วันนี้เป็นวันที่สองของบิ๊กทริป ก่อนออกจากตัวเมืองเชียงใหม่กรุงเทพแห่งที่สอง เราไม่ลืมที่จะไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพซึ่งเป็นมิ่งขวัญแก่ชาวเชียงใหม่มาตราบนานเท่านาน เพื่อเป็นศิริมงคลแก่เราทั้งสอง หลังจากนั้นจะเริ่มเดินทางไปอ่างขาง และแวะชมถ้ำเชียงดาวระหว่างทางที่อ.เชียงดาว ก่อนหาจุดกางเต็นท์สวยๆบนดอยอ่างขางต่อไป
เมื่อคืนนอนไม่ค่อยจะหลับ อาจเป็นเพราะดื่มกาแฟก่อนนอนก็เป็นได้ ทำให้เช้านี้ ไม่ค่อยจะสดชื่นเท่าไหร่ ผมตื่นนอนประมาณหกโมงครึ่ง เพราะต้องเตรียมตัวเดินทางต่อไปอีกไกล
เดินลงมาข้างล่าง ก็ได้เห็นบรรยากาศสวยๆจากการตกแต่งสวนของป้าเรจินา ที่เมื่อวานมาถึงก็มืดซะแล้ว เลยไม่ได้เห็นของดี
ผมไม่แน่ใจว่าดอกสีเหลืองที่วางอยู่เรียงรายตามทางเดินนั้นมีชื่อว่าอะไร แต่เป็นดอกไม้ที่นำมาจากต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในสวนแห่งนี้นั่นเอง
ก่อนออกจาก Regina Guesthouse ขอสูดอากาศสดชื่นจากดอกไม้รอบๆก่อนครับ โดยเฉพาะดอกลีลาวดีริมอ่างน้ำ
ขับรถไม่นานก็มาถึงพระธาตุดอยสุเทพ เดินขึ้นไปนมัสการพระธาตุตามพวกเราได้เลยครับ ยิ่งตอนเช้าแล้วด้วย เรียกเหงื่อดีนักแล
เรามาเชียงใหม่ทุกครั้ง จะขาดเสียไม่ได้เลยที่จะมาไหว้พระธาตุดอยสุเทพ เว้นเสียแต่ว่าการมานั้นเป็นการต่อเครื่องไปที่อื่นเช่นแม่ฮ่องสอน จึงทำให้ไม่มีเวลาออกไปไหน
ตามความเชื่อของชาวล้านนาแล้ว พระธาตุดอยสุเทพเป็นพระธาตุประจำปีเกิดคนเกิดปีมะแมหรือแพะนั่นเอง
จะว่าไปแล้ว เราทั้งคู่ได้มีโอกาสไปไหว้พระธาตุก็รวมแล้ว 6 แห่งตามความเชื่อของชาวล้านนา ยังเหลืออีก 6 แห่งที่ยังไม่ได้ไป ล่าสุดที่ได้ไปมาก็มีพระธาตุช่อแฮกับแช่แห้งที่จังหวัดแพร่และน่าน ตามลำดับ (http://athlons.blogspot.com/2004/10/PraeNan-01.html) ถ้าไม่นับรวมพระธาตุดอยกองมู
มาครั้งนี้ หวังลึกๆว่าจะไม่ได้ยินเสียงการตีระฆังดังๆเหมือนเมื่อครั้งก่อนๆ แต่ที่ไหนได้ ขาจะกลับ เราได้ยินและเห็นภาพคนโยกระฆังจนได้ ด้านบนระฆังเขาก็เขียนไว้ชัดเจนว่าอย่าโยกระฆัง ป้ายที่ติดตามต้นไม้ก็เขียนชัดเจน "ระฆังดังเพราะคนตี คนดีไม่ต้องตีก็ดัง"
เลยเที่ยงวันมาเล็กน้อย เรามาถึงที่ถ้ำเชียงดาว ซึ่งอยู่ในตัวอำเภอเชียงดาวแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 5 กม. ทางแยกนั้นค่อนข้างหาลำบากนิดหนึ่งเนื่องจากเป็นทางเล็กๆ อาจเผลอขับเลยไปได้
ก่อนเข้าถ้ำเชียงดาว จ่ายค่าเข้าชมคนละ 10 บาทครับ เพื่อช่วยเหลือค่าไฟในการบริการแสงสว่างที่นี่
