วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

การเดินทางไม่มีวันสิ้นสุด ตราบเท่ายังมีลมหายใจ ตอน 1 จากเชียงรายสู่เชียงของ


สองอาทิตย์ก่อน ผมไม่สบายถึงขั้นนอนซมถึง 3 วัน เลยต้องลางานในวันศุกร์ ทำให้ตัวเองนึกคิดในใจว่า คนเราเมื่อเกิดไม่สบายขึ้นมานั้น จิตใจก็คงที่ไม่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้น หวังเพียงแต่ร่างกายจะกลับมาคืนดีเข้าสู่สภาวะปกติ และได้เดินทางไปในที่ที่ตัวเองอยากจะไป จึงเปรียบเสมือนกับว่า การเดินทางของผมนั้นไม่เคยจะมีวันที่จะสิ้นสุด ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจจริงๆ การเดินทางก็จะมีต่อไปเรื่อยๆ 

ครั้งนี้ผมเลือกที่จะมาเชียงราย เมืองเหนือสุดในสยามอีกครั้ง จะนับไปแล้วก็เป็นครั้งที่สาม โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม ปี 45 ผมมาสำรวจสถานที่ทำกิจกรรมของนิสิตรัฐศาสตร์ ให้น้องๆ โดยเลือกสถานที่ที่เป็นหมู่บ้านชาวเขา ส่วนใหญ่จะเป็นแถบอำเภอแม่จัน และอำเภอเทิง สถานที่เก่าๆในครั้งนั้นผมยังจำได้ติดตาจวบจนบัดนี้ นึกย้อนกลับไปก็สนุกเหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่พาเจ้าซิตี้ยานพาหนะคู่กายตะลอนจากกรุงเทพมาถึงเชียงรายภายในเวลาไม่ถึง 9 ชม. 

ครั้งที่สองนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม ปีที่แล้วนั่นเอง เรามาเที่ยวดอยแม่สลองและดอยตุงกัน โดยเจาะจงพักที่ดอยแม่สลองทั้ง 2 คืนที่คุ้มนายพล แล้วเช่ามอเตอร์ไซด์จากดอยแม่สลองขี่มาเที่ยวที่ดอยตุงและพระธาตุดอยตุง หากใครจำได้คงไม่ลืมบันทึกเดินทางของผมเมื่อปีที่แล้วดังลิงค์ด้านล่าง
===================================================
ชาร์จแบตฯชีวิต ที่อดีตกองพล 93(ดอยแม่สลอง) & ดอยตุง

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ผมเลือกมาได้โดยบังเอิญจากการจองเครื่องแอร์เอเชียช่วงปลายปีที่แล้วพร้อมๆกับจองไปภูเก็ตและหาดใหญ่ในทริปสิมิลันและหลีเป๊ะ ตามลำดับ ซึ่งราคาขณะนั้นไม่แพง ครั้งนี้เลือกที่จะไปสถานที่ที่ยังไม่เคยไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นวัดร่องขุ่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ อ.แม่สรวย พายแม่จรินทร์บนเส้นทางดังกล่าว และอ้อมขับวนไปทางทิศตะวันตกผ่าน ฝาง แม่อาย ออกแม่จัน เข้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไปเข้าเชียงแสนก่อนจะจบวันแรกที่เชียงของ พักที่นี่คืนหนึ่ง ที่แพลนไว้ก็เป็นดังนี้(ตามเส้นทางในแผนที่สีเขียว) แต่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า งั้นคงต้องลองกันสักหน่อย


เหมือนกับทุกๆครั้งที่เราบินภายในประเทศ แอร์เอเชียดูจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของเรา เนื่องจากความสะดวกในการจองตั๋ว ราคามีให้เลือกตามความพอใจ และมีบินไปได้หลายเส้นทาง
ไฟล์ทนี้เป็นไฟล์ทแรกของวันออกตั้งแต่เช้ามืดคือ 6:40 น. ไปถึงเชียงรายประมาณ 7:55 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วกับการท่องเที่ยวในภาคเหนือเพราะมีเวลาเที่ยวในวันแรกทั้งวันแม้ว่าจะต้องฝืนสังขารยอมตื่นเช้าเพื่อไปเช็คอินก็ตาม


เรามาถึงสนามบินตั้งแต่ยังไม่ถึงหกโมงเช้าดี เช็คอินแล้วก็เดินไปตามทางเข้าเกตเรื่อยๆ แหงนมองนาฬิกา โอ้... 6:05 น. เอง


