ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จก็เริ่มเดินทางกันเลยครับ โดยครั้งนี้มาเส้นทางที่อ้อมนครวัดไปทางตะวันออก
ประมาณ 20 กว่านาทีจากโรงแรมก็มาถึงทางเข้าปราสาทกระวัน ตรวจตั๋วก่อนครับ
กระวัน เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียก หมายถึงต้นนมแมวที่มีมากในบริเวณนี้
ภาพสลักนูนต่ำเป็นเทวรูป
ด้านข้างประตูทางเข้าจะมีอักษรขอมแกะสลักอยู่บนผนังหิน
พอเข้าไปข้างในก็จะเจอกับภาพสลักนูนต่ำบนผนังภายในปรางค์องค์กลาง
- ด้านซ้ายสลักเป็นภาพพระวิษณุ ปางตรีวิกรม หรือปางย่างสามขุม
- องค์กลางเป็นพระวิษณุ 8 กร
- ด้านขวาเป็นภาพพระวิษณุประทับบนหลังพญาครุฑ
ส่วนด้านบนเป็นปล่องโล่ง เปิดสู่อากาศทำให้มีแสงเข้ามาภายใน ไม่มืดเกินไปนัก
ด้านข้างๆปราสาทก็จะมีแผงหนังสือขายเกี่ยวกับนครวัด นครธม อยู่หลายเล่ม เลือกซื้อได้ตามสะดวกครับ
และเราก็เดินทางต่อเพื่อไปปราสาทแปรรูป ผ่านสระสงขนาดใหญ่ทางด้านขวามือ ตามถนนยังมีแอ่งน้ำอยู่บ่งบอกว่าเมื่อเช้าฝนตกพรำๆอีกแล้ว
และก็มาถึงปราสาทแปรรูปครับ อยู่ฝั่งซ้ายของถนน
ช่วงนี้อากาศยังไม่ร้อนมากนัก ท้องฟ้าแจ่มเชียว
เชื่อกันว่าที่นี่เป็นที่เผาศพขุนนางผู้มียศศักดิ์ จึงเรียกปราสาทนี้ว่า "แปรรูป" หมายถึงการแปลสภาพจากศพเป็นเถ้าถ่าน
ชมปราสาทแปรรูปเสร็จก็เริ่มร้อนมาทีเดียว เลยไปต่อที่กบาลสะเปียนครับ เพราะห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตรทีเดียว ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของที่ระลึกเป็นระยะๆ แต่เราไม่ได้แวะครับ กลัวจะเสียเวลา
เรานั่งไปหลับไป เกือบๆ ชั่วโมงจากปราสาทแปรรูปก็พาเรามาถึงทางเข้ากบาลสะเปียนจนได้
ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าไปจากถนนใหญ่ครับ เข้าไปจะเป็นทางดิน ขโยกหน่อย ไม่ลึกมากนัก ก็จะถึงที่จอดรถตรงทางเข้า
จุดเริ่มต้นของการเดินขึ้นเขาไปยังกบาลสะเปียน 1.5 กม.คือสะพานไม้สะพานนี้ครับ
ตลอดระยะทาง 1.5 กม. มีทางขึ้นตรงนี้ที่ค่อนข้างโหดกว่าเขาเพื่อน แต่ก็ผ่านมาได้ครับ
กิ้งกือลายคาดดำแซมด้วยสีแดง แปลกตามากๆครับ
และก็มีจานบินปริศนาด้วยนะ
11.38 น. ยะฮู้...... 1 ชม.พอดิบพอดีจากปากทางเข้า เราก็มาถึงกบาลสะเปียน จุดที่มีหินแกะสลักนารายณ์บรรทมสินธิ์
มาดูกันใกล้ๆกับภาพแกะสลักข้างๆ น้ำตกครับ
ใต้น้ำนี้น่าจะเป็นศิวลึงค์ขนาดใหญ่สุด (หรือเปล่า)
เดินทางเลียบลำธารตรงฝั่งตรงข้าม จะมีหินแกะสลักนารายบรรทมสินธุิ์ และโคนนทิ
