วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

นครวัด-นครธม-บันทายสรี-กบาลสะเปียน ตอน 3 เที่ยวปราสาทรอบใหญ่ กระวัน แปรรูป กบาลสะเปียน บันทายสรี แม่บุญ ตาสม นาคพัน พระขรรค์


หลังจากได้เที่ยวปราสาทในเสียมเรียบ 2 วันแล้ว การเดินขึ้นเดินลงปราสาทและอากาศที่ร้อนช่วงสายจวบจนถึงบ่ายของแต่ละวัน ทำให้เราเหนื่อยและปวดขามากครับ โดยเฉพาะผมอาการออกที่เข่าแบบเดิมที่เคยเกิดขึ้นเมื่อมีการเดินขึ้นเขาไปมาเลยครับ แต่ก็ยังอดทนได้อยู่เพราะวันนี้ก็คงเป็นวันสุดท้ายของการชมปราสาทแล้ว วันนี้คงมีเหนื่อยก็น่าจะเป็นช่วงที่ไปกบาลสะเปียนซะมากกว่าเพราะเดินขึ้นเขาไปกลับถึง 3 กม. แต่ยังไงก็สู้ 
ตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้ายของทริปนี้ โดยรวมวันเดินทางกลับไว้ด้วยคือวันที่ 9 เมษายน 2555 

โปรแกรมในวันที่ 3 และ 4 วันเดินทางกลับเป็นดังนี้ครับ
วันที่สาม : ตื่นเช้า (ประมาณ 8 โมง)
                ทานอาหารเช้าที่โรงแรม 
                ไปเที่ยวปราสาทรอบใหญ่ กระวัน-แปรรูป-กบาลสะเปียน-บันทายสรี-แม่บุญ-ตาสม-นาคพัน-
                 พระขรรค์
                 กลับที่พัก ทานอาหารเย็น ซื้อของฝากที่ Old Market
วันที่สี่     :  ตื่นสายหน่อย (ประมาณ 9 โมงครึ่ง)
                 ทานอาหารเช้าที่โรงแรม 
                 หารถกลับด่านปอยเปต
                 ข้ามฝั่งเข้าไทย ขึ้นรถคาสิโนกลับบ้าน
                 จบทริปบริบูรณ์


วันที่สี่ : วันที่ 8 เมษายน 2555
ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จก็เริ่มเดินทางกันเลยครับ โดยครั้งนี้มาเส้นทางที่อ้อมนครวัดไปทางตะวันออก


ประมาณ 20 กว่านาทีจากโรงแรมก็มาถึงทางเข้าปราสาทกระวัน  ตรวจตั๋วก่อนครับ


กระวัน เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียก หมายถึงต้นนมแมวที่มีมากในบริเวณนี้


ภาพสลักนูนต่ำเป็นเทวรูป


ด้านข้างประตูทางเข้าจะมีอักษรขอมแกะสลักอยู่บนผนังหิน


พอเข้าไปข้างในก็จะเจอกับภาพสลักนูนต่ำบนผนังภายในปรางค์องค์กลาง
- ด้านซ้ายสลักเป็นภาพพระวิษณุ ปางตรีวิกรม หรือปางย่างสามขุม
- องค์กลางเป็นพระวิษณุ 8 กร
- ด้านขวาเป็นภาพพระวิษณุประทับบนหลังพญาครุฑ


ส่วนด้านบนเป็นปล่องโล่ง เปิดสู่อากาศทำให้มีแสงเข้ามาภายใน ไม่มืดเกินไปนัก


ด้านข้างๆปราสาทก็จะมีแผงหนังสือขายเกี่ยวกับนครวัด นครธม อยู่หลายเล่ม เลือกซื้อได้ตามสะดวกครับ


และเราก็เดินทางต่อเพื่อไปปราสาทแปรรูป  ผ่านสระสงขนาดใหญ่ทางด้านขวามือ ตามถนนยังมีแอ่งน้ำอยู่บ่งบอกว่าเมื่อเช้าฝนตกพรำๆอีกแล้ว


