วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2549

Big Trip ครั้งที่สอง (8 วัน 7 คืน) ตอน 5 จากบ้านรวมไทย(ปางอุ๋ง) มุ่งสู่ เมืองสามหมอก...วันที่ห้า


วันนี้กะตื่นเช้าหน่อยเพื่อไปดูไอหมอกที่มีอยู่น้อยนิดล่องลอยเหนือผิวน้ำที่อ่างเก็บน้ำห้วยปางตองหรือปางอุ๋งนั่นเอง แล้วร่ำลาลุงปาละกับพี่ศรีเดินทางต่อไปยังบ้านรักไทย(แม่ออ) ต่อจากนั้นจึงเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอนหาที่พักต่อไป ช่วงบ่ายๆคงไปดูกระเหรี่ยงคอยาวที่บ้านน้ำเพียงดิน ที่เลือกที่นี่เพราะครั้งที่แล้วได้ไปดูที่ห้วยเสือเฒ่ามาแล้ว จะเหลืออยู่ก็บ้านในสอยที่รอการมาเยือนของเราในครั้งต่อไป


หลายคนมาที่นี่เพราะคำร่ำลือว่าสวยงามตามรูปภาพที่หาได้ไม่ยากตามเว็บไซท์ต่างๆ มาเพื่อจะถ่ายไอหมอกตามผิวน้ำว่างั้นเถอะ แต่ผมว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของที่นี่นอกจากสวนสนและอ่งเก็บน้ำแล้ว คือวิถีชีวิตผู้คนชาวไทยใหญ่ที่ตั้งรกรากอยู่ในบ้านรวมไทยแห่งนี้ เช้าๆเด็กๆจะแต่งตัวเพื่อเดินเท้าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนห้วยมะเขือส้มที่อยู่ก่อนจะมาถึง 2-3 กม. หลายคนสนุกกับการเดินไปคุยไปกับเพื่อนๆเพื่อฆ่าเวลาในการเดินทางที่ใช้เวลาอีกนาน บ้างก็ร้องไห้กระจองงองแงหน้าบ้านเมื่อเห็นพี่ๆออกไปโรงเรียน บรรยากาศนี้ทำให้ผมนึกถึงสมัยตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กๆป.1 , ป.2 จริงๆ ช่างมีความสุขที่สุดแล้ว


เราออกเดินมากันสองคนโดยปล่อยให้ชุดอาเหลียงนอนไปก่อน แม้ว่าครั้งนี้จะไม่หนาวเหน็บสมใจ แต่ก็ยังมีควันออกปากบ้างยามเมื่อเราพูดคุยกัน ระหว่างทางเลยจากวัดรวมไทยเจอม้าสองตัวยืนอยู่ในรั้ว มีตัวหนึ่งซึ่งค่อนข้างพยศเจ้าของเลยผูกกับรั้วไว้ มันเองคอยส่งเสียงเรียกอีกตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆอยู่ตลอด สุดท้ายอีกตัวก็วิ่งหาทางมาอยู่ใกล้กันได้ไม่ยากเย็นนัก


เดินมาหาทำเลเหมาะๆ วางขาตั้งกล้องเตรียมที่จะถ่ายวิวสวยๆ ทันใดนั้น ตัวเอกของเรื่องก็ว่ายน้ำออกมาจาซอกหลืบพอดี ผมถ่ายไปได้ 2-3 รูปกับน้องหงส์ขาวและดำ ในระยะไกลออกไป ว่าจะรอให้หงส์ว่ายน้ำเข้ามาใกล้ๆ แบตเจ้ากรรมดันมาหมดซะนี่ !! ผมเลยต้องเสียเวลาวิ่งย้อนกลับไปที่บ้านลุงปาละ เพื่อไปเอาแบตอีกชุดที่นั่น กลับมาเจ้าหงส์เลยว่ายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ :(


พอได้แบตมาก็เริ่มถ่ายวิวรอบๆพร้อมอหมอกลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ครั้งนี้เลยปีใหม่มาไม่นาน เหตุไฉนไอหมอกไม่เยอะเหมือนกับครั้งแรกเลย


