โปรแกรมคร่าวๆ อย่างที่แพลนไว้เป็นดังนี้ครับ
วันที่สอง : ตื่นแต่เช้ามืด ไปเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดข้างๆสระบัว
กลับมาที่พักเพื่อทานอาหารเช้าที่โรงแรม
สายๆ ไปต่อที่นครวัด ชมภาพฝาผนังที่วิจิตรบรรจง
ทานอาหารเที่ยงแถวๆ ปราสาท
บ่ายไปต่อที่นครธม -บายน(บายน)-บาปวน-พิมานอากาศ-ลานพระราชวัง-ลานช้าง-
ลานพระเจ้าขี้
เรื้อน-ธรรมนานน-เจ้าสายเทวดา-สะเปียนทมอ-ตาแก้ว-ตาพรหม
หาอาหารเย็นทานแถวๆ Lucky Mall
มาดูกันว่า วันนี้จะพลาดหรือสมหวังกับอะไรบ้าง ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ทุกสิ่งถือเป็นประสบการณ์หมดครับ นำมาปรับปรุงและแก้ไขกันต่อไป
วันที่สอง : 7 เมษายน 2555
อย่างที่บอกในตอนแรกว่า โซนัดเราที่ล็อบบี้โรงแรมเวลา 5.30 น. ซึ่งจริงๆแล้วมันสายพอที่พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว แต่ก็ยังคิดในแง่ดีว่าคงไปทันน่า เอาเข้าจริงๆ ระหว่างทางเห็นแสงอาทิตย์แบบส้มๆกันแล้ว ลุ้นว่าจะทันหรือไม่ทัน รถจอดหน้าทางเข้าฝั่งตะวันตกของนครวัด เรารีบโกยอ้าวเดินไปให้ถึงข้างในกันเลยทีเดียว
อีกประมาณ 10 นาทีฟ้าเป็นแบบนี้แล้ว แต่บรรยากาศโดยรอบ ชื้นๆ เหมือนฝนจะตก
เข้าไปใกล้ๆ สระบัวฝั่งซ้ายมือ ก็ปรากฎมีนักท่องเที่ยวได้จับจองที่นั่งริมขอบสระกันหมดแล้ว แต่อนิจจา ฝนมาตกปรอยๆ
รอไปรอมาจะให้พระอาทิตย์ขึ้น ให้แสงสีส้มทาบทอขอบฟ้า มีปราสาท 3 ยอดของนครวัดเป็นแบ็คกราวนด์ก็ต้องล้มเลิกไป เพราะไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นให้เหล่านักท่องเที่ยวได้เก็บภาพไว้ คงมีแต่เพียงภาพนครวัดที่มีฝนปรอยๆตกลงสระบัวทำให้เกิดกลุ่มคลื่นน้อยๆ หลายๆ กลุ่มกระจายออกไปตามขนาดเม็ดฝนเท่านั้นเอง
เรารอจน 6.34 น. ก็ต้องยอมทำใจเดินคอตกกลับออกไป นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ลุกไปจากที่นั่งริมสระบัวกันทุกคนแล้ว เช้านี้ช่างเป็นเช้าที่ไม่มีโชคสำหรับใครหลายๆ คนที่จะมาเก็บภาพสวยๆ ณ นครวัดแห่งนี้จริงๆ
เดือนเมษายนอันร้อนอ้าว แต่อากาศยามเช้ามีฝนตกปรอยๆ มันเป็นไปได้อย่างไรเนี่ย ไม่เข้าใจ
ระหว่างทางกลับไปทางประตูฝั่งตะวันตก เห็นม้าขาวตัวหนึ่ง มันคงคันหลัง เลยล้มตัวลงกลิ้งถูหลังไปกับพื้นหญ้าให้นักท่องเที่ยวหลายคนชักภาพอันน่ารักนี้เป็นของฝากตอบแทนที่ไม่ได้ถ่ายภาพพระอาทิตย์ขี้อายยามเช้าตรู่นี้
แล้วเราก็กลับมาถึงที่พัก ทานอาหารเช้าที่รวมอยู่ในค่าห้องพักแล้ว อาหารเป็นแบบ American Breakfast ไข่ดาว 2 ฟอง เบคอน(ไม่เหมือนเบคอนแบบเรา) ขนมปังปิ้ง 2 แผ่น แยม น้ำผลไม้ และกาแฟหรือชา ทานเสร็จมีตบท้ายด้วยชุดผลไม้สด 1 จานครับ
