สองอาทิตย์ก่อน ผมไม่สบายถึงขั้นนอนซมถึง 3 วัน เลยต้องลางานในวันศุกร์ ทำให้ตัวเองนึกคิดในใจว่า คนเราเมื่อเกิดไม่สบายขึ้นมานั้น จิตใจก็คงที่ไม่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้น หวังเพียงแต่ร่างกายจะกลับมาคืนดีเข้าสู่สภาวะปกติ และได้เดินทางไปในที่ที่ตัวเองอยากจะไป จึงเปรียบเสมือนกับว่า การเดินทางของผมนั้นไม่เคยจะมีวันที่จะสิ้นสุด ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจจริงๆ การเดินทางก็จะมีต่อไปเรื่อยๆ
ครั้งนี้ผมเลือกที่จะมาเชียงราย เมืองเหนือสุดในสยามอีกครั้ง จะนับไปแล้วก็เป็นครั้งที่สาม โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม ปี 45 ผมมาสำรวจสถานที่ทำกิจกรรมของนิสิตรัฐศาสตร์ ให้น้องๆ โดยเลือกสถานที่ที่เป็นหมู่บ้านชาวเขา ส่วนใหญ่จะเป็นแถบอำเภอแม่จัน และอำเภอเทิง สถานที่เก่าๆในครั้งนั้นผมยังจำได้ติดตาจวบจนบัดนี้ นึกย้อนกลับไปก็สนุกเหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่พาเจ้าซิตี้ยานพาหนะคู่กายตะลอนจากกรุงเทพมาถึงเชียงรายภายในเวลาไม่ถึง 9 ชม.
ครั้งที่สองนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม ปีที่แล้วนั่นเอง เรามาเที่ยวดอยแม่สลองและดอยตุงกัน โดยเจาะจงพักที่ดอยแม่สลองทั้ง 2 คืนที่คุ้มนายพล แล้วเช่ามอเตอร์ไซด์จากดอยแม่สลองขี่มาเที่ยวที่ดอยตุงและพระธาตุดอยตุง หากใครจำได้คงไม่ลืมบันทึกเดินทางของผมเมื่อปีที่แล้วดังลิงค์ด้านล่าง
===================================================
ชาร์จแบตฯชีวิต ที่อดีตกองพล 93(ดอยแม่สลอง) & ดอยตุง
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ผมเลือกมาได้โดยบังเอิญจากการจองเครื่องแอร์เอเชียช่วงปลายปีที่แล้วพร้อมๆกับจองไปภูเก็ตและหาดใหญ่ในทริปสิมิลันและหลีเป๊ะ ตามลำดับ ซึ่งราคาขณะนั้นไม่แพง ครั้งนี้เลือกที่จะไปสถานที่ที่ยังไม่เคยไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นวัดร่องขุ่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ อ.แม่สรวย พายแม่จรินทร์บนเส้นทางดังกล่าว และอ้อมขับวนไปทางทิศตะวันตกผ่าน ฝาง แม่อาย ออกแม่จัน เข้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไปเข้าเชียงแสนก่อนจะจบวันแรกที่เชียงของ พักที่นี่คืนหนึ่ง ที่แพลนไว้ก็เป็นดังนี้(ตามเส้นทางในแผนที่สีเขียว) แต่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า งั้นคงต้องลองกันสักหน่อย
เหมือนกับทุกๆครั้งที่เราบินภายในประเทศ แอร์เอเชียดูจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของเรา เนื่องจากความสะดวกในการจองตั๋ว ราคามีให้เลือกตามความพอใจ และมีบินไปได้หลายเส้นทาง
ไฟล์ทนี้เป็นไฟล์ทแรกของวันออกตั้งแต่เช้ามืดคือ 6:40 น. ไปถึงเชียงรายประมาณ 7:55 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วกับการท่องเที่ยวในภาคเหนือเพราะมีเวลาเที่ยวในวันแรกทั้งวันแม้ว่าจะต้องฝืนสังขารยอมตื่นเช้าเพื่อไปเช็คอินก็ตาม