วิวศาลาริมน้ำหรือแพริมน้ำซึ่งผมว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ไปแล้ว เสียดายที่เจ้าของเกสท์เฮ้าส์แถวนั้นทำเพิ่มมาอีกเป็นสามหลัง มันเลยขาดอรรถรสไปหน่อย


สวนสนที่อยู่เรียงรายในระยะห่างเท่าๆกันนี้แหล่ะ จะมีใครรู้บ้างว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ลุงปาละเป็นคนหนึ่งที่ใช้เชือกมากะระยะก่อนลงต้นกล้าให้มันมีระยะที่เท่าๆกัน เราจึงแลดูแล้วสวยงามในขณะนี้นั่นเอง


เจ็ดโมงกว่า แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มออกทำหน้าที่ของมัน ทำให้อุณหภูมิโดยรวมสูงขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้ชุดของอาเหลียงและกุ๊กไก่เดินมาถ่ายรูปและชมวิวสมทบกับเราแล้ว


สภาพปางอุ๋งที่เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย เราคงหนีไม่พ้นจะทำได้ก็คือรอให้มันเปลี่ยนแปลงไปช้าๆที่สุด
ณ จุดนี้คงมี 30-40 ชีวิตที่นอนกางเต็นท์กันเมื่อคืน เป็นชมรมช็อปเปอร์ที่มาจากระยอง บวกกับส่วนหนึ่งที่ขับรถกระบะมากันเอง 2-3 ราย


เราเดินลัดเลาะเพื่อถ่ายรูปวิวอ่างเก็บน้ำกับต้นสน ลืมไปบางคนเรียกอ่างเก็บน้ำนี้ว่าทะเลสาบ...


ตอที่เห็นอยู่น่าจะเคยเป็นท่าน้ำ แต่ตอนนี้คงเลิกใช้ไปแล้ว


อิ่มกับบบรรยากาศริมอ่างเก็บน้ำ สักพักเราก็เดินกลับมาที่บ้านลุงปาละ เพื่อทานอาหารเช้ากัน ก่อนจะลาเจ้าของบ้าน
อาหารเรียบง่าย มีผัดกะเพรา ต้มจืดเต้าหู้ ผัดผัก และ...


ไข่เจียวหอมกรุ่น


แมวเหมียวตัวแม่มอง เหมือนอยากจะขอกินด้วย


ทุกๆครั้งที่ไกด์พาชาวต่างชาติขึ้นมาดู ลุงปาละต้องแสดงฝีมือการตำกาแฟให้นักท่องเที่ยวที่ไม่เคยเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง


ต้นกาแฟเป็นต้นไม้ที่ปลูกกันมากที่สุดในบ้านรวมไทยแห่งนี้
เราเอ่ยปากกับลุงและพี่ศรีว่า ที่บ้านเราก็กำลังปลูกต้นไม้อยู่เหมือนกัน ชอบต้นคริสต์มาส ส่วนแฟนผมชอบต้นวาสนา ลุงปาละใจดีให้มาทั้งสองต้น พร้อมกับตัดกระบอกไม้ไผ่ลำยักษ์ให้เราอีกตามที่แฟนผมขอลุงแกไป ลุงจะคิดเงินเราก็ไม่ว่าอะไร แต่นี่ให้มาฟรีๆ ทำให้รู้ว่ามิตรภาพนั้นมีอยู่เสมอทุกหนแห่ง เพียงแต่ว่าเราจะหามันเจอหรือเปล่า


ในบ้านลุงแกปลูกต้นไม้และดอกไม้เยอะมาก บางต้นผมเองก็ไม่รู้จัก


เรามารู้จักเจ้าของบ้านทั้งสองดีกว่าครับ เพราะเวลาใครไปพักที่บ้านลุง ลุงก็จะเล่าเรื่องราวครั้งในอดีตให้นักท่องเที่ยวฟังอยู่เสมอ
ลุงปาละกับพี่ศรีนั้นรู้จักกันมานานเป็น 20 ปีแล้วหล่ะ ลุงปาละเป็นชาวกระเหรี่ยงขาว แต่ก่อนแกเป็นไกด์ให้ฝรั่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่แกพูดภาษาอังกฤษได้ และมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาพักที่บ้านแกอยู่หลายครั้งตั้งแต่อดีตมา แกมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Hilary ส่วนพี่ศรีนั้นเป็นชาวเชียงรายโดยกำเนิดครับ มารู้จักลุงตอนไหนไม่ทราบ รู้ใจกันจึงแต่งงาน ตอนนี้มีลูดสองคน ชายและหญิง กำลังเรียนหนังสือที่ม.รามคำแพง จะกลับมาเยี่ยมบ้านก็ช่วงปิดเทอมครับ


