วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2549

Big Trip ครั้งที่สอง (8 วัน 7 คืน) ตอน 7 ล่องสาละวินสู่ท่าตาฝั่ง-ถ้ำแม่อุสุ-อช.ตากสินฯ...วันที่เจ็ด


วันนี้เป็นวันที่เจ็ดของบิ๊กทริปแล้ว เช้านี้จะล่องสาละวินไปอุทยานแห่งชาติสาละวินหน่วยท่าตาฝั่ง ไปดูหาดแท่นแก้วให้เห็นกับตาว่าจะสวยขนาดไหน ต่อจากนั้นคงเดินทางกลับ แล้วต่อไปกางเต็นท์ยังอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช จ.ตาก ระหว่างทางจะแวะถ้ำแม่อุสุ ดูความสวยงามภายในถ้ำ พร้อมกับแสงที่เข้ามาด้านหลังถ้ำยามบ่ายสามโมงว่าสวยขนาดไหน ทั้งหมดนี้ใช้เส้นทางหมายเลข 105 จากแม่สะเรียงผ่านสบเมย ท่าสองยาง  แม่ระมาด และแม่สอด โดยผ่านอช. แม่เงา แม่เมย ก่อนจะถึงอช.ตากสินฯ ตามลำดับ
ทริปวันนี้คงจะเน้นภาพ โดยมีมากถึง 70 รูป อาจจะโหลดนานหน่อยครับ


วันนี้ตื่นเช้ามาก็เจอกับหมาตัวนี้ที่นอนเฝ้าเต็นท์ให้เราทั้งคืน พอเราจะเดินต่อไปไหน เจ้านี่ก็จะคอยตามไปซะทุกที่ กระดิกหางตลอด ขอบใจนะเจ้าหมาน้อย


มองลงมาที่ท่าเรือแม่สามแลบ แปลกตาออกไป ริมฝั่งเต็มไปด้วยหินขนาดใหญ่และทรายละเอียด


เก็บเต็นท์และเดินลงมาด้านล่างที่ท่าเรือ หมอกยามเช้าสวยงามจริงๆ


ณ เช้าวันนี้มีพระมาบิณฑบาตร บรรยากาศโดยรอบสดชื่น


อาหารเช้าวันนี้รองท้องด้วยก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กหมูแดง ในร้านละแวกนั้น


ทานข้าวเพียงเพื่อจะหวังรอคนมากันเยอะๆจะได้แชร์ค่าเรือไปบ้านท่าตาฝั่งกัน ที่ไหนได้ เรากลับไปถามคนเรือได้ความว่ายังไม่มีคนเลยสักคน คนส่วนใหญ่(ชาวบ้าน)จะล่องตามน้ำไปทางสบเมยมากกว่าที่จะทวนน้ำไปบ้านท่าตาฝั่ง
เราถามอาบังเจ้าของเรือ และต่อรองราคานิดหน่อย แต่อาบังยืนราคาเดิมคือ 1000 บาทไป-กลับ เราตกลง ก่อนออกเรือ อาบังต้องไปลงชื่อที่ทหารก่อน


อาบังแจกแจงราคาต้นทุนการเดินเรือครั้งนี้
1.ค่าน้ำมันไปกลับประมาณ 20 ลิตร เบนซินตอนนี้ก็ลิตรละ 27 บาท ค่าน้ำมันก็ปาเข้าไป 500 บาท ครึ่งหนึ่งของราคาเหมาแล้ว
2.เงินที่อาบังหรือคนเดินเรือจะได้จริงๆก็ประมาณ 280 บาท นอกนั้นต้องจ่ายเป็นค่าคิว
นี่แหล่ะเรือที่จะพาเราไปล่องทวนแม่น้ำสาละวิน


พี่คนนี้แหล่ะทหารลาดตระเวน ดูแกแต่งตัวซะแบบเนียนเลย แต่สังเกตให้ดี ไหล่ขวาจะสะพายปืนอยู่


เรือออกจากท่าแล้ว เริ่มล่องเวลาเก้าโมงกว่า อากาศยังเย็นสบายๆ ฝั่งซ้ายพม่า ฝั่งขวาไทย


