เกือบแปดโมง อาหารเช้าจากรีสอร์ทมาเสิร์ฟแล้ว ตอนแรกที่เห็นคิดว่ามีแค่นี้ซะอีก ยังคิดในใจว่าแพงจัง แต่สักครู่ก็มีข้าวต้มหมูร้อนๆพร้อมกับกาแฟกรุ่นๆตามมา
นั่งทานอาหารเช้าพร้อมกับจิบกาแฟซึ่งมิใช่กาแฟสดแต่ก็พอหยวนๆกันได้ พร้อมๆกับบรรยากาศท้องทะเลรายรอบ ผมว่าช่างเป็นความสุขที่หามาได้แบบคุ้มค่าจริงๆ กับระยะทางพันกว่ากิโลเมตรห่างจากกรุงเทพเมืองศิวิไล ณ ที่แห่งนี้ หลีเป๊ะ
เรือบางลำพอนักท่องเที่ยวครบก็แล่นออกไปกลางทะเล วิวเกาะด้านหน้าที่เห็นคือเกาะอาดังนั่นเอง
ณ ยามนี้ แสงแดดเริ่มสาดส่องมาพอสมควรแล้ว โต๊ะที่ว่างยังรอคอยลูกค้าอีกต่อไป
โอ้ทะเลสีครามใส เราขอแค่นี้จริงๆกับการดั้นด้นมา
เกือบ 9 โมง เรือก็มารอรับที่ชายหาด น้องสุและน้องนกบอกกับเราให้ลงไปขึ้นเรือด้านล่าง ในเรือมีกลุ่ม 8 สาวพราวเสน่ห์ที่มาจากกรุงเทพเหมือนกัน นั่งรออยู่แล้ว เป็นกลุ่มที่เมื่อคืนพักที่วารินทร์รีสอร์ท แม้ว่าจะเจี๊ยวจ้าวไปบ้างแต่ก็ดูสนุกสนานครื้นเครงตามประสาสาวโสด
พอลงเรือได้ทุกคนก็ต่างทะยอยส่งเสื้อชูชีพให้กัน การเดินทางไปดำน้ำจึงเริ่มขึ้น ณ บัดนี้
พี่บังคับเรือหรือน้องๆเรียกว่ากัปตันกำลังขะมักเขม้นควบคุมเรือพาเราไปยังจุดหมายแรกคือเกาะหินงาม
9 โมงยี่สิบก็มาถึงยังจุดดำน้ำจุดแรกที่หลังเกาะหินงาม ไกด์ลักกี้สอนสาธิตการใช้อุปกรณ์ดำน้ำกับน้องๆทั้ง 8 คนก่อนจะปล่อยให้กระโดดตูมลงไป snorkel กัน เราเองก็ไม่พลาด เพื่อนผมเชี่ยวชาญมากถึงกับจะขอลงไปก่อนให้ได้ น้ำทะเลใสอย่างนี้ ใครๆก็อยากลง
โลกใต้น้ำนั้น สวยและงดงามเช่นเดิมโดยเฉพาะในฝั่งอันดามัน อย่างเจ้าปะการังหรืออะไรสักอย่างนี้สิ มีจุดสีแดง น้ำเงิน เหลืองอยู่เต็มไปหมดเลย อัศจรรย์จริงๆ
ณ จุดนี้มีดอกไม้ทะเลกับเจ้าปลาตัวน้อยนีโม่อยู่เต็มไปหมดเลย น่าเสียดายที่น้องๆทั้ง 8 คนคงเพิ่งลงน้ำเป็นครั้งแรกเลยได้แต่เกาะรอบๆเรือ ไม่มีโอกาสได้มาดูสิ่งสวยๆงามๆ น่ารักๆแบบนี้
อ่านเรื่องราวความสัมพันธ์ของนีโม่และดอกไม้ทะเลแล้วน่าสนใจ เป็นความสัมพันธ์ที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน นีโม่เองก็ใช้ดอกไม้ทะเลเป็นที่หลบภัยจากศัตรูที่จะเข้ามาทำร้าย ส่วนดอกไม้ทะเลก็จะได้อาหารจากสัตว์น้ำตัวอื่นที่จะเข้ามาทำร้ายเจ้านีโม่
บางคนบอกว่าถ้าได้ลองดำน้ำแล้ว โดยเฉพาะ scuba แล้วจะติดใจจนต้องหาเวลาไปดำอยู่บ่อยๆ ท่าจะจริงแฮะ ขนาดผมดำแค่ snorkel ยังติดใจเลย ท้องทะเลนั้นมีอีกโลกหนึ่งซ่อนอยู่จริงๆ
ปะการังหลากหลาย หลายสิ่งหลายอย่างแปลกตาเราจริงๆ
ต่อจากนั้น พวกเราขึ้นเรือแล้วไปขึ้นฝั่งที่เกาะหินงาม โดยเรือขับอ้อมไปไม่ไกล