ทานเสร็จก็ขึ้นห้อง นอนต่อเพื่อเอาแรง เพราะออกแต่เช้าเชียว แล้วนัดโซให้เอารถมารับอีกครั้งตอน 9.30 น.เพื่อไปดูภาพสลักตามผนังของนครวัดกันต่อ
พอมาถึงแดดก็เริ่มร้อนแรงเหมือนเดิมแล้ว แขนยาวเตรียมไว้นะครับ และน้ำเปล่าเย็นๆ 1-2 ขวดเอาใส่เป้ไปด้วย ได้ใช้แน่นอนครับ
ครั้งนี้เราเดินเข้าตรงประตูฝั่งซ้ายสุด ไม่ได้เข้าตรงโคปุระกลางเหมือนปกติ เพื่อจะได้เก็บภาพแบบไม่มีคนครับ ระหว่างทางที่ทอดยาว ก็จะเห็นการแกะสลักเศียรของเหล่าเทวดาและยักษ์ของช่างแกะสลัก
ทางเดินปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ พอได้ร่มเงาไม่ร้อนเกินไปนัก
เราเดินเข้าไปที่ระเบียงคดชั้นแรกเพื่อไปชมภาพแกะสลักที่ยาวที่สุดในโลกกันครับ เริ่มจากกำแพงทิศตะวันตกฝั่งใต้ และวนทวนเข็มนาฬิกาไปครับ
จุดนี้จะเป็นภาพแกะสลักนูนต่ำเกี่ยวกับกองทัพฝ่ายเการพกรีธาทัพสู่ทุ่งกุรุเกษตร
มาฝั่งทิศใต้ปีกด้านตะวันตกกันบ้าง รูปพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ประทับบนยอดเขาศิวบาท
กองทัพชาวเสียมหรือเสียมกุกอันมีชื่อเสียงของนครวัด ซึ่งสัณนิษฐานกันว่าเป็นกองทัพชาวสยามจากลุ่มน้ำกก
เดินต่อไปที่โคปุระกลางทิศใต้ แล้วเข้าไปตรงทางระหว่างระเบียงคดชั้นต่อไป สูดอากาศบริสุทธิ์กันบ้าง
ระเบียงคดทิศใต้ปีกตะวันออกนี้จะเป็นการแสดงภพทั้ง 3 คือ สวรรค์ โลก และนรก (บน กลาง ล่าง) ในรูปเป็นยมบาลเฆี่ยนตีคนบาปในนรกภูมิ
รูปนี้เป็นภพสวรรค์
เอ๊.....รูปนี้คืออะไรน้า ขอเปิดตำราก่อน
อ่า เจอแล้ว....เป็นพญายมประทับนั่งท่ามหาราชลีลาสนะบนหลังควายชื่อมหิงสา
ทางเดินที่ว่างเปล่าของระเบียงคดชั้นแรก ซึ่งจริงๆนักท่องเที่ยวเยอะตลอดเวลา แต่พอหาจังหวะที่ไม่มีคนนั่นเองครับ สังเกตเห็นเพดานฝั่งขวามือที่มีภาพแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ 8 กลีบด้วยกัน สวยงามทีเดียว
มาตรงระเบียงคดทิศตะวันออกปีกด้านใต้กันบ้าง เป็นตำนานการกวนเกษียรสมุทร โดยฝั่งอสูรฉุดทางหัวนาค
ตรงกลางลำตัวนาคเป็นรูปพระวิศณุนั่งอยู่บนเขามันทระ ด้านล่างมีเต่ายักษ์หนุนเขามันทระอยู่ เต่าตัวนี้คืออวตารของพระวิศณุ
มองผ่านเสาของระเบียงคดชั้นแรกเป็นประตูทางเข้านครวัดทางทิศตะวันออก ฝั่งนี้นักท่องเที่ยวจะเข้าไม่เยอะครับ
มาถึงระเบียงคดทิศตะวันออกปีกด้านเหนือ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชัยชนะของพระวิษณุเหนือเหล่าอสูร ซึ่งในรูปเป็นกองทัพเทวดาที่ร่วมกับพระวิษณุในการปราบอสูร