และก็มาถึงปราสาทแปรรูปครับ อยู่ฝั่งซ้ายของถนน


ช่วงนี้อากาศยังไม่ร้อนมากนัก ท้องฟ้าแจ่มเชียว


เชื่อกันว่าที่นี่เป็นที่เผาศพขุนนางผู้มียศศักดิ์ จึงเรียกปราสาทนี้ว่า "แปรรูป" หมายถึงการแปลสภาพจากศพเป็นเถ้าถ่าน


ชมปราสาทแปรรูปเสร็จก็เริ่มร้อนมาทีเดียว เลยไปต่อที่กบาลสะเปียนครับ เพราะห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตรทีเดียว  ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของที่ระลึกเป็นระยะๆ แต่เราไม่ได้แวะครับ กลัวจะเสียเวลา


เรานั่งไปหลับไป เกือบๆ ชั่วโมงจากปราสาทแปรรูปก็พาเรามาถึงทางเข้ากบาลสะเปียนจนได้

ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าไปจากถนนใหญ่ครับ เข้าไปจะเป็นทางดิน ขโยกหน่อย ไม่ลึกมากนัก ก็จะถึงที่จอดรถตรงทางเข้า


จุดเริ่มต้นของการเดินขึ้นเขาไปยังกบาลสะเปียน 1.5 กม.คือสะพานไม้สะพานนี้ครับ


ตลอดระยะทาง 1.5 กม. มีทางขึ้นตรงนี้ที่ค่อนข้างโหดกว่าเขาเพื่อน แต่ก็ผ่านมาได้ครับ


กิ้งกือลายคาดดำแซมด้วยสีแดง แปลกตามากๆครับ


และก็มีจานบินปริศนาด้วยนะ


11.38 น. ยะฮู้...... 1 ชม.พอดิบพอดีจากปากทางเข้า เราก็มาถึงกบาลสะเปียน จุดที่มีหินแกะสลักนารายณ์บรรทมสินธิ์


มาดูกันใกล้ๆกับภาพแกะสลักข้างๆ น้ำตกครับ


ใต้น้ำนี้น่าจะเป็นศิวลึงค์ขนาดใหญ่สุด (หรือเปล่า)


เดินทางเลียบลำธารตรงฝั่งตรงข้าม จะมีหินแกะสลักนารายบรรทมสินธุิ์ และโคนนทิ


ซูมไปดูรายละเอียดใกล้ๆกันครับ


ตรงจุดนี้เป็นลำธารให้เดินวนรอบๆ โดยมีเสาล้อมเชือกไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปที่ตลิ่งมากนัก


หินแกะสลักพระพรหมปกคลุมไปด้วยมอส ดูลึกลับจัง


เดินข้ามฝั่งมาก็จะเป็นมุมมอง top view ครับ


และแล้วก็ได้เวลากลับลงสู่ด้านล่างแล้ว เราใช้เวลาเดินกลับสั้นกว่าที่เดินขึ้นมาหน่อย น่าจะ 10-20 นาทีมั้ง  มาถึงด้านล่างก็ตรงไปหาคนขับตุ๊กๆ ให้แนะนำร้านอาหาร เพราะเราจะทานกลางวันกันที่นี่

ได้ร้านนี้และก็สั่งมาเลย ราคาแพงเป็นปกติของร้านที่อยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวตามตัวแราสาทอื่นๆ ราคาอาหารเริ่มต้นที่ 4 USD น้ำดื่ม 1 USD


คราวนี้เราเดินทางย้อนกลับเส้นทางที่มากัน เพื่อไปปราสาทบันทายสรี  รู้สึกจะประมาณครึ่งชั่วโมงได้ จากกบาลสะเปียนมาบันทายสรี


ทางเข้าตัวปราสาทครับ


บันทายสรี มีความหมายว่า เทวาลัยแห่งสตรี หรือ เทวาลัยที่อ่อนช้อยราวอิสตรี


ปราสาทบันทายสรีสร้างด้วยหินทรายสีชมพูเนื้อละเอียด การจำหลักลายบนหินทรายสวยงามมาก


หน้าบันเรื่องทศกัณฐ์โยกเขาไกรลาส แกะสลักได้งดงามมีชีวิตชีวา เห็นฝูงสัตว์วิ่งหนีกระเจิง ส่วนพระอุมาโดดขึ้นไปนั่งบนตักพระศิวะ แต่ยังเหลียวมามองเหตุการณ์ข้างล่าง