เกือบสิบเอ็ดโมงก็ได้เวลาลาลุงปาละกับพี่ศรีไปแล้ว เก็บเพียงสิ่งประทับใจไว้ พี่ศรีสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เราแถมยังลดให้ครึ่งราคาอีก ขอบคุณมากครับ แต่ราคามันผิดซึ่งพี่ศรีรวมราคาน้อยไปจากที่แจ้งไว้ 100 บาท(คิดขาดไป 100 บาท) เราต้องทักแล้วเปลี่ยนราคาใหม่ ใครมาพักที่นี่แล้วพี่ศรีคิดราคาตกหล่นไปก็ทักท้วงด้วยนะครับ เพราะกว่าจะได้เงินมาไม่ใช่เล่นๆนะครับ
ปิกท้ายบ้านรวมไทยกับเจ้าแมวเหมียวครับ เป็นลูกเจ้าแมวตัวบน


เราเลี้ยวซ้ายออกไปบ้านรักไทยหรือบ้านแม่อออีกประมาณ 7 กม. ผมเห็นหลายท่านเขียนชื่อบ้านนี้ผิดหลากหลายมากเช่น บ้านรักไท บ้านรักษ์ไทย บ้านรักษ์ไท ชื่อจริงๆคือบ้านรักไทย ง่ายๆแบบนี้แหล่ะครับ จากเดิมที่เรียกกันว่าแม่ออ ทางการเลยเปลี่ยนชื่อเป็นภาษากลางให้มีความหมายว่า รักประเทศไทย แม้เป็นชาวจีนยูนนานก็ตามที
อย่างที่ทราบ รูปแบบบ้านชาวจีนยูนนานนั้นจะทำด้วยดินเหมือนกับที่เจอมาตอนไปทานก๋วยเตี๋ยวที่ศูนย์วัฒนธรรมจีนยูนนานในปายมา จึงเรียกว่าบ้านดิน


ออกจากบ้านรักไทยก็ต้องไปดูแกะที่เลี้ยงไว้ในพระตำหนักปางตอง สืบเนื่องจากครั้งแรกเรามาไม่เห็นจะมี จะเพิ่งเลี้ยงหรือเราไม่เจอเองก็ไม่ทราบได้
เจ้าแกะมองมาในเชิง ถ่ายอะไรเพ่...ไม่เคยเห็นแกะหรือไง ??


ฝูงแกะเยอะมาก กำลังหากินตามท้องทุ่ง แดดร้อนเปรี้ยง


ก่อนออกไปสู่ถนนสายหลัก แวะถ่ายรูปที่ภูโคลนซะหน่อย เคยรับทราบมาว่าก่อนหน้าที่ยังไม่ได้เป็น Unseen ราคาโคลนกระปุกละไม่กี่ตังค์ ตอนนี้ราคาสูงกว่าเดิมมาก ไม่แปลกเพราะที่นี่ป็นธุรกิจไปแล้ว


บ่ายโมงก็เข้าสู่เมืองสามหมอกตัวเมืองจังหวัดแม่ฮ่งสอนอย่างแท้จริง อากาศยามนี้ร้อนมากๆ เราคลาดกับชุดอาเหลียงแล้ว แต่ไม่เป็นไร ขัยรถต่อไปยังหอการค้าจังหวัด เพื่อไปรับใบประกาศผู้ขับรถผ่าน 1,864 โค้ง(จริงๆไม่ใช่เส้นนี้นะครับ ต้องเส้น 108 ที่เริ่มจากสามแยกฮอดผ่านแม่สะเรียง แม่ลาน้อย ขุนยวม และตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ตามที่เคยได้บอกไปแล้ว) ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว แห่ะๆ เสียค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาทครับ คือค่าหมึกและค่ากระดาษ บางคนบอกไปซื้อ ก็แล้วแต่จะคิดครับ ถือเป็นการร่วมสนุกในการมาเยือนเมืองที่อยู่ในหุบเขา