ซูมไปดูรายละเอียดใกล้ๆกันครับ
ตรงจุดนี้เป็นลำธารให้เดินวนรอบๆ โดยมีเสาล้อมเชือกไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปที่ตลิ่งมากนัก
หินแกะสลักพระพรหมปกคลุมไปด้วยมอส ดูลึกลับจัง
เดินข้ามฝั่งมาก็จะเป็นมุมมอง top view ครับ
และแล้วก็ได้เวลากลับลงสู่ด้านล่างแล้ว เราใช้เวลาเดินกลับสั้นกว่าที่เดินขึ้นมาหน่อย น่าจะ 10-20 นาทีมั้ง มาถึงด้านล่างก็ตรงไปหาคนขับตุ๊กๆ ให้แนะนำร้านอาหาร เพราะเราจะทานกลางวันกันที่นี่
ได้ร้านนี้และก็สั่งมาเลย ราคาแพงเป็นปกติของร้านที่อยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวตามตัวแราสาทอื่นๆ ราคาอาหารเริ่มต้นที่ 4 USD น้ำดื่ม 1 USD
คราวนี้เราเดินทางย้อนกลับเส้นทางที่มากัน เพื่อไปปราสาทบันทายสรี รู้สึกจะประมาณครึ่งชั่วโมงได้ จากกบาลสะเปียนมาบันทายสรี
ทางเข้าตัวปราสาทครับ
บันทายสรี มีความหมายว่า เทวาลัยแห่งสตรี หรือ เทวาลัยที่อ่อนช้อยราวอิสตรี
ปราสาทบันทายสรีสร้างด้วยหินทรายสีชมพูเนื้อละเอียด การจำหลักลายบนหินทรายสวยงามมาก
หน้าบันเรื่องทศกัณฐ์โยกเขาไกรลาส แกะสลักได้งดงามมีชีวิตชีวา เห็นฝูงสัตว์วิ่งหนีกระเจิง ส่วนพระอุมาโดดขึ้นไปนั่งบนตักพระศิวะ แต่ยังเหลียวมามองเหตุการณ์ข้างล่าง
มีทวารบาลรูปอมุษย์คอยเฝ้าประตูอยู่
พระปรางค์ 3 องค์ภายในโคปุระที่ 4
รูปนางอัปสราแห่งบันทายสรี งดงามจนได้รับยกย่องว่า โมนาลิซ่าแห่งเอเชีย :)
เสร็จจากปราสาทบันทายสรีก็เดินทางกลับตัวนครวัด นครธม เพื่อไปเก็บปราสาทส่วนที่เหลือทางด้านตะวันออกและทางเหนือ
มาถึงปราสาทแม่บุญตะวันออก
เป็นปราสาทที่สร้างคู่กับปราสาทแปรรูป
ประสาทแม่บุญตะวันออก สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระราชบิดาของพระเจ้าราเชนทรวรมัน
ดูหลายส่วนแล้ว พบว่ามีส่วนที่ซ่อมแซมหรือบูรณะขึ้นมาใหม่อยู่เยอะทีเดียว และสีก็ไม่ตรงกับของเดิมอย่างชัดเจนมากๆ ทำให้ขาดเสน่ห์การเยี่ยมชมไปเยอะเลยครับ ลองดูประตูตรงพระปรางค์กลางสิครับ ใหม่ไม่เข้ากับเนื้อหินของเดิมเอาซะเลย
ไปต่อที่ปราสาทตาสมกันครับ
สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นปราสาทขนาดเล็ก ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ คล้ายปราสาทตาพรม มีพระพักต์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เช่นเดียวกับปราสาทหลายแห่งของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