มาถึงระเบียงคดทิศเหนือปีกด้านตะวันออก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระกฤษณะปราพาณาสูร ซึ่งในรูปจะเป็นพระวิษณุประทับบนหลังพญาครุฑ
มาถึงระเบียงคดทิศเหนือปีกด้านตะวันตกบ้าง เป็นเรื่องราวของเทวาสุรสงคราม ในรูปนี้น่าจะเป็นพระอัคนีทรงราชรถเทียมแรด
พระขันธกุมารเทพแห่งสงครามประทับบนหลังนกยูง
พระพรหมทรงหงส์
แล้วก็มาวนครบรอบ 4 ทิศ ณ จุดนี้
ระเบียงคดทิศตะวันตกปีกด้านเหนือ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศึกลงกา ในรูปสุครีพสู้กับกุมภะ
วนชมภาพแกะสลักนูนต่ำที่ยาวที่สุดในโลกจนครบแล้ว ก็เดินเข้าไปยังระเบียงคดชั้น 2 ไหว้พระพุทธรูปก่อนครับ
เจอนางอัปสราทรงผมต่างๆ สวยงามมาก
แล้วก็มาถึงระเบียงคดชั้นในสุด ชั้นบนสุดคือที่ประทับของเทพ
ทางขึ้นเดิมชันเอามากๆ เลยไม่เปิดให้ขึ้นกัน
ถ้าต้องการขึ้นไปชั้นบนสุด ซึ่งเป็นที่ประทับของเทพ ต้องเดินเข้าคิวตามนี้ครับ
เจ้าหน้าที่ให้ถอดหมวกก่อนคล้ายๆ กับให้ทำความเคารพกับสถานที่ก่อนเดินขึ้น และยังป้องกันหมวดหลุดลอยจากลมที่แรงแล้วอาจทำให้เจ้าของหมวกเผลอคว้าจนทำให้ตกบันไดได้
ขึ้นมาจนบนสุดแล้วหันมองลงไปด้านล่าง ทางชันไม่ใช่น้อยเลย ต้องจับราวบันไดดีๆ
ชั้นบนสุดนี้เรียกว่า "บากาน" ประกอบด้วยปรางค์ทั้งหมด 5 องค์
มีพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ตรงกลางซุ้มพระปรางค์ แสงน้อยหน่อยนะครับ ต้องเปิดรูรับแสงกว้างสุด
ทิศตะวันตกเห็นลานหน้าปราสาทและทางเดินยาวเหยียดเข้าสู่นครวัด
เดินชมเป็น 2 ชั่วโมงกันทีเดียวกว่าจะเดินลงกลับมาด้านล่าง เจอกับเจ้าจ๋อกำลังทานขนมและเกาไปด้วยพร้อมกันที่สะพานนาค
ก่อนกลับจะต้องตามหานางอัปสราแถวๆ เทวรูปแปดกร ที่กำแพงชั้นนอก โคปุระกลาง ให้ได้
และแล้วเราก็เจอจนได้ นางอัปสรายิ้มเห็นฟัน เชื่อว่ามีตนเดียวในนครวัดแห่งนี้
แล้วเราก็จบภาระกิจเที่ยวชมนครวัด สิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี้แล้ว ใช้เวลาจาก 10 โมงเช้า เสร็จประมาณ 13 นาฬิกา 3 ชั่วโมงเต็มกับการชมความอลังการที่นครวัดแห่งนี้
ก่อนไปต่อเราเลือกที่จะหาอะไรทานมื้อกลางวันแถวๆนครวัดนี้ ได้ร้านหนึ่งตามที่โซ recommend ไว้ แต่ราคาสูงครับ อย่างต่ำ 4 USD ขึ้นไป แฟนผมเลือกกระเพราทะเล+ข้าวเปล่า (5.5 USD) ผมเลือกสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า (6.5 USD) อันแสนน้อยนิด
กระเพราทะเลรสชาติถูดปากเลยครับ ส่วนสปาเก็ตตี้น้อยมากๆ ทานไม่อิ่มเลย