มาถึงแล้วครับ พนาฮัทส์ที่เราเตรียมข้อมูลไว้ เส้นทางเลยตัวเมืองขึ้นไปเล็กน้อย อยู่ใกล้ๆพระธาตุดอยกองมู อาจหลงบ้างแต่สุดท้ายก็เจอ สนนราคา 500 บาทครับ ได้กลิ่นอายธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะอยู่ท่ามกลางต้นไม้ มีอยู่ 4-5 หลังไม่แน่ใจ พี่ศรีไทยกับเจ้าของบ้านพักพี่พนาชาวเจียงใหม่เป็นคนต้อนรับเราอย่างกันเอง


ห้องนี้มีชื่อว่าห้องกระต่าย ภายในตกแต่งอย่างดีด้วยผ้าคลุมเตียงและปลอกหมอนเหมือนระดับรีสอร์ทแนว 3-4 ดาว เนื่องจากเจ้าของเป็นคนทำผ้าม่านและผ้าคลุมเตียงส่งรีสอร์ทย่านหัวหิน มวกเหล็ก และปากช่อง การตกแต่งจึงออกมาอย่างสวยงาม


บ้านหลังนี้เคยมีคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เข้ามาพักและกลับไปเขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับบรรยากาศที่ร่มรื่น จากการบอกเล่าของพี่ศรีไทย


ของใช้ทุกอย่างรู้สึกถึงความเป็นรีสอร์ท 3 ดาวขึ้นมาเลยครับ ที่นี่ชาวต่างชาติจะมาพักแบบลองสเตย์ 30 วันขึ้นไป


ห้องน้ำดูสะอาดและน่ารัก ทุกอย่างใหม่กิ๊ก แต่มาตกม้าตายตรงที่ไม่มีสบู่ให้ครับ :(


ชอบผนังสีแดงแนวโรแมนติกแบบนี้จัง สำรวจแล้วเครื่องทำน้ำอุ่นมีสายดินครับ และน้ำก็อุ่นและร้อนจริงๆด้วย หลังจากที่อาบน้ำแบบอุ่นไม่จริงมาหลายคืนแล้ว


นอนพักที่นี่สักพักเนื่องจากเหนื่อยเหลือเกินจากการขับรถ พอได้เวลาก็เริ่มออกมานั่งคุยกับพี่ๆที่นี่ ที่นี่จะคล้ายๆล็อบบี้ มาทานอาหารเช้ากับจิบกาแฟสดได้


ออกจากพนาฮัทส์ ก็มาถึงยังท่าเรือบ้านห้วยเดื่อประมาณสี่โมงเย็น ซึ่งเราจะต้องขึ้นเรือที่ท่านี้เพื่อไปยังบ้านน้ำเพียงดิน ราคาของสหกรณ์ ไป-กลับแบบเหมา 500 บาทครับ เราต่อรองเหลือ 400 บาทแต่ไม่เป็นผล สุดท้ายต้องยอมที่ราคาเดิม


ได้เริ่มล่องเรือแล้วหล่ะครับ แม่น้ำนี้ก็คือแม่น้ำปายนั่นเอง


ในเรือมีอยู่ด้วยกัน 4 คนคือเราทั้งสอง พี่ผู้หญิงด้านหน้า และพี่ผู้ชายด้านหลังที่คอยขับเรือ


ระหว่างล่องแม่น้ำปาย เจอช้างมาหาอาหารฝั่งซ้ายมือด้วย


บางจุดก็มีหาดทรายสวยๆเหมือนกัน


บ่ายสี่โมงครึ่งเรือพามาถึงบ้านน้ำเพียงดิน


ในป้ายจะใช้ชื่อว่ากระเหรี่ยงใส่คอ(กะย้าง) แทนคำว่ากระเหรี่ยงคอยาว


ภายในหมู่บ้านก็เงียบสงบดี มีชาวบ้านที่ใส่ห่วงไม่กี่คน ผู้หญิงบางคนก็ไม่ใส่ หรือจะค่อยๆเปลี่ยนไปก็ไม่รู้ได้