เดินเลาะมาอีกฝั่งหนึ่งของเกาะ หินนั้นกลมมนไม่มีเหลี่ยมเลย ไกด์บอกกับเราว่าใส่รองเท้าจะได้ไม่เจ็บ แต่ผมเลือกที่จะเดินเท้าเปล่า นัยว่านวดเท้าไปในตัว แต่ที่ไหนได้เจ็บเท้าหล่ะไม่ว่า เดินช้ากว่าเขาเพื่อนเลย
เกลียวคลื่นสาดเซาะลูกแล้วลูกเล่าสู่เกาะหินงาม หินที่งามอยู่แล้วยิ่งงามยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อต้องแสงแดด
หินงามเมื่อโดนน้ำแล้วต้องแสงแดดจะสะท้อนแสงราวกับกระจกยังไงยังงั้น
ใครมาที่เกาะนี้ กิจกรรมที่มักจะทำกันก็คือตั้งเรียงหินให้ซ้อนๆกันไป สูงเท่าไหร่ได้ยิ่งดี
ใครที่คิดจะนำหินไป ได้อ่านคำสาปนี้แล้วคงจะหนาวๆร้อนๆเลยหล่ะครับ
พี่ไกด์เล่ากับพวกเราให้ฟังว่าเคยมีเรื่องจริงที่มีคนหนึ่งมาเที่ยวแล้วนำหินเก็บไปที่บ้านรู้สึกจะภาคเหนือของไทย แต่แล้วก็ต้องส่งหินคืนมาทางพัสดุฝากให้ไปคืนที่เกาะหินงามด้วย ในใจความจดหมายบอกว่าตัวเองได้ไปเที่ยวที่เกาะนี้มาและนำหินไปแต่ตอนนี้ล้มป่วยไม่สบายมาก จึงนำหินมาคืนดังกล่าว ไม่รู้เหมือนกันว่าขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ผมมองไปมองมาคล้ายๆกับเมอรูของชาวบาหลีเลย ซึ่งจะมีเป็นชั้นๆเลขคี่ ดูสิครับ...หินงามซ้อนกันหลายกองเลยทีเดียว
หินกลมมนหลากหลายสีสันลวดลาย บ้างก็สีดำสนิท บ้างก็สีขาว บ้างก็มีสีน้ำตาล บ้างก็มีลายสีเหลืองมาแจม ช่างเป็นสิ่งที่ธรรมชาติจรรโลงได้อย่างสวยงามไม่มีที่ติเลยจริงๆ
จุดมุ่งหมายต่อไปคือเกาะหินซ้อน และจุดนี้จะไม่สามารถลงไปขึ้นเกาะได้ ทำได้เพียงจอดเรือนิ่งๆให้ถ่ายรูปกันจากภายในเรือ
อ้อมมาอีกมุมหนึ่งที่มองเห็นวางซ้อนกันอย่างชัดเจน อีกประติมากรรมหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์อย่างลงตัว
แล้วก็ได้เวลาลงน้ำอีกครั้ง มีดอกไม้ทะเลอยู่เต็มไปหมด
ณ จุดนี้จะมีปะการังสีม่วงอยู่ แต่ระยะไกลดูไม่ค่อยชัด และได้เห็นปลาดาวสีขาวด้วย นอนนิ่งอยู่ก้นทะเล
จุดนี้ ปลาเสือก็เยอะใช่เล่น รู้สึกมันจะคึกคักมากเมื่อเจอกับนักท่องเที่ยวที่มาลงเล่นน้ำ ดูได้จากที่มันว่ายเล่นน้ำไปกับน้องๆที่ลงเล่นน้ำ
เที่ยงครึ่งก็ได้เวลาทานข้าวกลางวันแล้ว เรือพาพวกเราขึ้นเกาะที่หาดทรายขาว เกาะราวีนั่นเอง
ช่วงนี้มีเรือจอดเรียงรายหลายลำอยู่ เนื่องจากเป็นช่วงเที่ยงวันด้วย หลายกลุ่มคงจะมาทานข้าวกันที่นี่เหมือนกัน
ทานข้าวเสร็จก็ได้เวลาเดินย่อยอาหารกัน ณ ชายหาดทรายขาว
ใครๆที่มาที่เกาะราวี คงไม่มีใครพลาดที่จะถ่ายวิวซากไม้กับป้ายบอกชื่อเกาะแห่งนี้
และก็นี่ ชิงช้าที่ใครๆก็อยากนั่ง
นี่ด้วย...