ทานอาหารกลางวันเสร็จก็ไปต่อที่นครธม ก่อนซุ้มประตูทางเข้านครธมทางทิศใต้
ลงเที่ยวปราสาทบายน(บายอน)เป็นปราสาทแรกของนครธมกันครับ
ช่วงนี้บ่ายกว่าๆ เรียกได้ว่าร้อนแบบสุดๆ ตอนชมปราสาทบายนก็เลยเป็นการชมและถ่ายภาพที่แลกมาด้วยเหงื่อทั้งนั้น
พระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรในมุมต่างๆรอบตัวปราสาทบายน ดูมีเสน่ห์ และลึกลับมากๆครับ
แล้วเราก็ไปต่อที่ปราสาทบาปวนอย่างไม่กลัวแดดอันร้อนเปรี้ยง (จริงๆก็กลัวแหล่ะ แต่ทำไงได้เสียค่าตั๋วมาแล้วครับ) มีทางเดินเป็นสะพานหินทอดยาวจากประตูไปยังตัวปราสาท
ปราสาทบาปวนเป็นองค์ปราสาทหลังเดียวก่อด้วยหิน มีระเบียง 2 ชั้น ลวดลายแกะสลักเป็นศิลปะเขมรแบบบาปวน และเป็นต้นแบบของปราสาทหินหลายแบบในเมืองไทย เช่น ปราสาทหินพิมาย ในรูปเป็นด้านหลังของตัวปราสาท
ชมปราสาทบาปวนไม่นานนัก ก็เดินลัดเลาะด้านหลังไปยังปราสาทพิมานอากาศ
ตัวปราสาทสร้างด้วยหินทรายอยู่ฐานศิลาแลงทรงปิรามิด เชื่อว่าเป็นปราสาทประดิษฐานเทพเจ้าประจำวัน ในรูป ด้านหลังปราสาทมีนักท่องเที่ยวกำลังปีนลงอย่างทถลักทุเล
ด้านหน้าปราสาทเยื้องไปทางขวา
สระน้ำหรือบาราย อยู่ทางเหนือของตัวปราสาท ใช้เป็นที่อาบน้ำของเจ้านายในราชสำนัก โดยแยกสำหรับผู้ชายและผู้หญิง ในรูปเป็นสระผู้ชาย
แดดร้อนอย่างนี้ ขอหลบแดดใต้ร่มเงาต้นไม้นี้ก่อนครับ ร้อนจริงๆเลย
หลังจากคลายร้อนแล้ว ก็เดินต่อไปทิศตะวันออก จะเจอกับลานพระราชวัง ซึ่งเป็นที่ตั้งพลับพลาเพื่อให้พระมหากษัตริย์ พระราชวงค์ เหล่าพราหมณ์ ขุนนางทั้งหลายนั่งชมพระราชพิธี
แล้วก็เดินไปต่อทางทิศเหนือ จะเจอกับลานช้าง หรือลานดัมเร็ย
ลงไปด้านล่างของลานช้างจะเจอกับปะติมากรรมม้า 5 หัวที่กำแพงซ่อนของลานดัมเร็ย ลักษณะคล้ายเขาวงกต
ไม่ไกลกันนัก ถัดออกไปก็จะเป็นลานพระเจ้าขี้เรื้อน
ประติมากรรมพระเจ้าขี้เรื้อนปัจจุบันเป็นรูปจำลอง ส่วนตัวจริงเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงพนมเปญ
ด้านล่างลงไปจะเป็นกำแพงซ่อนของลานพระเจ้าขี้เรื้อน มีปะติมากรรมนูนต่ำบ่งบอกถึงนางสนมที่โศกเศร้าที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงพระประชวร
เหล่าเทวดาและนางอัปสราจำนวนมาก ณ ห้องด้านล่างลานพระเจ้าขี้เรื้อน
16.40 น. เราก็เดินทางต่อ โดยออกจากนครธมไปทางประตูชัยทางทิศตะวันออก ผ่านปราสาทเจ้าสายเทวดา อยู่ขวามือ แต่ไม่ได้ลงไปชมข้างใน
ส่วนด้ายซ้ายมือไม่ห่างกัน เป็นปราสาทธัมมานน ซึ่งเราก็ไม่ได้เข้าไปชมเช่นกัน