ด้านขวาที่เห็นจะเป็นบ้านแม่สามแลบ หมู่บ้านที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำสาละวินของไทย


สองข้างทางของแม่น้ำสาละวิน แม่น้ำที่ขึ้นชื่อได้ว่าเกิดจากการละลายของหิมะในประเทศธิเบต น้ำจึงเย็นเป็นปกติ สองฝั่งจะเจอกับหาดทรายสวยๆอยู่เนืองๆ


อากาศ ณ ขณะนี้หนาวเย็นสบายๆ น่าจะประมาณ 15-18 องศา ช่วงนี้ช่างเป็นการชาร์ตแบตฯชีวิตอย่างดีทีเดียว ในใจไม่ต้องครุ่นคิดอะไรมาก ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆกับธรรมชาติรอบๆตัวเรา


อาบัง คนขับเรือเรา เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ตามที่แกตอบคำถามเรา ส่วนใหญ่คนที่นี่มักจะเคี้ยวหมากจนปากแดงแจ๋ อาบังก็เป็นคนหนึ่ง


หมอกลอยละลิ่ว แซกซึมตามขุนเขาที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ไม่แบ่งแยกว่าเป็นไทยหรือพม่า


นี่ก็อีกหาดที่มีทรายและก้อนกรวด ธรรมชาติยังคงสมบูรณ์มาก เพราะห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยวดังๆนั่นเอง


อีกสิบนาทีสิบโมงเช้า เราก็ผ่านอุทยานแห่งชาติสาละวินหน่วยท่าตาฝั่ง เราจะแวะตอนกลับจากบ้านท่าตาฝั่งที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 15 นาที


ตรงหน้านี้คงเป็นหาดแท่นแก้ว ของอช.สาละวิน สวยงามจริงๆ


นี่ก็อีกรูป


ไม่นานประมาณ 15 นาที ก็มาถึงบ้านท่าตาฝั่ง


พอจอดเรือที่ท่าได้ อาบังก็ต้องเข้าไปลงชื่อก่อนครับ มาเป็นเรือสัญชาติไทย เข้ามา ณ เวลาใด


ท่าเรือบ้านท่าตาฝั่ง เมื่อมองจากด้านบน จะเห็นลุงใส่เสื้อสีฟ้ากำลังจะเดินมาคุยกับเรา


ทางเดินขึ้นไปยังหมู่บ้าน สูงพอควรครับ


ลักษณะบ้านจะเป็นบ้านไม้แนวๆนี้


หลายบ้านมีจานดาวเทียมและแผงโซล่าเซลล์ด้วย


ป้าคนนี้แกกำลังตากลูกหมากอยู่ ผมถามว่าอะไรแกก็จะมีค่อยเข้าใจภาษาไทยมากนัก
บ้านท่าตาฝั่งนี้ เป็นชุมชนชาวกะเหรี่ยงเก่าแก่ ผู้ที่เข้ามาบุกเบิกครั้งแรกคือ ผู้เฒ่า “จออู” มาพร้อมกับเมียและลูกอีก 1 คน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2485 จนถึงบัดนี้ผู้เฒ่า “จออู” ยังอยู่ที่นี่ ผมเองไปครั้งนี้ไม่ได้ไปหาผู้เฒ่าแก ไม่อยากไปรบกวนเวลา เลยเดินไปเรื่อยๆแล้วกลับไปอช.สาละวินต่อ


สักพักก็กลับมาขึ้นฝั่งยังอช.สาละวิน หน่วยท่าตาฝั่ง กับป้ายตะวันตกสุดแดนสยาม


ทางขึ้นไปยังที่ทำการ


ดอกไม้ระหว่างทาง


โค้งน้ำสาละวิน สงบและสวยจริงๆ


สงบเงียบ รอการมาเยือนจากท่านผู้ต้องการความสงบเช่นกัน


ด้านบนมีบ้านพักของอุทยานด้วยครับ หรือไม่ก็กางเต็นท์ที่หาดแท่นแก้ว น่าจะได้บรรยากาศมากกว่า