เข้าไปโคปุระชั้นใน ทรุดโทรมไปเยอะ
มีนางอัปสราอยู่ในท่าคล้ายๆรำ
แสงใกล้หมดเต็มที เรารีบไปต่อที่ปราสาทนาคพัน
ทางเดินไม้ทอดยาวรอเราอยู่
กว่าจะเดินถึงตัวประสาท 5 นาทีได้มั้งครับ แต่น่าเสียดาย เขาปิดกั้นรั้วไม่ให้เข้าไปด้านในแล้ว
คงทำได้เพียงใช้เลนส์เทเลซูมเข้าไปข้างใน ด้านหน้าที่เห็นมืดๆ ก็คือ น้ำพุหัวช้าง ถือเป็นน้ำศํกดิ์สิทธิ์รักษาโรคภัยได้สารพัด
และที่ไกลออกไปก็คือ รูปสลักม้าพลาหะ ซึ่งเป็นอวตารของพระโพธิสัตว์คอยช่วยเหลือคนที่เรือแตกอยู่กลางทะเล ให้รอดจากการถูกนางยักษืจับกิน โดยให้คนเกาะหางม้าแล้วม้าพลาหะก็พาขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย
ใกล้หมดแสงเต็มทีแล้ว เราก็มาถึงปราสาทพระขรรค์ ปราสาทสุดท้ายในวันนี้และทริปนี้ด้วย มาถึงคนที่เฝ้าคอยตรวจบัตรผ่านก็กำลังจะกลับกันแล้ว เขาเลยไม่ดูบัตรเราและให้เข้าไปได้เลย
ปราสาทพระขรรค์เป็นปราสาทขนาดใหญ่ทางด้านทิศเหนือของเมืองพระนคร สร้างขึ้นโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่เรียกว่าปราสาทพระขรรค์เพราะเป็นที่เก็บพระแสงขรรค์ชัยศรี ประจำราชอาณาจักร กำแพงชั้นนอกมีรูปแกะสลักครุฑ
ภาพสลักรูปฤๅษีที่วิหารด้านตะวันตกของประสาทประธาน
ศูนย์กลางประสาทพระขรรค์ ปัจจุบันเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ
ที่ปราสาทนี้ก็มีต้นสะปงเลื้อยตามกำแพงเหมือนปราสาทตาพรมเช่นกัน
เนื่องจากปราสาทพระขรรค์มีขนาดใหญ่พอควร แต่เวลาเหลือน้อยเพราะใกล้ 6 โมงเย็นเข้าไปทุกที เราจึงเดินไปได้เพียงเท่านี้ อีกอย่าง เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาถามและเรียกให้รีบกลับออกไปได้แล้ว เขาจะปิดแล้ว ก็เลยต้องกลับครับ
ตัวทางเดินเข้าปราสาทเหมือนๆหลายปราสาทก็จะมีเหล่าเทวดาและยักษ์กำลังจับลำตัวนาคเพื่อกวนเกษียรสมุทรกันอยู่ ฝั่งนี้เป็นยักษ์ครับ
เสร็จสิ้นปราสาทพระขรรค์ก็ได้เวลานั่งรถกลับที่พักกันครับ
กำลังขับผ่านด้านหน้าของปราสาทนครวัด มีชาวกัมพูชามาแค้มปิ้ง นำอาหารมาทานร่วมกันกับครอบครัวกันเยอะเลย เป็นกิจวัตรประจำวันหยุดช่วงเย็นของขาวกัมพูชาก็ว่าได้ครับ
เราเปลี่ยนใจจากที่จะให้ไปส่งที่โรงแรม เป็นไปส่งและรอเราที่ Old Market ครับ จะแวะหาซื้อของที่ระลึกกลับบ้านซะหน่อย
แม็กเน็ทก็ซื้อมาแล้ว เลยหาซื้อเสื้อยืดเป็นของที่ระลึกดีกว่า ราคาไม่แพงมากนัก เลือกซื้อเสื้อมา 5 ตัว มีหลายลาย เช่น นครวัด บายอน ฯลฯ และหมวก 1 ใบ ราคารวม 13 USD