เรามาถึงสนามบินตั้งแต่ยังไม่ถึงหกโมงเช้าดี เช็คอินแล้วก็เดินไปตามทางเข้าเกตเรื่อยๆ แหงนมองนาฬิกา โอ้... 6:05 น. เอง
ผมเลือกฮอนด้าซิตี้ i-DSI เกียร์ออโต้ เพราะคุ้นเคยกับรถยี่ห้อนี้มากว่า 10 ปี ซึ่งตัวเองก็ขับยี่ห้อนี้อยู่เหมือนกันแต่เป็นรุ่นก่อนรุ่นนี้ ไม่เคยที่จะพาผมไปกินข้าวลิงที่ไหนเลย ยอมรับในสมรรถนะเขาจริงๆ
อัตราค่าเช่าสำหรับรุ่นนี้จะอยู่ที่ 1,200 บาท/วัน สำหรับเช่า 1-3 วัน และ 1,100 บาท/วัน สำหรับเช่า 4-7 วัน ซึ่งจะถูกกว่า northwheel ที่มีเพื่อนในนี้แนะนำมาถึง 300 บาท/วัน หรือ 900 บาทต่อทริปนี้ทีเดียว
หลังจากได้ยานพาหนะแล้ว ที่แรกที่เราจะเริ่มท่องเที่ยวก็คือวัดต่างๆในตัวเมืองเชียงราย โดยเริ่มจากวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นวัดที่ค้นพบพระแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้ว กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน
ตามประวัติเล่าว่าเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๗ ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้น ฟ้าได้ผ่าเจดีย์ร้างองค์หนึ่ง และได้พบพระพุทธรูปลงรักปิดทองอยู่ภายในเจดีย์ ต่อมารักกะเทาะออกจึงได้พบว่าเป็นพระพุทธรูปสีเขียวสร้างด้วยหยก คือพระแก้วมรกตนั่นเอง ปัจจุบันชาวเชียงรายได้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหม่ขึ้นแทน เรียกว่าพระหยกเชียงราย หรือ พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล ซึ่งสร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุ ครบ ๙๐ พรรษา
ไหว้พระประธานในอุโบสถก่อนครับ
พระธาตุภายในวัด
เดินเข้ามาเรื่อยๆภายในวัด ทางด้านขวาก็จะเป็นที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกตจำลอง ไม่ว่าจะเป็นพื้น ตัวอาคาร สีแดงอิฐสวยงามจริงๆ นอกจากนั้นก็ยังร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่ปลูกอยู่รายรอบดังเช่นต้นมะพร้าวที่สูงตระหง่านอยู่ข้างหน้านั่นไง
เดินขึ้นมาด้านบน พบกับองค์พระแก้วมรกตสีเขียว งดงามยิ่งนัก เรากราบไหว้ขอพรพระแก้วมรกตตามแต่ใครอยากที่จะขออะไร
หลังจากนั้นไม่นานเราก้มายังอีกวัดหนึ่งละแวกใกล้เคียงกันคือวัดพระสิงห์ ซึ่งเดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์องค์ที่ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน
ตามประวัติเล่าว่า เจ้ามหาพรหมพระอนุชาของพระเจ้ากือนา กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองกำแพงเพชร พระเจ้ากือนา ได้โปรดฯ ให้ประดิษฐานไว้ ณ เมืองเชียงใหม่ ต่อมาพระเจ้ามหาพรหมทูลขอยืมพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานไว้ที่เมืองเชียงรายเพื่อหล่อจำลอง แต่เมื่อสิ้นบุญพระเจ้ากือนาและพระเจ้าแสนเมือง ราชนัดดาของพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ เจ้ามหาพรหมคิดจะชิงราชสมบัติ จึงยกกองทัพจากเชียงรายไปประชิดเมืองเชียงใหม่ แต่เจ้าแสนเมืองก็สามารถป้องกันเมืองได้อีก ทั้งยกทัพตีทัพเจ้ามหาพรหมมาถึงเชียงราย และครั้งนี้เองที่ทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์คืนกลับไปประดิษฐานอยู่ที่วัดพระสิงห์เชียงใหม่สืบมา วัดพระสิงห์แห่งนี้ยังมีรอยพระพุทธบาทจำลองบนแผ่นศิลา สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราช นอกจากนั้นบานประตูยังออกแบบโดย คุณถวัลย์ ดัชนี บอกเรื่องราวเกี่ยวกับดิน น้ำ ลม ไฟ แกะสลักโดยฝีมือช่างชาวเชียงราย