ย่อยอาหารจนข้าวเรียงเม็ดแล้ว ไปดำน้ำที่หน้าหาดนี้กันเลย ตอนแรกผมไม่ได้เอากล้องไปด้วยเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรเนื่องจากอยู่ติดกับเกาะน่าจะพื้นๆ แต่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะที่นี่ ปะการังและฝูงปลาเยอะมากๆ ดูเจ้าตัวนี้สิ กล้าคนจนกระทั่งว่ายมาลาดตระเวนบริเวณกล้องผม คงสงสัยว่ามันคืออะไร กินได้หรือเปล่า บางตัวก็ตอดเนื้อคนด้วย จั๊กจี้จริงๆ
ทั้งปลาทั้งปะการังหลากหลายมากๆ จนผมกดชัตเตอร์ไม่ยั้ง
ดำมาเรื่อยๆก็ต้องอึ้งกับสิ่งที่เห็น ผมได้เจอหอยมือเสือสวยงามมากๆ เห็นกับตาก็ที่นี่ครั้งแรกแหล่ะ
ดำไปดำมาเริ่มสงสัยเหมือนกันว่าป้ายพื้นสีน้ำเงินตัวเลขสีขาวคืออะไร เห็นหลายจุดเหมือนกัน
โอ๊ โอ...ใครรู้ช่วยบอกหน่อยว่ามันคืออะไร มีสีชมพูด้วย
ดงหอยเม่น ถ้าน้ำตื้นหน่อยลอยลอยระวังๆหน่อยละกัน ไม่งั้นเจ็บแน่
สรรพชีวิตหลากหลายใต้ทะเลอันดามัน เกาะราวี
ผมดำมาเจอฝูงปลาชนิดนี้ ตอนแรกคิดว่าตัวเองคิดคนเดียวซะด้วย แต่พอมาถามกันเป็นอันว่าใช่ ก็คือฝูงปลานี้ว่ายลอยตัวใต้ทะเลแบบนิ่งมากๆ เน้นว่านิ่งมากๆ ไม่เคลื่อนไหวไปไหนเลย คิดว่าตายแล้วซะอีก แปลกดีแฮะ
ผมดำอยู่นานมาก ยิ่งใกล้บ่ายสองครึ่ง น้ำเริ่มลด ทำให้ปะการังนั้นอยู่ตื้นกับผิวน้ำมากๆ ดูได้จากรูปนี้ ด้านบนจะเป็นผิวน้ำแล้ว ลงมานิดเดียวก็จะเจอกับปะการังเลย
บ่ายสองครึ่ง เจ้าหน้าที่อุทยานก็เดินมายกธงแดงและเป่านกหวีดยาว ตอนแรกคิดว่าผมล้ำหน้าซะอีก แต่จริงๆแล้วเขาให้คนที่ดำน้ำอยู่ขึ้นไปดำตรงจุดอื่นดีกว่า เนื่องจากน้ำลดปะการังจะอยู่ตื้นทำให้เราอาจไปโดนปะการังได้ ผมเองก็พยายามที่จะออกอยู่พอดี มันตื้นจริงๆ ตื้นชนิดที่ว่าต้องนอนขนานไปกับผิวน้ำไม่งั้นโดนแน่ แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือหอยเม่นมันคอยจะจ้องเราอยู่
พอได้ยินเสียงนกหวีดก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมเจอเจ้านีโม่ที่อยู่ตื้นมากๆ เลยขอเวลาเจ้าหน้าที่ 3 นาทีเพื่อเก็บภาพนี้ ไม่ผิดหวังจริงๆ เจ้านีโม่โผล่หัวออกมาทักทายกับเราพอดี
ต่อจากนั้นพี่ไกด์บอกกับเราว่า ได้เวลาที่จะไปดูปะการัง 7 สีแล้ว ให้เตรียมตัวลงเรือ แต่ก็ไปแวะที่เกาะอะไรสักเกาะหนึ่งก่อน เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่น้ำที่ร่องน้ำจาบังนิ่ง เลยได้ดำที่นี่ก่อน