มีที่นั่งทานข้าวให้ชมวิวสาละวินไปในตัวด้วย



ได้เวลาไปสำรวจหาดแท่นแก้วแล้วครับ


หาดทรายละเอียดสวยงามสมคำร่ำลือจริงๆ


มองใกล้ๆ จะเห็นรอยเท้าหลายๆรอย ทั้งคนเอง ไก่ และสุนัข รู้สึกว่ารอยเท้าสุนัขจะเยอะสุดนะ


ได้เวลากลับแล้วครับ มีของฝากจากบ้านท่าตาฝั่งด้วย เป็นกล่องสีเทา ทหารคงฝากมาลงที่บ้านแม่สามแลบ


ใกล้ถึงท่าเรือบ้านแม่สามแลบแล้วครับ จะเห็นเจดีย์สีทองอยู่ไกลๆ พอดีผมไม่มีเวลาเลยไม่ได้ไปนมัสการเจดีย์ด้านบนครับคุณ CoBraGolD


ต่อจากนั้นจึงเริ่มเดินไปยังถ้ำแม่อุสุทางเส้น 105 เส้นทางช่วงก่อนไปถึงอช.แม่เงาค่อนข้างแคบและทางไม่ค่อยดีครับ มีบางช่วงกำลังทำทางอยู่


ขับรถมาเรื่อยๆ คิดว่าขับมาในประเทศอเมริกาซะอีก เจอห้วยชิกาโก้ด้วยแฮะ


บ่ายสามโมงพอดีเรามาถึงยังถ้ำแม่อุสุ ซึ่งเป็นช่วงเวลาดูถ้ำที่สวยที่สุดของวัน


ทางเข้าถ้ำครับ มีลำน้ำห้วยอุสุไหลผ่าน บรรยากาศคล้ายๆกับถ้ำน้ำลอดที่ปางมะผ้าเลยครับ แต่ถ้าแม่อุสุจะเล็กกว่ามาก


เข้าไปแล้วมองย้อนออกมาด้านปากทางเข้า


เราได้เด็กๆแถวนั้นเป็นมัคคุเทศก์น้อยให้เรา มีน้องชายเสื้อเขียวและเด็กๆอีก 2 คนช่วยถือไฟฉายตามเรามา ผมชอบตรงที่ยังไม่เป็นธุรกิจมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับถ้ำอื่นที่ต้องเสียค่าตะเกียงถึงดวงละ 100 บาท
ทางเข้าต้องเดินลุยน้ำเล็กน้อย ระดับน้ำสูงสุดเกือบถึงเข่า แต่ลุยน้ำไม่นานก็ขึ้นมายังทางเดินธรรมดาแล้ว


หินงอกอันแรกคล้ายๆกับแม่ลูกอ่อนกำลังอุ้มลูกอยู่


อันนี้จำไม่ได้แล้วว่าจินตนาการเป็นอะไร


มาถึงด้านปลายถ้ำ นี่แหล่ะคือสิ่งที่ผมรอคอย


แสงแดดสาดส่องเข้ามาทางช่องหินตอนบ่ายสามโมงเย็น ภาพที่ได้เหนือคำบรรยาย


เหมือนเอเลี่ยนมั๊ยครับ


ส่วนนี่ก็คล้ายอนาคอนด้าห้อยหัว


เจดีย์ห้าชั้น


โอ๊ะโอ...ในถ้ำนี้มีผีกระสือด้วย


สิงห์โตกำลังหมอบ


อันนี้จำไม่ได้ว่าเหมือนอะไร


ด้านซ้ายบั้นท้ายม้า ด้านขวาบั้นท้ายช้าง เหมือนแฮะ


...



เต่านอนหงายท้อง


ปลาวาฬเกยตื้น


เจดีย์สามองค์



...


