เอง ปีนี้โขกมากๆเลย  แถมราคาไม่ยอมระบุไว้ที่หน้าตั๋วอีก เป็นแบบเขียนราคากันเองลงบนตั๋ว ทำให้เราจะรู้ได้ไงว่า จริงๆแล้วราคามาตรฐานมันคนละเท่าไหร่กันแน่ หรือเงินส่วนต่างเท่าไหร่ที่เข้ากระเป๋าเจ้าหน้าที่กันเอง  แย่มากๆครับ


ทำใจได้ก็ลงเรือกันครับ

ตอนแรกคิดว่าเป็นลำที่นั่งกับพวกทัวร์คนอื่นๆ มีหลายที่นั่ง ปรากฎว่าไม่ใช่ เป็นลำขนาดเล็ก แยกกันลำพังเลย แต่ก็ดี จะได้ไม่รอใคร

เรือออกแล้ว ต้องระวังน้ำโคลนกันหน่อยนะครับ กระเซ็นเข้ามาในเรือตลอด เอี้ยวตัวหลบกันให้วุ่นเลย


ตรงฝั่งที่เห็นเสาสูงๆ มีป้ายสัญญาณเป็นเหมือนคลื่นน้ำแล้วมีคาดแดงเฉียงๆ ถามกับโซ ทราบว่าเป็นป้ายบอกระดับน้ำหน้าฝนที่โตนเลสาบก็โดนน้ำท่วมสูงทีเดียว ป้ายเตือนระดับน้ำที่ท่วมสูงว่าอยู่ระดับไหนบ้างแล้วนั่นเอง


จากปากทางเริ่มเข้าสู่ทะเลสาบกันจริงๆแล้วครับ เห็นบ้านลอยน้ำเรียงรายกันเต็มไปหมด


วิถีชีวิตชาวโตนเลสาบ


ไม่นานนักเรือของเราก็จอดเทียบท่ากับแพร้านค้า หรือเรียกให้เก๋ก็คือ Tonle Sap Market  บนแพคิดว่ามีแต่จระเข้ปลอมโชว์ไว้ ที่ไหนได้ มีตัวจริงของจริงเลี้ยงไว้อยู่ด้วย กำลังอ้าปากโชว์ฟันมาทางผมพอดี


มีหลายตัวทีเดียว  แสดงว่าในทะเลสาบด้านล่างนี้ก็มีไม่น้อยเลยใช่มั้ยเนี่ย บรื๋อ....น่ากลัวจัง ตกทะเลสาบไปจะทำไงเนี่ย


อ้าว.....ไอ้หนูๆ อย่าเพิ่งเซ เดี๋ยวงูจะหายไปกับน้ำ จะนำมาหากินไม่ได้นะ


โอ้วว.....พอมามองอีกมุมหนึ่ง ก็เจอกับเด็กน้อยกำลังจะกินงูอยู่ โดยมีแม่คอยเชียร์อยู่ข้างๆ เอ๊ะ...ยังไงกัน


หันมาแคนดิดเจ้าเด็กโชว์เจี๊ยวหน่อย อิอิ


ส่วนนี่ คืออะไรเอ่ย อยู่กลางน้ำ ไม่ได้ถามโซมาซะด้วย ไม่รู้จะเหมือนไทยเราคือที่ให้หอยเกาะเพื่อเลี้ยงหรือเปล่าก็ไม่รู้


ในร้านก็ยังมีขายน่าจะเป็นยาดองเหล้านะครับ ดองงูเอาไว้ข้างใน คนจีนน่าจะชอบ


เดินขึ้นไปชมวิวชั้น 2 ด้านบนมั่งครับ


ทะเลสาบไกลโพ้น สุดลูกหูลูกตา


แดดร้อนเข้าที่ ก็ได้เวลากลับกันแล้วครับ นั่นจึงเป็นที่มาว่า ทำไมถึงไม่ควรมาตอนบ่ายสองแบบนี้ เพราะเรือมันออกมาแป๊บเดียวแล้วจอดเทียบท่าเข้าร้านขายของกลางทะเลสาบที่ยังไม่กลางเท่าไหร่ สักพักก็หมดมุขไม่ได้พาไปไหนแล้ว สุดท้ายก็กลับเข้าฝั่ง เสียไปคนละ 17 USD 2 คน 34 USD แพงมากๆ