เราเองก็ลงน้ำทั้งคู่ มาแล้วไม่ลงได้ไง แต่ดำดูไปดูมาก็เจอกับเจ้านี่ ปลาสิงโต หุ หุ ไม่เคยเจอมาก่อนอีกแล้ว จึงได้กลับไปเอากล้องมาลงน้ำอีกครั้ง รูปลบแล้วลบอีก เพราะมันเริ่มเต็ม 1 GB ตอนออกจากเกาะราวีแล้ว เป็นครั้งแรกที่ต้องมาลบรูปที่ไม่ต้องการออก ทริปนี้ถ่ายเยอะจริงๆ
ปลาสิงโตค่อยๆว่ายอย่างช้าๆสง่างามมากๆ
อีกรูปก่อนไปที่ร่องน้ำจาบัง
ต่อจากนั้นพี่ไกด์พาเราไปที่ร่องน้ำจาบัง นับว่าเป็นโชคดีของพวกเรามากๆที่เรือมาถึงอันดับต้นๆ และก็ได้จอดผูกกับทุ่นเลย พี่ไกด์โยนเชือกแล้วบอกว่าว่ายไปตามเชือกเลย เพราะจุดที่ดูมันอยู่ไกลออกไปจากเรือมาก พอได้ลงน้ำ พี่ไกด์อีกคนของเรืออีกลำตะโกนบอกว่า "รีบว่ายมาดูเร็ว ตอนนี้น้ำนิ่งไป 15 นาที หลังจากนั้นน้ำจะเปลี่ยนทิศแล้ว จะดูไม่ได้"
พอว่ายและก้มไปดู โอ้ โห......สวยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริงในประเทศไทยเรา และมาเห็นกับตาตัวเองด้วย ผมแทบจะคลั่ง กดชัตเตอร์ไม่หยุด หามุมถ่ายไปเรื่อยๆ ช่างสวยจริงๆ พี่ไกด์ยังบอกอีกว่า ถ้านับไม่ถึง 7 สี ยังไม่ต้องไปไหนจนกว่าจะครับ 555 สุดยอดครับ
คงไม่มีคำบรรยายครับ ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
สีแดง สีชมพู สีส้ม...
ปลาก็ว่ายมาเป็นนายแบบนางแบบอยู่หลายตัว
ฝั่งนี้ปะการังสีแดงสดจริงๆ
มาดูแบบรวมมิตรบ้างครับ เสียดายมากถ้าไม่โพสต์ เลยเอามาอยู่แบบ 4 in 1 ดีกว่าจะได้ไม่เปลืองเนื้อที่
ดูเพลินๆนะครับ
รูปสุดท้าย ก่อนจากร่องน้ำจาบังด้วยความสุขที่เก็บไว้อย่างเต็มเปี่ยม ขึ้นมาบนเรือต่างกรี้ดกร้าดกันว่าสวยงามมากๆ น้องบางคนไม่ได้ลงน้ำผมเลยเอารูปจากกล้องให้ดู และสัญญาว่าจะส่งรูปพวกนี้ไปให้ น้องๆทั้ง 8 คนเตรียมมาเซฟไปได้ครับ
หลังจากนั้น เรือก็พาเรามาส่งที่หาดหน้าทางขึ้น Mountain Resort เวลาประมาณ 16:45 น. โดยลงที่นี่กันทุกคนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่พักวารินทร์รีสอร์ทก็ตาม แต่น้องๆคงเดินกันเหนื่อยเลยนะเนี่ย เพราใช้เวลาเดินเกือบครึ่งชม.กว่าจะถึงที่วารินทร์
ผมและเพื่อนอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จก็เดินลงมาเพื่อจะไปเก็บภาพยามเย็น โดยเฉพาะพระอาทิตย์ตกที่หาด sunset เราเดินผ่านอันดามันรีสอร์ทที่อยู่ติดๆกับที่พักเรา ที่นี่น่าพักเหมือนกัน หาดทรายสวยและสงบ
ณ ชายหาดหน้าอันดามันรีสอร์ท
มาชมพระจันทร์สวยๆกันอีกวันครับ
ว่างๆ สงสัยต้องจัดทีมชวนไปเล่นวอลเล่ย์บอลชายหาดที่นี่แล้ว