ครั้งนี้ดูเหมือนจะมีการตกแต่งผนังด้านข้างตลอดแนวทางเดินเพิ่มเข้ามา โดยเป็นภาพเขียนของวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของไทยเราเองกับงานศิลปะอื่นๆ แลดูแล้วเพิ่มความสวยงามของสนามบินขึ้นมาอีกเยอะเลย


เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ครั้งนี้ได้เข้างวงช้าง ผิดกับสองครั้งที่ผ่านมานั่งรถบัสไปขึ้นตลอด หรืองวงช้างเพิ่งเสร็จน้า


แอร์เอเชีย ใคร ใคร...ก็บินได้จริงๆ แปดโมงเจ็ดนาที เราก็มาถึงยังสนามบินเชียงราย ออกจากเครื่องได้ถึงกับขนลุกทีเดียว เพราะอากาศหนาวมาก หลังจากเข้าอาคารผู้โดยสารแล้วก็โทรติดต่อบริษัทเช่ารถท้องถิ่นชื่อว่าพลศักดิ์รถเช่าที่ได้ติดต่อจองไว้ก่อนหน้านี้ 1 อาทิตย์ สักครู่เจ้าหน้าที่ก็ขับรถมารับเพื่อไปทำสัญญาที่สำนักงานในตัวเมืองตรงข้ามโรงแรมเวียงอินน์ต่อไป


มาถึงตัวเมืองร้านรถเช่าก็จัดแจงเซ็นสัญญาตามระเบียบ พร้อมกับจ่ายเงินส่วนที่เหลือ แล้วผมลองต่อราคาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่สอง สุดท้ายก็ได้ลด 100 บาท  พอได้รถก็ตระเวนหาร้านอาหารเช้า ผมขับวนไปวนมาอยู่หลายรอบเพื่อไปยังวงเวียนหอนาฬิกา แต่ก็ต้องย้อนกลับมาเพื่อทานต้มเลือดหมูกับข้าวเปล่าร้านที่เยื้องร้านรถเช่านั่นเอง


เนี่ยแหล่ะ รถเช่าของเราที่จะพาเราไปไหนต่อไหนตลอด 3 วันในเมืองที่อยู่เหนือสุดในสยาม เชียงรายแห่งนี้
ผมเลือกฮอนด้าซิตี้ i-DSI เกียร์ออโต้ เพราะคุ้นเคยกับรถยี่ห้อนี้มากว่า 10 ปี ซึ่งตัวเองก็ขับยี่ห้อนี้อยู่เหมือนกันแต่เป็นรุ่นก่อนรุ่นนี้ ไม่เคยที่จะพาผมไปกินข้าวลิงที่ไหนเลย ยอมรับในสมรรถนะเขาจริงๆ
อัตราค่าเช่าสำหรับรุ่นนี้จะอยู่ที่ 1,200 บาท/วัน สำหรับเช่า 1-3 วัน และ 1,100 บาท/วัน สำหรับเช่า 4-7 วัน ซึ่งจะถูกกว่า northwheel ที่มีเพื่อนในนี้แนะนำมาถึง 300 บาท/วัน หรือ 900 บาทต่อทริปนี้ทีเดียว


หลังจากได้ยานพาหนะแล้ว ที่แรกที่เราจะเริ่มท่องเที่ยวก็คือวัดต่างๆในตัวเมืองเชียงราย โดยเริ่มจากวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นวัดที่ค้นพบพระแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้ว กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน
ตามประวัติเล่าว่าเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๗ ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้น ฟ้าได้ผ่าเจดีย์ร้างองค์หนึ่ง และได้พบพระพุทธรูปลงรักปิดทองอยู่ภายในเจดีย์ ต่อมารักกะเทาะออกจึงได้พบว่าเป็นพระพุทธรูปสีเขียวสร้างด้วยหยก คือพระแก้วมรกตนั่นเอง ปัจจุบันชาวเชียงรายได้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหม่ขึ้นแทน เรียกว่าพระหยกเชียงราย หรือ พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล ซึ่งสร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุ ครบ ๙๐ พรรษา


ไหว้พระประธานในอุโบสถก่อนครับ


พระธาตุภายในวัด


เดินเข้ามาเรื่อยๆภายในวัด ทางด้านขวาก็จะเป็นที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกตจำลอง ไม่ว่าจะเป็นพื้น ตัวอาคาร สีแดงอิฐสวยงามจริงๆ นอกจากนั้นก็ยังร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่ปลูกอยู่รายรอบดังเช่นต้นมะพร้าวที่สูงตระหง่านอยู่ข้างหน้านั่นไง