ถ้ำเชียงดาวนี้ สามารถเข้าชมได้ทั้งสองส่วน ส่วนที่ไม่ต้องใช้ตะเกียงสามารถเดินชมโดยไม่มีไกด์ได้เลย เพราะทางวัดเปิดไฟฟูออเรสเซนต์ไว้ อีกส่วนหนึ่งที่ทางเข้าลึกและมืดจำเป็นต้องใช้บริการตะเกียงพร้อมไกด์ท้องถิ่น เสียค่าตะเกียงดวงละ 100 บาท เดินไปดูได้ในจุดที่ไม่มีไฟเข้าไป ดูเหมือนราคาจะเป็นมาตรฐานเท่ากันกับถ้ำลอดที่ปางมะผ้า
เราเลือกเดินไปตามแสงไฟที่สาดส่อง ไม่เลือกที่จะไปในถ้ำที่ต้องใช้ตะเกียง
ได้รับทราบมาว่า ถ้ำเชียงดาวนั้นเป็นถ้ำที่ตายแล้ว นั่นหมายถึงหินงอกหอนย้อยภายในไม่สามารถขยายตัวได้อีกต่อไปแล้วนั่นเอง
เดินไปเรื่อยๆจะเจอกับหินคล้ายๆกับคนนอนหงายอยู่ มีดอกไม้ธูปเทียนวางไว้ หาป้ายว่าคืออะไรก็ไม่เจอ
หินงอกหินย้อยในถ้ำนี้ดูแล้ว ไม่สวยเท่าถ้ำอื่นๆที่เคยดูมา ในถ้ำลอดจะดูสวยกว่า และจินตนาการได้หลายอย่าง หรืออาจเป็นเพราะเราไม่ได้เข้าไปดูในถ้ำที่ต้องใช้ตะเกียงก็เป็นได้
ผมจำได้แต่เพียงว่า ถ้ำที่จะต้องใช้ตะเกียงนั้นมีถ้ำน้ำซึ่งอยู่ปลายสุดของทางเดิน ส่วนถ้ำอื่นๆนั้นจำชื่อไม่ได้จริงๆ
อิ่มหนำจากการชมถ้ำเชียงดาวแล้ว ออกมาข้างนอกเตรียมตัวที่จะขับรถต่อไปยังดอยอ่างขาง แต่ด้านหน้าวัดจะมีสถูปเจดีย์เก่าตั้งอยู่
ออกจากถ้ำเชียงดาว ใช้เส้นทางถนนตัดใหม่ by pass เลี่ยงเมืองเชียงดาวซึ่งยังสร้างไม่เสร็จ ขับมาได้ไม่กี่นาที ก็ต้องจอดรถออกมาถ่ายรูปขุนเขาที่สูงตระหง่านอยู่ทางด้านซ้ายมือ เขานี้คงหนีไม่พ้นดอยเชียงดาวซึ่งมีดอยหลวงเชียงดาวเป็นดอยที่สูงสุดเป็นอันดับ 3 ในประเทศเป็นแน่ สูงซะจนมีก้อนเมฆมาบดบัง
ผมขับต่อไปยังจุดหมายปลายทางของวันนี้คือดอยอ่างขาง สถานที่ที่ใครๆก็ว่าเส้นทางชันเอามากๆ ถึงกับได้เป็นที่หนึ่งในเรื่องความชันของประเทศไปเลย แน่นอนผมเลือกเส้นทางขึ้นทางอ.ไชยปราการ เพราะต้องการทดสอบสภาพคนและสภาพรถที่ใช้งานมาถึง 8 ปีด้วยกันว่ายังเป็นเพื่อนคู่คิดด้วยกันมาเสมอ
ขับขึ้นมายอมรับว่าชันสุดๆกว่าที่เคยๆขับมาแล้วจริงๆ ระหว่างขึ้นต้องปิดแอร์เปิดกระจก ไม่ทำอะไรทั้งนั้นนอกจากใจจรดจ่อที่เส้นทางและคอยดูรอบเครื่องยนต์ที่เกจวัด ที่เกียร์ 2 รถยังค่อยๆเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆเอาชนะแรงเสียดทานและ mgcos z จากการแตกแรงมาทางแนวถนน ใบหน้าชาคอยลุ้นให้ผ่านระยะ 2 กม.สุดท้ายไปได้ด้วยดี สุดท้ายก็ผ่านมาจอดหน้าจุดชมวิวที่นี่ได้ ณ ตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 14:40 น. อากาศร้อนแต่ยังพอมีหมอกให้เห็น
เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับต้นซากุระเมืองไทยหรือพญาเสือโคร่ง จึงอดไม่ได้ที่ต้องจอดรถริมทางเพื่อออกมาถ่ายรูป
ทางก่อนจะไปบ้านขอบด้ง บ้านนอแล และสถานีเกษตรฯ โล่งดีจัง ชักภาพได้หลายรูปเลย
มาดูเส้นทางก่อนที่จะขึ้นไปยังจุดชมวิว และจุดกางเต็นท์ ขึ้นเขาพอประมาณ
ตอนแรกตกใจคิดว่าใครมาจัดงานเลี้ยงกันที่นี่ แต่ดูไปดูมาเป็นร้านอาหารแนวจีนยูนนานของที่นี่ ตกแต่งด้วยสีสันสีแดงตามประเพณี
เราเลี้ยวขวาเพื่อแวะไปดูหมู่บ้านขอบด้ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวมูเซอ จอดรถที่หน้าบ้านตัวอย่าง
มีแปลงกระหล่ำสีสวยๆปลูกไว้บริเวณหน้าบ้าน
อีกมุมหนึ่ง ณ บ้านตัวอย่างขอบด้ง
สักพักเราก็ขับมาถึงฐานปฏิบัติการนอแล ณ จุดนี้ สุดเขตประเทศไทย
บังเกอร์หลบกระสุนของพี่ทหารหาญ มองเห็นฐานพม่าอยู่ไกลๆตรงด้านหน้าและขวามือ
มาที่นี่ไม่กลัวเลยครับ เพราะมีเจ้าอาวุธนี้คอยคุ้มเราอยู่
ดอกลำโพงที่ฐานปฏิบัติการนอแล
จากการสำรวจและตระเวนทุกๆจุดในฐานปฏิบัติการนอแลแล้ว เราสอบถามพี่ทหารว่าสามารถกางเต็นท์ได้หรือไม่ พี่ทหารใจดีตอบกลับมาว่า เชิญกางเต็นท์ได้ตามสบายเลยครับ เราจึงมาลงเอยที่นี่ จัดการเลือกทำเลที่ใกล้ชายแดนมากที่สุด เพราะอยากนอนกางเต็นท์ที่ประชิดชายแดนมากที่สุดนั่นเอง...แห่ะๆ
แต่ยังไงซะก็ยังมีบ้านพักของพี่ทหารตั้งขวางหน้าอยู่ เราอุ่นใจได้
ดูสิครับ ฐานปฏิบัติการทางฝั่งพม่าเขา อยู่สูงจากเราพอควร แต่จากการสอบถามพี่ทหารแล้ว บริเวณนี้ไม่มีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้น สบายใจได้
ขอบคุณจ่า หัวหน้าฐานที่นี่ ที่ให้เรานำรถมาจอดด้านใน เกรงว่าเราจะกลัวว่ารถหาย
ขอบคุณครับ
จวนได้เวลา 6 โมงเย็น พวกพี่ๆทหารเตรียมเข้าแถวเพื่อเคารพธงชาติ เป็นอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานจากการร้องเพลงชาติไทย เราทั้งคู่ยืนตรงเคารพธงชาติพร้อมกับร้องเพลงชาติไปตามพี่ๆทหารหาญ
ดอกไม้สวยๆอีกครั้งครับ
ขอจบด้วยแสงสุดท้ายของวันที่สอง ณ ฐานปฏิบัติการนอแล ดอยอ่างขางครับ
แล้วค่อยมาเจอกันใหม่ในวันรุ่งขึ้น กับการลงไปเที่ยวสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง พร้อมกับเดินทางต่อไปยังปาย แม่ฮ่องสอน
Original Published on www.pantip.com at [ 16 ม.ค. 49 19:48:58 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2006/01/E4028943/E4028943.html
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น