รู้สึกอาคารหลังคาแดงลอยน้ำนี้จะเป็นโรงเรียนสอนชาวเวียดนามนะครับ


ออกจากโตนเลสาบแค่บ่าย 4 โมงหน่อยๆเอง เราจึงไม่ยอมที่จะกลับที่พักเลย เพราะเหมือนกับว่าไม่คุ้ม ครั้นจะอยู่รอถ่ายพระอาทิตย์ตกน้ำที่โตนเลสาบก็ไม่ไหว อีกตั้ง 2 ชั่วโมง รอไม่ไหวแน่ๆ เลยบอกกับโซว่า ให้พาไปซื้อตั๋วเข้าชมนครวัด-นครธมต่อจากนี้เลย แล้วดูก่อนว่าจะไปพนมบาเคงหรือไม่ พร้อมกับบอกให้โซมาเป็นไกด์ด้วยในวันรุ่งขึ้นกับเราครับ พูดง่ายๆคือ เราไม่ยอมที่จะทิ้งเราไปโดยให้น้องชายมาขับแทนคนเดียว เพราะเรายอมตกลงเงื่อนไขต่างๆที่เสนอมาเพราะโซนั่นเอง

16.53 น. ก็มาถึงเคาน์เตอร์ขายตั๋วครับ เราเลือกซื้อตั๋วแบบ 3 วันราคา 40 USD เพราะยังไงซะ เราก็มาเที่ยว 2 วันอยู่แล้ว ไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ถามว่าเราจะซื้อแบบกี่วัน และให้เรายืนเพื่อถ่ายรูปติดบัตรครับ จะได้ไม่มีใครมาใช้ตั๋วเวียนไปได้


จ่ายเงินไปคนละ 40 USD แล้วก็ได้ตั๋วมาเป็นแบบนี้


ซื้อตั๋วเสร็จ ตัดสินใจกันไปมา ว่าจะกลับที่พักดี หรือขึ้นพนมบาเคงไปดูพระอาทิตย์ตกดินดี จนสุดท้าย ไปดูพระอาทิตย์ตกดินดีกว่าครับ มาถึงหน้าด่านแล้วไม่ไปเดี๋ยวจะกลายเป็นเสียเที่ยวไปซะ

จากเคาน์เตอร์ขายตั๋วไปทางขึ้นพนมบาเคง ใช้เวลาเป็นสิบนาทีเลยนะครับ มาถึงโซก็นัดแนะเรื่องที่จอดรถของเขาหลังจากเรากลับลงมา จะได้หากันถูก

สภาพทางขึ้นเขาตอนนี้อย่างกับตลาดนัดครับ นักท่องเที่ยวเยอะมาก


ทางขึ้นเขาที่แต่ก่อนอนุญาตให้ขึ้น แต่ตอนนี้ปิดตายครับ ชันเหลือเกิน ขึ้นไปอาจตกเขากันได้


ตรงทางเดินขึ้น ก็จะมีดนตรีเล่นให้นักท่องเที่ยวฟัง เล่นโดยคนพิการ บริจาคเงินได้ตามศรัทธาครับ


ทางเดินขึ้นเขาชันพอเอาอยู่  แต่คนเนี่ยจะเยอะไปไหน   ทั้งสวนลงมาและเดินขึ้นไปด้วยกัน  ส่วนใหญ่ของนักท่องเที่ยวชาติไหนรูัเปล่าครับ ??   ชาติไทยเรานี่แหล่ะครับ


เดินขึ้นเขาไปสิบกว่านาที พอเหงื่อซึมก็ถึงด้านบนแล้ว แต่....คนออกันเยอะมาก

ที่นี่จะสูงประมาณ 60 เมตรจากระดับน้ำทะเลครับ


เขาอออะไรกัน

มาเฉลยที่ภาพนี้ก็คือ.....เขาเข้าแถวรอขึ้นไปบนตัวปราสาทกันครับ!!!