ซื้อของได้เสร็จก็เริ่มเดินหาอาหารทานกัน แต่เพราะเรามาทานตรง Pub street แล้วในวันแรก วันนี้เลยกะจะไปทานแบบธรรมดาใกล้ๆ ทางสี่แยกน่าจะดีกว่า ราคาก็น่าจะถูกลงไปด้วยเพราะไม่ได้อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว ร้านนี้ครับ อยู่ริมถนน Sivatha มีอาหารหลายอย่าง
ราคาอาหารเริ่มต้นก็แค่ 2 USD เอง ต่างกับที่ pub street ที่ 4 USD
อาหารที่สั่งก็เป็นผัดบะหมี่กับผักใส่ซีฟู้ด จานละ 2 USD ไม่แพงๆ แถมอร่อยด้วยนะ และที่ไม่พลาดก็เบียร์ 1 กระป๋อง เพียง 1 USD เอง 555 คุ้มๆ
วันสุดท้าย : 9 เมษายน 2555
อย่างที่บอกครับ วันนี้ตื่นสายๆหน่อย เพราะไม่มีโปรแกรมเที่ยวปราสาทกันแล้ว ตื่นก็เกือบ 9 โมงเช้า ลงมารับประทานอาหารเช้าชั้นล่าง พร้อมกับเขียนโปสการ์ด 5 ใบส่งให้เพื่อนๆ และตัวเองที่อยู่ในไทย
ผมฝากส่งทางรีเซฟชั่นเพราะคงไม่มีเวลาไป Post Office ของที่นี่
ฝากส่งวันที่ 9 เมษายน มาถึงบ้านจริงๆ (บ้านผม) วันที่ 26 เมษายน สอบถามทางโรงแรมไปก่อนหน้านี้ว่าทำไมยังไม่ได้สักที ลืมส่งให้หรือเปล่า ก็ได้คำตอบมาว่า ส่งให้แล้ว แต่อาจจะติดวันหยุดยาวปีใหม่คล้ายของไทยเรา แต่ยังไงซะก็มาถึงแล้ว โล่งไป คิดว่าหายซะอีก
เราขึ้นไปเก็บของที่ห้องพักอีกครั้ง และลงมาที่ล็อบบี้ ปรากฎว่า รถที่นัดไว้มาจอดรอพอดี 11 โมงตรงเวลาเป๊ะ คนขับเป็นคนเดิมกับที่มาส่งขามาครับ
ก็ได้ฤกษ์เดินทางกลับกันแล้วครับ ค่ารถแคมรี่ขากลับนี่ต่อได้เหลือ 23 USD ต่อรองราคาจากโซ คนที่พาไปทัวร์ปราสาทในวันที่ 1 และ 2 จนได้มาเท่านี้
ระหว่างทางก็ถ่ายวิวไปเรื่อยครับ อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ เอ๊ะ...หรือแอร์ในรถมันเย็น
ผ่านครึ่งทางจนเกือบจะถึงปอยเปตแล้ว ฝนเจ้ากรรมก็โปรยลงมาจนได้
แต่ตกได้ไม่นานฟ้าก็แจ๋มาแทนที่ ผ่านสถานีรถบัส และรถแท็กซี่แคมรี่ที่อยู่ห่างจากปอยเปต 10 กม.(ภาพบน) และก็เข้าเขตปอยเปตมา พร้อมกับจอดส่งเราที่วงเวียนปอยเปตเหมือนเดิม ณ เวลา 13.08 น. ความว้าวุ่นของการขนส่งสัมภาระก็เข้ามาแทนที่
ผ่านตม.กัมพูชา และไทยมา เดินเลี้ยวขวาเข้าโรงเกลือเพื่อไปหาที่จอดรถบัสจะขึ้นรถคาสิโนกลับบ้านที่กรุงเทพกัน
คราวนี้กลับกับรถบัสคาสิโนเจ้าอื่น ไม่ใช่ Grand Diamond แล้ว ราคาคนละ 200 บาท แต่เที่ยวนี้ไม่มีคืนแล้ว ถามเล่นๆกับเด็กรถว่าได้คืน 100 บาทเปล่า รถรถตอบกลับมาว่า "ไม่รู้จะไปคืนให้ที่ไหนเหมือนกัน" 555
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น