ไปวารินทร์หรือหาดอื่นๆต้องเดินผ่านมาที่นี่ โรงเรียนบ้านเกาะอาดัง นักเรียนที่ไหนจะมีความสุขเท่านักเรียนโรงเรียนนี้เป็นไม่มีแล้ว นั่งเรียนในห้องเรียนชะโงกหน้านิดเดียวก็ได้เห็นชายหาดและทะเลสวยๆ พอพักกลางวันก็ออกมาเล่นบาสหรือฟุตบอล ที่ข้างๆสนามเป็นชายหาดและทะเลสีคราม อิจฉาจริงๆจ้าน้องๆ
ต่อจากนั้น เราก็เดินไปเส้นทางอีกเส้นหนึ่งที่ทะลุไปยังหาดพระอาทิตย์ตก หรือ sunset แต่เส้นทางค่อนข้างเปลี่ยวกอปรกับแสงอาทิตย์ค่อนข้างจะมืดแล้ว ผมเลยให้เพื่อนเดินกลับไปก่อนแล้วผมเดินไปคนเดียว ล้มเลิกไม่ได้ มาทั้งทีต้องได้รูปพระอาทิตย์ตกหรือไม่ก็แสงสวยๆก่อนลับขอบฟ้าไป
เส้นทางนี้จะผ่าน Jack's Jungle Bar แล้วไปทะลุที่พรรีสอร์ท ในที่สุดก็ถึง
เนื่องจากจุดนี้มองไม่เห็นพระอาทิตย์ตก เพราะต้องข้ามเขาไป จึงได้แสงสุดท้ายมาแทนแต่แค่นี้ก็คุ้มแล้ว
ขาเดินกลับมาค่อนข้างมืดแล้ว แต่แสงพระจันทร์คืนนี้ส่องมาสว่างสวยจริงๆ จึงเก็บภาพไว้ ณ ชายหาดหน้าอันดามันรีสอร์ท
หลังจากทานอาหารมื้อเย็นที่รีสอร์ทแล้ว อากาศเริ่มเย็นโดยมีลมพักมาแรงๆกระทบตัว เราจึงกลับไปที่พักเพื่อนอนเก็บแรงหลังจากวันนี้เสียพลังงานมาทั้งวันและพร้อมสู่เช้าวันใหม่ในวันรุ่งขึ้นอีกครั้งต่อไป
เช้าวันใหม่
เช้าวันนี้ตื่นประมาณ 8 โมงเช้า ไม่สายมากนักเนื่องจากน้องสุและน้องนกนัดเราตามนี้ และเรือจะออกประมาณ 9:30 น.ช่วงเช้าวันนี้จึงเป็นช่วงเก็บตกกับบรรยากาศต่างๆ โดยเฉพาะที่รีสอร์ทแห่งนี้ ใครจะมาเที่ยวหลีเป๊ะ ที่นี่ควรค่าแก่การมาพักเลยครับ ผมรับรอง
จากกำหนดการเดิมว่าเรือจะมารับไปเรือใหญ่ต้องเปลี่ยนมาขึ้นอีกลำหนึ่งที่ออกประมาณ 10 โมงเนื่องจากทางทัวร์จะพาพวกเราไปแวะลงที่เกาะไข่เพื่อถ่ายรูปและเดินลอดซุ้มด้วย พอได้เวลาเราก็ต้องจากหลีเป๊ะไปแล้ว สาวน้อยผู้บอบบางแห่งอันดามันผู้นี้ เราหลงเราเธอเข้าเต็มเปา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เรามาเยือนแต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน ยังมีครั้งที่ 2...3...4... รอการมาเยือนของเราอีกต่อไป
เรือพาเรามาที่เกาะไข่ เวลาประมาณ 11:50 น. บางคนไม่ลงเนื่องจากร้อน แต่ส่วนใหญ่จะลงกันไปดูและเดินลอดซุ้ม เขาว่า "ถ้าใครเป็นคู่กันและได้ลอดพร้อมกันก็จะได้แต่งงานหรือรักกันยิ่งๆขึ้นไป"
พอลอดผ่านมาก็จะเจอกันชายหาดกับน้ำทะเลใสๆไม่แพ้เกาะอื่นในละแวกนี้เหมือนกัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น