เดินมาจนสุดหมู่บ้านก็วกกลับมาที่ท่าเรือ ผมไม่กล้าที่จะไปถ่ายกระเหรี่ยงใส่ห่วงโดยตรง เลยไม่มีภาพระยะใกล้มาฝาก


จะมีก็แต่กระเหรี่ยงใส่ห่วง 2 คนที่นั่งพักจากการเก็บของในป่าอยู่ริมน้ำปาย


ชอบอยู่อย่าง ตลอดทั้งทริปนี้เราได้เห็นดวงจันทร์ลูกกลมโตๆทุกวันเลย ล่องเรือกลับจากบ้านน้ำเพียงดินก็เจอ


เรือหางยาวตามลำน้ำาปาย จอดเรียงรายอยู่


ขากลับตรงดิ่งมาที่ร้านใบเฟิร์น บ้านดังในเมืองแม่ฮ่องสอน ครั้งนี้คนไม่ค่อยมี แปลกใจว่ามีป้ายชมรมนิสิตเก่าจุฬาฯด้วย เข้าไปสอบถามเด็ดเสิร์ฟคิดว่าจะมีส่วนลดให้สำหรับศิษย์เก่า แต่ไม่มี แห่ะๆ...ไม่เป็นไร


มาที่นี่อยากให้สั่งไก่ห่อใบเตยที่อยู่ไกลๆออกไป รับรองว่าอร่อยมากครับ ส่วนอย่างอื่นก็อร่อยไม่แพ้กัน
หลังจากทานอาหารเสร็จ เรารอยายน้องแป้ง(แม่พี่ศรี) ,แม่น้องแป้ง ,น้องแป้ง ที่โทรเข้ามาหาผมเนื่องจากได้รับรูปที่เราปริ๊นท์ไปให้ที่บ้านลุงปาละแล้ว เราจึงสนทนากันต่อ ผมดีใจที่ทุกๆคนในบ้านลุงปาละยังจำเราได้ และคิดถึงกันตลอด แม่พี่ศรีหกล้มแขนหักมาได้หลายเดือนแล้ว แต่ยังอุตส่าห์ที่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์มาหาเราที่ร้านนี้ ก่อนจะจากกันไปและนัดแนะกันอีกทีในวันรุ่งขึ้น โดยจะนำต้นอั่งเปามาให้เราที่พนาฮัทส์เลย ขอบคุณมากครับ


แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เราไม่ลืมที่จะไปเก็บรูปพระธาตุดอยกองมูยามค่ำคืน
มองผ่านสิงห์ทั้งสองไปยังเมืองอันเงียบสงบเล็กๆท่ามกลามหุบเขา


พระธาตุดอยกองมูอันงดงาม


ไหว้พระประจำวันเกิดรอบฐานพระธาตุดอยกองมู


ตามสเต็ป ลงจากดอยกองมูก็ต้องไปเก็บภาพวัดจองคำจองกลางท่ามกลางหนองจองคำ


แถวนี้ คราคร่ำไปด้วยร้านขายของต่างๆ ได้ทราบว่าเป็นงานถนนคนเดินที่เปิดมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว และจะไปสิ้นสุดตอนสิ้นเดือนมกราคมนี้ มีทุกวัน อาหารและขนมราคาถูกๆอร่อยๆทั้งนั้น ส่วนผู้คนนั้นค่อนข้างบางตา เนื่องจากเลยหน้าเทศกาลไปแล้วนั่นเอง


ขอจบบิ๊กทริปในวันที่ห้านี้ด้วยภาพเจดีย์วัดจองกลางเพื่อเป็นศิริมงคลแก่เพื่อนๆที่เข้ามาชมครับ
แล้วเจอกันใหม่ในวันที่หก การเดินทางสู่อช.สาละวินที่ผิดหวังเล็กน้อย

Original Published on www.pantip.com at [ 20 ม.ค. 49 09:30:42 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2006/01/E4038708/E4038708.html


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น