เดินขึ้นมาด้านบน พบกับองค์พระแก้วมรกตสีเขียว งดงามยิ่งนัก เรากราบไหว้ขอพรพระแก้วมรกตตามแต่ใครอยากที่จะขออะไร



หลังจากนั้นไม่นานเราก้มายังอีกวัดหนึ่งละแวกใกล้เคียงกันคือวัดพระสิงห์ ซึ่งเดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์องค์ที่ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน
ตามประวัติเล่าว่า เจ้ามหาพรหมพระอนุชาของพระเจ้ากือนา กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองกำแพงเพชร พระเจ้ากือนา ได้โปรดฯ ให้ประดิษฐานไว้ ณ เมืองเชียงใหม่ ต่อมาพระเจ้ามหาพรหมทูลขอยืมพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานไว้ที่เมืองเชียงรายเพื่อหล่อจำลอง แต่เมื่อสิ้นบุญพระเจ้ากือนาและพระเจ้าแสนเมือง ราชนัดดาของพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ เจ้ามหาพรหมคิดจะชิงราชสมบัติ จึงยกกองทัพจากเชียงรายไปประชิดเมืองเชียงใหม่ แต่เจ้าแสนเมืองก็สามารถป้องกันเมืองได้อีก ทั้งยกทัพตีทัพเจ้ามหาพรหมมาถึงเชียงราย และครั้งนี้เองที่ทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์คืนกลับไปประดิษฐานอยู่ที่วัดพระสิงห์เชียงใหม่สืบมา วัดพระสิงห์แห่งนี้ยังมีรอยพระพุทธบาทจำลองบนแผ่นศิลา สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราช นอกจากนั้นบานประตูยังออกแบบโดย คุณถวัลย์ ดัชนี บอกเรื่องราวเกี่ยวกับดิน น้ำ ลม ไฟ แกะสลักโดยฝีมือช่างชาวเชียงราย


ภายในอุโบสถแหงนมองที่เพดาน ลวดลายสีทองงดงามตามแบบฉบับล้านนา


พระเจดีย์สถาปัตยกรรมแบบล้านนาไทย


ต้นสาละลังกาให้ร่มเงาภายในวัดแห่งนี้


หลังคาอุโบสถสีแดงสวยงาม และที่นี่ยังมีต้นศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาอีกด้วย


สถานที่ต่อไปที่คิดไว้คือไร่แม่ฟ้าหลวง แต่หลังจากได้ยินราคาก้ต้องวกรถกลับเพราะเรามองว่าแพงเกินไป ราคาเข้าชมคนละ 150 บาท สองคนก็ 300 บาท เลยเก็บมาได้แต่ภาพด้านหน้าทางเข้าละกัน



ก่อนจะออกไปถนนใหญ่ มาเจอกับพิพิธภันณฑ์อูบคำ ว่าจะลองแวะเข้าไปดู หวังว่าราคาค่าเข้าชมคงไม่แพงเหมือนไร่แม่ฟ้าหลวง ซึ่งราคก็ไม่แพงกว่าจริงๆ แต่คนละ 100 บาทเราก็ไม่เข้าอีก เพราะไหนจะต้องเสียเงินแล้วยังมาต้องเสียเวลาไปสถานที่อื่นๆอีก เลยขอบายไม่เข้าเป็นที่ที่สอง


จุดหมายต่อไปของเราในตัวเมืองเชียงรายนี้คือวัดร่องขุ่น ขับรถลงมาทางใต้นิดหน่อย



ผมจอดรถด้านหลังวัดแล้วเดินย้อนออกมาด้านหน้า จุดนี้เป็นกุฏิพระภิษุสงฆ์ ค่อนข้างที่จะแปลกตาทีเดียว


ด้านข้างของพระอุโบสถ มีคนทยอยเดินลงมา


สีขาวของอุโบสถตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าเหมือนอยู่ในจินตนาการเลยจริงๆ