ภายในอุโบสถแหงนมองที่เพดาน ลวดลายสีทองงดงามตามแบบฉบับล้านนา
พระเจดีย์สถาปัตยกรรมแบบล้านนาไทย
ต้นสาละลังกาให้ร่มเงาภายในวัดแห่งนี้
หลังคาอุโบสถสีแดงสวยงาม และที่นี่ยังมีต้นศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาอีกด้วย
สถานที่ต่อไปที่คิดไว้คือไร่แม่ฟ้าหลวง แต่หลังจากได้ยินราคาก้ต้องวกรถกลับเพราะเรามองว่าแพงเกินไป ราคาเข้าชมคนละ 150 บาท สองคนก็ 300 บาท เลยเก็บมาได้แต่ภาพด้านหน้าทางเข้าละกัน
ก่อนจะออกไปถนนใหญ่ มาเจอกับพิพิธภันณฑ์อูบคำ ว่าจะลองแวะเข้าไปดู หวังว่าราคาค่าเข้าชมคงไม่แพงเหมือนไร่แม่ฟ้าหลวง ซึ่งราคก็ไม่แพงกว่าจริงๆ แต่คนละ 100 บาทเราก็ไม่เข้าอีก เพราะไหนจะต้องเสียเงินแล้วยังมาต้องเสียเวลาไปสถานที่อื่นๆอีก เลยขอบายไม่เข้าเป็นที่ที่สอง
จุดหมายต่อไปของเราในตัวเมืองเชียงรายนี้คือวัดร่องขุ่น ขับรถลงมาทางใต้นิดหน่อย
ผมจอดรถด้านหลังวัดแล้วเดินย้อนออกมาด้านหน้า จุดนี้เป็นกุฏิพระภิษุสงฆ์ ค่อนข้างที่จะแปลกตาทีเดียว
สีขาวของอุโบสถตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าเหมือนอยู่ในจินตนาการเลยจริงๆ
ณ ตอนนี้อากาศเย็นสบาย แม้ว่าเกือบเที่ยงก็ตาม
เดินผ่านนรกไปสู่สวรรค์กัน
ห้ามโยนเหรียญหรือวัตถุอื่นๆลงไปตามป้ายที่ติดไว้
ต่อจากนั้นก็เดินเข้าไปดูหอแสดงงานศิลปะหรือแกลอรี่นั่นเอง ภาพวาดต่างๆของอาจารย์เฉลิมชัยสวยๆทั้งนั้น เป็นธรรมเนียมที่ห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีภาพมาฝาก
เที่ยงแล้วก็หาอะไรรองท้อง ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำข้างๆนี้อร่อยมากขอบอก รสชาติใช้ได้เลย ใครไปวัดร่องขุ่นก็ลองไปชิมดูละกัน อยู่ติดกับร้านกาแฟสด
14:00 น. เราก็มาถึงยังวัดป่าแดด ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์เล่นได้ของผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งรวบรวมของเล่นพื้นบ้าน จากฝีมือและภูมิปัญญาของคนเฒ่าคนแก่ในชุมชน
ตุ๊กตาไม้ควายยิ้มกับแมงมุมยักษ์
ลูกข่างชนิดต่างๆ โดยเฉพาะลูกข่างสะบ้าที่ใช้ลูกสะบ้ามาทำเป็นลูกข่างจากภูมิปัญญาไทยเรา
ก่อนจะเดินทางต่อ เราทั้งคู่ช่วยอุดหนุนของที่ระลึก พวงกุญแจไม้ ผ้าคลุมคอ ฯลฯ เพื่อเงินจะได้กลับสู่พ่ออุ๊ยแม่อุ้ยผู้ประดิษฐ์งานเหล่านี้
อย่างที่บอก เราเลือกใช้เส้นทางไปฝาง-แม่อาย-แม่จัน แทนที่จะกลับไปยังตัวเมืองตามเส้นทางเก่าที่มา ระหว่างทางอารมณ์เสียกับด่านทหารที่เรียกให้จอดเพื่อตรวจ เรียกทุกคันตรวจเราจะไม่ว่าอะไรเลย อันนี้เล่นเรียกเฉพาะรถเก๋งแล้วถามโน่นถามนี่แต่กับรถกระบะที่ขนของมาเต็มกระบะไม่ยักจะเรียกจอด แก้ตัวว่ารถนั้นใช้เส้นทางนี้บ่อย แล้วถ้าคันนั้นเขาขนยาบ้าซ่อนไว้พี่จะรู้มั๊ย ?