มีทวารบาลรูปอมุษย์คอยเฝ้าประตูอยู่


พระปรางค์ 3 องค์ภายในโคปุระที่ 4


รูปนางอัปสราแห่งบันทายสรี งดงามจนได้รับยกย่องว่า โมนาลิซ่าแห่งเอเชีย :)


เสร็จจากปราสาทบันทายสรีก็เดินทางกลับตัวนครวัด นครธม เพื่อไปเก็บปราสาทส่วนที่เหลือทางด้านตะวันออกและทางเหนือ


มาถึงปราสาทแม่บุญตะวันออก


เป็นปราสาทที่สร้างคู่กับปราสาทแปรรูป


ประสาทแม่บุญตะวันออก สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระราชบิดาของพระเจ้าราเชนทรวรมัน


ดูหลายส่วนแล้ว พบว่ามีส่วนที่ซ่อมแซมหรือบูรณะขึ้นมาใหม่อยู่เยอะทีเดียว และสีก็ไม่ตรงกับของเดิมอย่างชัดเจนมากๆ ทำให้ขาดเสน่ห์การเยี่ยมชมไปเยอะเลยครับ  ลองดูประตูตรงพระปรางค์กลางสิครับ ใหม่ไม่เข้ากับเนื้อหินของเดิมเอาซะเลย


ไปต่อที่ปราสาทตาสมกันครับ

สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นปราสาทขนาดเล็ก ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ คล้ายปราสาทตาพรม มีพระพักต์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เช่นเดียวกับปราสาทหลายแห่งของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7


เข้าไปโคปุระชั้นใน ทรุดโทรมไปเยอะ


มีนางอัปสราอยู่ในท่าคล้ายๆรำ


แสงใกล้หมดเต็มที เรารีบไปต่อที่ปราสาทนาคพัน


ทางเดินไม้ทอดยาวรอเราอยู่


กว่าจะเดินถึงตัวประสาท 5 นาทีได้มั้งครับ  แต่น่าเสียดาย เขาปิดกั้นรั้วไม่ให้เข้าไปด้านในแล้ว


คงทำได้เพียงใช้เลนส์เทเลซูมเข้าไปข้างใน  ด้านหน้าที่เห็นมืดๆ ก็คือ น้ำพุหัวช้าง ถือเป็นน้ำศํกดิ์สิทธิ์รักษาโรคภัยได้สารพัด


และที่ไกลออกไปก็คือ รูปสลักม้าพลาหะ ซึ่งเป็นอวตารของพระโพธิสัตว์คอยช่วยเหลือคนที่เรือแตกอยู่กลางทะเล ให้รอดจากการถูกนางยักษืจับกิน โดยให้คนเกาะหางม้าแล้วม้าพลาหะก็พาขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย


ใกล้หมดแสงเต็มทีแล้ว เราก็มาถึงปราสาทพระขรรค์ ปราสาทสุดท้ายในวันนี้และทริปนี้ด้วย มาถึงคนที่เฝ้าคอยตรวจบัตรผ่านก็กำลังจะกลับกันแล้ว เขาเลยไม่ดูบัตรเราและให้เข้าไปได้เลย


ปราสาทพระขรรค์เป็นปราสาทขนาดใหญ่ทางด้านทิศเหนือของเมืองพระนคร สร้างขึ้นโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7  ที่เรียกว่าปราสาทพระขรรค์เพราะเป็นที่เก็บพระแสงขรรค์ชัยศรี ประจำราชอาณาจักร  กำแพงชั้นนอกมีรูปแกะสลักครุฑ


ภาพสลักรูปฤๅษีที่วิหารด้านตะวันตกของประสาทประธาน


ศูนย์กลางประสาทพระขรรค์ ปัจจุบันเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ


ที่ปราสาทนี้ก็มีต้นสะปงเลื้อยตามกำแพงเหมือนปราสาทตาพรมเช่นกัน


เนื่องจากปราสาทพระขรรค์มีขนาดใหญ่พอควร แต่เวลาเหลือน้อยเพราะใกล้ 6 โมงเย็นเข้าไปทุกที เราจึงเดินไปได้เพียงเท่านี้ อีกอย่าง เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาถามและเรียกให้รีบกลับออกไปได้แล้ว เขาจะปิดแล้ว ก็เลยต้องกลับครับ

ตัวทางเดินเข้าปราสาทเหมือนๆหลายปราสาทก็จะมีเหล่าเทวดาและยักษ์กำลังจับลำตัวนาคเพื่อกวนเกษียรสมุทรกันอยู่ ฝั่งนี้เป็นยักษ์ครับ


เสร็จสิ้นปราสาทพระขรรค์ก็ได้เวลานั่งรถกลับที่พักกันครับ

กำลังขับผ่านด้านหน้าของปราสาทนครวัด มีชาวกัมพูชามาแค้มปิ้ง นำอาหารมาทานร่วมกันกับครอบครัวกันเยอะเลย เป็นกิจวัตรประจำวันหยุดช่วงเย็นของขาวกัมพูชาก็ว่าได้ครับ


เราเปลี่ยนใจจากที่จะให้ไปส่งที่โรงแรม เป็นไปส่งและรอเราที่ Old Market ครับ จะแวะหาซื้อของที่ระลึกกลับบ้านซะหน่อย


แม็กเน็ทก็ซื้อมาแล้ว เลยหาซื้อเสื้อยืดเป็นของที่ระลึกดีกว่า ราคาไม่แพงมากนัก  เลือกซื้อเสื้อมา 5 ตัว มีหลายลาย เช่น นครวัด บายอน ฯลฯ และหมวก 1 ใบ ราคารวม 13 USD


ซื้อของได้เสร็จก็เริ่มเดินหาอาหารทานกัน แต่เพราะเรามาทานตรง Pub street แล้วในวันแรก วันนี้เลยกะจะไปทานแบบธรรมดาใกล้ๆ ทางสี่แยกน่าจะดีกว่า ราคาก็น่าจะถูกลงไปด้วยเพราะไม่ได้อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว  ร้านนี้ครับ อยู่ริมถนน Sivatha มีอาหารหลายอย่าง


ราคาอาหารเริ่มต้นก็แค่ 2 USD เอง ต่างกับที่ pub street ที่ 4 USD


อาหารที่สั่งก็เป็นผัดบะหมี่กับผักใส่ซีฟู้ด จานละ 2 USD ไม่แพงๆ แถมอร่อยด้วยนะ  และที่ไม่พลาดก็เบียร์ 1 กระป๋อง เพียง 1 USD เอง 555 คุ้มๆ


วันสุดท้าย : 9 เมษายน 2555
อย่างที่บอกครับ วันนี้ตื่นสายๆหน่อย เพราะไม่มีโปรแกรมเที่ยวปราสาทกันแล้ว ตื่นก็เกือบ 9 โมงเช้า ลงมารับประทานอาหารเช้าชั้นล่าง พร้อมกับเขียนโปสการ์ด 5 ใบส่งให้เพื่อนๆ และตัวเองที่อยู่ในไทย

ผมฝากส่งทางรีเซฟชั่นเพราะคงไม่มีเวลาไป Post Office ของที่นี่

ฝากส่งวันที่ 9 เมษายน มาถึงบ้านจริงๆ (บ้านผม) วันที่ 26 เมษายน สอบถามทางโรงแรมไปก่อนหน้านี้ว่าทำไมยังไม่ได้สักที ลืมส่งให้หรือเปล่า ก็ได้คำตอบมาว่า ส่งให้แล้ว แต่อาจจะติดวันหยุดยาวปีใหม่คล้ายของไทยเรา  แต่ยังไงซะก็มาถึงแล้ว โล่งไป คิดว่าหายซะอีก