ตอนนี้เองจะมีการเตรียมการจัดงานดินเนอร์ เลยมีการเตรียมคบไฟเพื่อไว้จุดตอนค่ำๆให้ดูสวยงาม จุดนี้เราซื้อ Magnet 6 อันเป็นของฝาก ด้วยราคา 2 USD เท่านั้น
และผ่านสะเปียนทะมอซึ่งเป็นสะพานโบราณที่สร้างข้ามแม่น้ำเสียมเรียบ ก่อหินแบบเดียวกับการสร้างปราสาท
ผ่านปราสาทตาแก้วทางด้านซ้ายมือ ไม่ได้เข้าชมเช่นกัน รู้สึกกำลังปรับปรุงอยู่ด้วย
และแล้วก็มาถึงปราสาทสุดท้ายในโปรแกรมวันนี้ นั่นคือปราสาทตาพรม ในเวลา 17.09 น. คนเริ่มทะยอยเดินสวนกับเราแล้ว
จุดไฮไลท์จุดแรกคือต้นไม้นี้ จะมีแท่นยกสูงเพื่อให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปคู่กับต้นไม้ ซึ่งต้นนี้มีชื่อว่า "สะปง"
เข้าไปด้านในก็จะเจอกับต้นที่ใหญ่กว่านั้นไปอีก เลื้อยไปเหมือนงูเลย
อีกมุมหนึ่ง
ส่วนจุดนี้ น่าจะเป็นจุดยอดนิยมที่เราจะเห็นนักท่องเที่ยวมาถ่ายกับต้นสะปงต้นนี้กันมากสุด แต่ก็อยู่ไกลสุดเช่นกัน อยู่เกือบหลังสุดของตัวปราสาทกันเลยทีเดียว แต่สำหรับเรา เราเดินออกด้านหลังปราสาทเพราะรถตุ๊กๆจะมารับเราที่ด้านหลังนี้ จะได้ไม่เดินย้อนไปด้านหน้า เสียเวลาอีก
ใกล้มืดแล้ว นกเริ่มทะยอยบินกลับรังกัน ขอเปลี่ยนเลนส์เป็นเทเลส่องนกหน่อย แต่ส่องได้แค่นี้ อิอิ
วันนี้เที่ยวชมปราสาทกลุ่มเล็กกันจนเกือบแสงหมดกันเลยทีเดียว
รถมาส่งเราที่โรงแรมที่พัก แล้วเราพักผ่อนสักชั่วโมงก็ออกเดินทางด้วยเท้าเดินไปหาอะไทานมื้อเย็นกัน ระหว่างทางก็เจอกับโรงแรม 2 ดาวเปิดไฟสวยๆ เลยถ่ายเก็บไว้
มื้อนี้ไม่ได้ไปที่ Night Market เช่นเดิม เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศ เลยเดินไปทางปากซอยเลี้ยวเข้าถนน Sivatha เดินเข้า Lucky Mall ขึ้นชั้น 2 มองหาอาหารแบบอเมริกันกิน ก็ไปเจอร้าน Lucky Burger ขายเบอร์เกอร์คล้ายๆ KFC ก็เลยสั่งมาตามรูป ถือเป็นการเปลี่ยนรสชาติอาหารเขมรกันบ้าง
มื้อนี้จ่ายไป 7.6 USD แล้วก็กลับรถตุ๊กๆ ด้วยราคา 2 USD ถึงโรงแรม อาบน้ำนอนเพื่อตื่นสัก 8 โมง มีโปรแกรมไปเที่ยวปราสาทรอบนอก บันทายสรี และกบาลสะเปียนกันต่อไป
วันนี้ขอจบทริปไว้แค่นี้ แล้วคอยติดตามกันต่อไปในวันรุ่งขึ้นครับ
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
มึนเลยค่ะ ภาพฝาผนัง เยอะเกินบรรยาย
ตอบลบได้มีโอกาสไปเที่ยวนครวัด นครธม เหมือนกันค่ะ ตื่นตา ตื่นใจอย่างมากเลยค่ะ สนใจเพิ่มเติมคลิ๊กลิงค์นี้นะคะ
ตอบลบhttps://travel-bydeedee.blogspot.com/2020/12/blog-post_31.html?spref=fb&fbclid=IwAR27pBTI-feJoIRvvGzqZDVvq70jJ6Vd72QNVU1MaLjb7HVUsKV96vwBurk