แสงสาดส่องลงมา ในช่วงเวลาบ่ายสี่โมงพอดี ตอนที่เราจะออกจากถ้ำ


ภาพสุดท้ายก่อนลาถ้ำอันสวยงามถ้ำหนึ่งของไทย ถ้ำแม่อุสุ
ขอบใจน้องๆทั้งสามมากนะจ๊ะ โดยเฉพาะน้องชายเชื้อสายกระเหรี่ยงที่อายุเพียง 15 ปี น้องบรรยายได้ดีมากครับ ใครได้ไปเที่ยวที่นี่อย่าลืมให้เงินเล็กๆน้อยๆก่อนออกจากถ้ำนะครับ เพราะน้องๆเขาไม่ได้ขออะไรเราก่อนจริงๆ


หลังจากชมถ้ำอุสุ 1 ชม.จนเต็มอิ่ม เราก็ออกเดินทางต่อไป ระหว่างทางน้ำมันใกล้จะหมดแล้ว ผมแวะเติมปั๊มหลอดครั้งแรกในทริปนี้และเสียเงินสดด้วย หลังจากที่เติมด้วยบัตรเครดิตมาตลอด เส้นทางดีและสวยงามมากเพราะเริ่มเย็น ระหว่างทางพบกับศูนย์อพยพ เลยจอดแวะถ่ายบรรยากาศมา มีเด็กๆออกจากที่พักเดินมาเล่นกันอยู่ข้างๆถนน


บ้านเต็มไปหมด


บ้านบนเนินเขาได้บรรยากาศดีแท้


เราออกเดินทางต่อไปยังแม่สอด ดูเวลายังพอแว่บไปสะพานมิตรภาพไทย-พม่าได้ จากสามแยกเลี้ยวขวไปอีกประมาณ 6 กม. สมกับเป็นภาคตะวันตกเลย แดดนี้แยงตาเรามากๆ เพราะเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดินแลเราขับรถไปทิศตะวันตกพอดี ถึงด่านก็โพล้เพล้แล้ว


เราไม่ได้ผ่านด่านเข้าไปในพม่าและตลาดริมเมยก็ปิดลงแล้ว เราเลยทำได้เพียงเก็บภาพตอนพระอาทิตย์ตกดิน ณ สะพานมิตรภาพไทย-พม่า


กลับมาทางฝั่งไทย เจอกับพระจันทร์ลูกโตๆ ณ สะพานมิตรภาพไทย-พม่า


ก่อนจะขับไปยังอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช เราแวะร้านเซเว่นเพื่อซื้อเสบียงสักหน่อย ว่างๆก็เลยเช็กโฮมเพจตัวเองว่ามีคนโพสต์เข้ามาถามอะไรหรือไม่ เจอคุณ nut ที่เข้ามาถามเรื่องจองที่พักที่คินาบาลู แล้วกลับไปถึงกรุงเทพจะตอบไปทางเมลนะครับ


ทุ่มยี่สิบ เรามาถึงอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราชพอดีครับ จัดแจงกางเต็นท์และต้มมาม่าก่อนนอน คืนนี้อากาศเย็นดี น่านอน แต่ที่อุทยานก็ดันมีเสียงเพลงคาราโอเกะขับกล่อมพวกเราอีกแล้ว สอบถามเจ้าหน้าที่ทราบว่าเป็นชุดม.แม่โจ้มาเลี้ยงสังสรรค์กัน แปลกดีนะครับ มาเลี้ยงที่อุทยานแห่งชาติ ทำไมไม่ไปร้านอาหารหรือคาราโอเกะให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย เอาครับ นอนๆไปเดี๋ยวก็หลับไปเอง วันนี้อาการปวดหัวเข่าเริ่มแสดงอาการแล้ว บวกกับอาการปวดสะบักซ้ายก็แสดงออกมา คงเป็นผลจากการขับรถมาตลอดทั้ง 7 วัน คืนนี้ขอนอนให้สบายๆก่อนครับ แล้วเจอกันใหม่ในวันที่แปดวันสิ้นสุดบิ๊กทริปนี้ ณ อช.ลานสาง และอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

Original Published on www.pantip.com at [ 21 ม.ค. 49 20:44:55 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2006/01/E4042802/E4042802.html



เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น