เราขึ้นไปเก็บของที่ห้องพักอีกครั้ง และลงมาที่ล็อบบี้ ปรากฎว่า รถที่นัดไว้มาจอดรอพอดี 11 โมงตรงเวลาเป๊ะ  คนขับเป็นคนเดิมกับที่มาส่งขามาครับ

ก็ได้ฤกษ์เดินทางกลับกันแล้วครับ ค่ารถแคมรี่ขากลับนี่ต่อได้เหลือ 23 USD ต่อรองราคาจากโซ คนที่พาไปทัวร์ปราสาทในวันที่ 1 และ 2 จนได้มาเท่านี้

ระหว่างทางก็ถ่ายวิวไปเรื่อยครับ อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ เอ๊ะ...หรือแอร์ในรถมันเย็น


ผ่านครึ่งทางจนเกือบจะถึงปอยเปตแล้ว ฝนเจ้ากรรมก็โปรยลงมาจนได้


แต่ตกได้ไม่นานฟ้าก็แจ๋มาแทนที่ ผ่านสถานีรถบัส และรถแท็กซี่แคมรี่ที่อยู่ห่างจากปอยเปต 10 กม.(ภาพบน)  และก็เข้าเขตปอยเปตมา พร้อมกับจอดส่งเราที่วงเวียนปอยเปตเหมือนเดิม ณ เวลา 13.08 น. ความว้าวุ่นของการขนส่งสัมภาระก็เข้ามาแทนที่


ผ่านตม.กัมพูชา และไทยมา เดินเลี้ยวขวาเข้าโรงเกลือเพื่อไปหาที่จอดรถบัสจะขึ้นรถคาสิโนกลับบ้านที่กรุงเทพกัน

คราวนี้กลับกับรถบัสคาสิโนเจ้าอื่น ไม่ใช่ Grand Diamond แล้ว ราคาคนละ 200 บาท แต่เที่ยวนี้ไม่มีคืนแล้ว ถามเล่นๆกับเด็กรถว่าได้คืน 100 บาทเปล่า รถรถตอบกลับมาว่า  "ไม่รู้จะไปคืนให้ที่ไหนเหมือนกัน" 555


ระหว่างทางที่นั่งรถมาก็มีฝนตกบ้าง แรงบ้าง แต่ดันมาเจอสิ่งที่ทำให้ต้องหยุดรถเกือบๆ ชั่วโมงก็คือ....

ต้นไม้ระหว่างทางและเกาะกลางช่วง อ.พนมสารคามล้มมาขวางถนนครับ หลายจุดซะด้วย คราวนี้รถก็วิ่งหลีกกันมั่วไปเลย สลับเลนกันมั่ง เลยติดหยุดนิ่งไปกันใหญ่ กว่าจะหลุดมาได้ก็ถึงเซ็นทรัลบางนา ทุ่มตรงเลยครับ 

แต่สุดท้ายก็จบทริปบริบูรณ์ กลับถึงบ้านปลอดภัย ได้ไปอังกอร์วัด แล้วก็ตายตาหลับแล้วสินะ (ตามวลีของฝรั่งที่ฮิตกันไปทั่ว)

ผมก็ขอจบทริปนครวัด-นครธม-บันทายสรี-กบาลสะเปียน ทั้ง 3 ตอนเพียงเท่านี้ครับ เดี๋ยวจะต่อด้วยสรุปค่าใช้จ่ายและข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์อื่นๆ ครับ