เราเองก็ต่อแถวรอด้วยกับคนอื่นๆ ระหว่างรอก็ถ่ายรูปคนที่ขึ้นไปข้างบนได้แล้ว ดูแล้วช่างมีความสุขจริงๆนะครับ


ถ่ายวิวระหว่างรอ


อ๊ะ.....ได้ยินเสียงคนฮือมาจากตรงโน้น ที่ทางขึ้นด้านบน แล้วก็มีคนที่ต่อแถวทะยอยเดินแตกแถวออกมา หันไปหาข้อมูลจากคนอื่นๆ ได้ความว่า เจ้าหน้าที่ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปด้านบนตัวปราสาทแล้ว นั่นหมายถึง ณ ตอนนี้ บนตัวปราสาทรองรับคนได้เต็มอัดตามพิกัดจำนวน 300 คนเรียบร้อยแล้ว รับไม่ไหวแล้ว เลยปิดให้ให้มีคนขึ้นไปได้อีกครับ

คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้ขึ้นไปยลโฉมด้านบนพร้อมกับได้วิวดีๆ ในการถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินในวันนี้แล้ว   ดูอาแปะเสื้อลายขวางคงมีความสุขน่าดู


จากนี้ไปเราและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ คงทำได้เพียงเดินเก็บภาพรอบๆตัวปราสาทด้านล่างนี้ครับ อิจช้า อิจฉา คนด้านบนจริงๆเลยแฮะ เรามาตั้งไกลดันพลาดไม่ได้ขึ้นกับเขา แต่ไม่เป็นไร มีคนพลาดเป็นหลายร้อยทีเดียวนะ คิดอย่างนี้แล้วก็โอนะ


ขณะเดินลงกลับก็ขอเก็บพระอาทิตย์ตกดินแบบยังคงสูงอยู่อย่างนี้ละกันครับ มาครั้งนี้ไม่ได้หวังอะไรมาก ขอแค่มาดูสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็พอใจแล้ว


ลงจากเขาพนมบาเคงก็ให้รถตุ๊กๆขับไปส่งที่พัก แล้วก็นัดให้มารับเราอีกทีตอนตี 5 ครึ่ง(ยังคิดอยู่เลยว่าสายไปนะเนี่ย) เพื่อจะไปเก็บพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด ดูซิว่าพรุ่งนี้จะได้ภาพมามั้ย 555

จากนั้นก็พักผ่อนก่อน แล้วออกไปหาอะไรทานกันที่ Night Market อีกทีช่วงทุ่มครึ่ง

เดินออกมาตามซอย Taphul ไปยังท้ายซอย เลี้ยวซ้าย แล้วข้ามถนน Samdech Tep Vong จนถึงสี่แยกที่ตัดกับถนน Sivatha แล้วค่อยเลี้ยวขวา

ปล.ในรูปคือสี่แยกดังกล่าว


ข้างทางก็จะมีร้านอาหารอยู่เหมือนกัน ในรูปเป็นหน้าร้านที่นำเอาตำนานการกวนเกษียรสมุทรของเหล่าเทวดามาทำเป็นรั้วทางเข้า เก๋ดี


เห็นป้าย Night Market อยู่ไม่ไกลแล้ว ก็ได้เวลาเดินข้ามฝั่งถนนมาอีกครั้งครับ จะสังเกตเห็นป้ายธนาคารด้านขวาที่เป็นใบโพธิ์สีม่วงๆ นั่นคือธนาคารสาขาของไทยพาณิชย์ของไทยเรานั่นเอง แต่ชื่อเต็มๆจะเป็น Cambodia Commercial Bank ไม่ใช่ Siam Commercial Bank