เส้นจากแม่อายไปแม่จันเจอน้องๆเด็กๆคงเลิกเรียนเดินกลับบ้านน่ารักจังเลย ช่วงเวลานี้จะพบเห็นได้ตลอดทั้งเส้นทาง
และแล้วโปรแกรมที่แพลนไว้จะไปก็พลาดจนได้ ซึ่งก็คือสามเหลี่ยมทองคำ หอฝิ่น วัดพระธาตุจอมกิตติ ที่อยู่ในอ.เชียงแสน เพราะเวลาล่วงเลยมาเย็นแล้ว คงนึกในใจว่าอีก 2 วันคงจะได้กลับมาดูใหม่
วิวระหว่างทางจากเชียงแสนไปเชียงของสวยงามมาก เราขับรถมาคันเดียวตลอด จะมีบ้างรถสวนซึ่งไม่กี่คัน ณ เวลานี้ 6 โมงเย็นพอดี
โอ้วว...อีก 15 กม.กว่าจะถึงเชียงของแหน่ะ
พอทานอาหารเสร็จก็แวะเซเว่นซื้อยาแก้ไอและสเตร็ปซิล พอออกจากร้านก็เจอกับฝรั่งที่กำลังถามชาวบ้านว่าพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า ไม่มีสักคน พอแกเดินมาถามเราเราก็ช่วยกันตอบทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี ได้ความว่าฝรั่งคนนี้จะหาที่พักซึ่งเป็นเกสท์เฮ้าส์ เราเลยชวนขึ้นรถมาด้วยเพราะมีที่พักว่างอยู่ 1 ห้องข้างๆห้องที่เราพัก แล้วให้ฝรั่งแกลองสอบถามกับเจ้าของดูอีกทีว่าถูกใจเปล่า คุยกันในรถทราบว่าฝรั่งซึ่งเป็นชายคนนี้มาจากฮอลแลนด์ บินมาจากฮอลแลนด์โดยตรงลงสุวรรณภูมิแล้วนั่งรุบัสกทม.-เชียงของมาที่นี่เลย แต่ถึงที่พักแกคุยกับเจ้าของแล้ว ฝรั่งแกไม่เอาเพราะแกว่าราคาแพงไปสำหรับแก ผมหล่ะงงเลยว่าแพงยังไง 350 บาทยังบอกว่าแพงอีก สุดท้ายฝรั่งเลยขอบคุณและขอตัวเดินไปหาหลายๆที่ตามถนนเลียบโขง
เป็นอันว่าจนการเดินทางสำหรับวันแรกด้วยการเช่าขรถมาขับด้วยระยะทางประมาณ 320 กม. โอ.....ไกลจริงๆ แล้วติดตามกันใหม่ในวันรุ่งขึ้นวันที่สอง จากเชียงของสู่น้ำตกภูซางแล้วย้อนกลับมาขึ้นภูชี้ฟ้า ดอยผาตั้งอีกครั้ง ขอบคุณที่ติดตามชมครับ ราตรีสวัสดี _/\_
Original Published on www.pantip.com at [ 5 ก.พ. 50 23:47:14 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2007/02/E5111966/E5111966.html
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น