สรุปค่าใช้จ่าย
วันแรก 6 เมษายน 2555
Taxi จากบ้านมาป้ายรถเมล์ Big C = 40 บาท
รถบัส VIP คาสิโน Grand Diamond = 2x100 = 200 บาท
ค่าแท็กซี่แคมรี่จากปอยเปต--->เสียมเรียบ = 1,100 บาท
ค่าที่พัก 3 คืน จองล่วงหน้าผ่าน Agoda = 1720.33 บาท
ค่ารถตุ๊กๆไปโตนเลสาบ = 6 USD
ตั๋วเข้าโตนเลสาบ = 2x2 = 4 USD
ตั๋วลงเรือล่องโตนเลสาบ = 2x15 = 30 USD (ไม่คุ้มนะครับ ไม่แนะนำให้ไป)
น้ำเปล่า + โค้กกระป๋อง = 1+1 = 2 USD
ตั๋วเข้าชมปราสาทแบบ 3 วัน = 2x40 = 80 USD
ค่าอาหารเย็น + ไอศครีม @pub street = 10.5+3 = 13.5 USD
ค่าโปสการ์ด 1 ชุด(10 ใบ) = 1 USD
ค่าแสตมป์ 5 ดวง = 5 USD
อื่นๆ (เช่น ทิป ทำบุญ ฯลฯ) = 4 USD 
รวม = 3,060.33 บาท + 145.5 USD

วันที่สอง 7 เมษายน 2555
ค่ารถตุ๊กๆ เที่ยวปราสาทรอบเล็ก(รวมตื่นเช้าไปชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว) = 13 USD
ค่าอาหารกลางวัน = 14 USD
ค่าแม็กเน็ท = 2 USD
ค่าอาหารเย็น + ไอศครีม @Lucky mall = 7.6+0.9 = 8.5 USD
ค่าขนมปัง + เบียร์ + มันฝรั่ง = 2 USD + 1000 เรียล
ค่ารถตุ๊กๆ จาก Lucky mall กลับโรงแรม = 2 USD
อื่นๆ (เช่น ทิป ทำบุญ ฯลฯ) = 2 USD
รวม = 43.5 USD + 1,000 เรียล

วันที่สาม 8 เมษายน 2555
ค่ารถตุ๊กๆ เที่ยวปราสาทรอบใหญ่ + ไปบันทายสรี + กบาลสะเปียน = 20 USD
ค่าอาหารกลางวัน = 10 USD
ค่ากาแฟสด @บันทายสรี = 2 USD
เสื้อยืด 5 ตัว + หมวก 1 ใบ @Old Market = 10 + 3 = 13 USD
ค่าอาหารเย็น  = 6 USD
อื่นๆ (เช่น ทิป ทำบุญ ฯลฯ) = 3 USD + 500 เรียล 
รวม = 54 USD + 500 เรียล

วันที่สี่  9 เมษายน 2555 
ค่าแท็กซี่แคมรี่จากเสียมเรียบ--->ปอยเปต = 23 USD
รถบัส VIP คาสิโน  = 2x200 = 400 บาท
อื่นๆ (เช่น ทิป ทำบุญ ฯลฯ) = 1 USD + 6,000 เรียล
ค่าแท็กซี่จากเซ็นทรัลบางนากลับเข้าบ้าน = 37 บาท
รวม = 24 USD + 437 บาท + 6,000 เรียล

รวมทั้งทริป = 3,497.33 บาท + 267 USD + 7,500 เรียล = 11,832 บาท / 2 คน หรือ = 5,916 บาท / คน 

Link ที่เกี่ยวข้อง
แผนที่ปราสาทนครวัด นครธม http://www.canbypublications.com/maps/angkor-main-map-large.htm
ตารางเดินรถทัวร์คาสิโน Grand Diamond City http://www.casino-poipet.com/Tour_Casino-GrandDiamondCity-Poipet.html
แผนที่ตัวเมืองเสียมเรียบ http://mydiscussion.files.wordpress.com/2009/09/siem-reap-map.jpg
ห้องพักในเสียมเรียบ Golden Temple Villa http://www.goldentemplevilla.com/rooms
ห้องพักในเสียมเรียบ Im Malis Hotel ผ่าน Agoda http://www.agoda.co.th/asia/cambodia/siem_reap/im_malis_hotel/reviews.html
ห้องพักในเสียมเรียบ Im Malis Hotel http://www.immalishotel.com/
และ link ข้อมูลของเพื่อนๆ ทั้งใน TKT และอื่นๆ ครับ

หนังสือ
คู่มือนำเที่ยว นครวัด นครธม จาก "นายรอบรู้" ชวนเที่ยวเพื่อนบ้าน


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น