แล้วก็เลี้ยวซ้ายไปที่ Pub Street กันครับ ที่ถนนย่านนี้มีอาหารให้เลือกมากมาย แล้วแต่จะชอบสไตล์ไหนกัน


Pub Street ยามนี้คนเยอะมาก


เดินไปจนไปสุดกับอีกถนนหนึ่ง มีร้านอาหารเมกซิกัน แล้วถ้าเดินต่อไปทางขวาก็จะไม่ค่อยมีอะไรแล้ว เราเลยเดินกลับมาทางเดิม


เพื่อกลับมายังร้านแรกๆ ที่หมายหัวไว้แล้ว นั่นคือร้าน BBQ & Khmer food lover  เห็นอาหารน่าทาน ควันฉุยๆเลย


อาหารที่เราคุ้นๆ เช่น หมี่ผัดกับหมู หรือข้าวผัดหมู, ไก่ ราคาไม่แพงมาก เพียง 1.5 USD หรือ 45 บาทเท่านั้น แต่ถ้าปิ้งย่าง ก็มี เนื้อย่าง 1.5 USD, น่องไก่ย่าง 2 USD ราคาไม่แพงเช่นกัน


สั่งอาหารไปก่อนแล้ว ยังไม่มาเสริฟ ที่มาก่อนคือเจ้านี่ Angkor beer หรือเบียร์อังกอร์นั่นเอง รสชาตินุ่มๆ ไม่ขมครับ เปรียบมวยก็น่าจะประมาณลีโอของเรา


และแล้วอาหารที่สั่งไปก็มาเสริฟ แต่นานไปหน่อยสำหรับเนื้อย่างนะ

มี 3 จานคือ 1. หมี่ผัดผักใส่หมู  2. ข้าวผัดหมู และ 3. เนื้อกับไก่ย่าง

เมนู 1 รสชาติโอเค เนื้อย่างโอเค ส่วนเมนู 2 ข้าวผัดหมูไม่อร่อย กับ ไก่ย่างไม่ไหวครับ หวานไปมาก

อาหารมื้อนี้ เบ็ดเสร็จ 10.5 USD ครับ


ทานอาหารคาวเสร็จ ของหวานที่คิดไว้ในใจอยู่แล้วคือไอศครีมครับ แฟนเล็งไว้ตอนเดินรอบแรกแล้ว 

เป็นร้านออกหรูๆนิดนึงครับ ตกแต่งร้านอย่างดี ขายทั้งไอศครีมและเบเกอรี่ แต่พอสั่งรัมเรซิ่น ไอศครีมนี้เหลวเกือบจะเป็นน้ำเชียว แต่แหม....ยังอุตส่าห์ตักมาให้อีก แทนที่จะไม่ขาย (ด้านซ้ายมือที่เห็นครับ) รสชาติก็แอลลกอฮอลแรงมากไม่อร่อยเลย   ส่วนอีกอันเป็นช็อคโกแล็ตชิพยังแข็งอยู่ รสชาติโอเคกว่า  

ก็เป็นอันจบสำหรับวันแรกในเสียมเรียบ กัมพูชาแค่นี้ แล้วติดตามกันใหม่ในวันรุ่งขึ้นว่าจะเจออุปสรรคอะไรอีกบ้าง อีก 3 วันในเสียมเรียบยังรออยู่ แล้วเจอกันครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

1 ความคิดเห็น:

  1. กลัวจระเข้อ่ะ แต่ขำเด็กโชว์เจี๊ยว เสียดายไม่เห็นภาพอาทิตย์ตกดินในโตนเล กับบนยอดเขาพนมบาเค็ง

    ตอบลบ