ณ ตอนนี้อากาศเย็นสบาย แม้ว่าเกือบเที่ยงก็ตาม


เดินผ่านนรกไปสู่สวรรค์กัน
ห้ามโยนเหรียญหรือวัตถุอื่นๆลงไปตามป้ายที่ติดไว้


ต่อจากนั้นก็เดินเข้าไปดูหอแสดงงานศิลปะหรือแกลอรี่นั่นเอง ภาพวาดต่างๆของอาจารย์เฉลิมชัยสวยๆทั้งนั้น เป็นธรรมเนียมที่ห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีภาพมาฝาก
เที่ยงแล้วก็หาอะไรรองท้อง ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำข้างๆนี้อร่อยมากขอบอก รสชาติใช้ได้เลย ใครไปวัดร่องขุ่นก็ลองไปชิมดูละกัน อยู่ติดกับร้านกาแฟสด



ต่อจากนั้น จุดหมายต่อไปของเราก็คือพิพิธภัณฑ์เล่นได้ของผู้เฒ่าผู้แก่ อ.แม่สรวย ซึ่งระหว่างทางจะมีร้านอาหารและที่พักสวนจรินรีสอร์ท ผมแวะเนื่องจากฟังคำร่ำลือมาจากนักกินที่ชื่อ sueko ว่าพายอร่อย ผมสั่งพายบลูเบอรี่ ส่วนแฟนผมสั่งพายอะไรสักอย่างจำไม่ได้มีรสส้มด้วย รสชาติก็โอเคครับ


บรรยากาศดูร่มรื่น ด้านในที่เห็นเป็นหลังๆคงเป็นที่พักกระมัง


14:00 น. เราก็มาถึงยังวัดป่าแดด ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์เล่นได้ของผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งรวบรวมของเล่นพื้นบ้าน จากฝีมือและภูมิปัญญาของคนเฒ่าคนแก่ในชุมชน


พอจอดรถเสร็จก็เจอกับน้องเจ้าหน้าที่เดินออกมาต้อนรับทักทายอย่างยิ้มแย้มพร้อมกับเชิญชวนเราเข้าไปดูข้างใน น้องได้เปิดตู้เพื่อให้เราลองเล่นของเล่นต่างๆที่อยู่ภายในโดยของทุกชิ้นในนี้สามารถจับเล่นได้ ถึงเสียก็ไม่เป็นไรมีคนซ่อมได้


นี่ไง ควายล้อเลื่อน


ตุ๊กตาไม้ควายยิ้มกับแมงมุมยักษ์


ลูกข่างชนิดต่างๆ โดยเฉพาะลูกข่างสะบ้าที่ใช้ลูกสะบ้ามาทำเป็นลูกข่างจากภูมิปัญญาไทยเรา


ของเล่นอีกอันหนึ่งซึ่งมีมาได้ไม่กี่สิบปี นั่นคือ "อมรเทพ" ทายกันออกหรือเปล่า ซึ่งก็คือของเล่นเลียนแบบนักยิมนาสติกของไทยเรานั่นเอง มีทั้งบาร์เดี่ยว บาร์คู่ ในรูปเป็นบาร์เดี่ยวกำลังทำท่าไหล่ฝืนธรมชาติอยู่พอดี :)
ก่อนจะเดินทางต่อ เราทั้งคู่ช่วยอุดหนุนของที่ระลึก พวงกุญแจไม้ ผ้าคลุมคอ ฯลฯ เพื่อเงินจะได้กลับสู่พ่ออุ๊ยแม่อุ้ยผู้ประดิษฐ์งานเหล่านี้


อย่างที่บอก เราเลือกใช้เส้นทางไปฝาง-แม่อาย-แม่จัน แทนที่จะกลับไปยังตัวเมืองตามเส้นทางเก่าที่มา ระหว่างทางอารมณ์เสียกับด่านทหารที่เรียกให้จอดเพื่อตรวจ เรียกทุกคันตรวจเราจะไม่ว่าอะไรเลย อันนี้เล่นเรียกเฉพาะรถเก๋งแล้วถามโน่นถามนี่แต่กับรถกระบะที่ขนของมาเต็มกระบะไม่ยักจะเรียกจอด แก้ตัวว่ารถนั้นใช้เส้นทางนี้บ่อย แล้วถ้าคันนั้นเขาขนยาบ้าซ่อนไว้พี่จะรู้มั๊ย ?
เส้นจากแม่อายไปแม่จันเจอน้องๆเด็กๆคงเลิกเรียนเดินกลับบ้านน่ารักจังเลย ช่วงเวลานี้จะพบเห็นได้ตลอดทั้งเส้นทาง


และแล้วโปรแกรมที่แพลนไว้จะไปก็พลาดจนได้ ซึ่งก็คือสามเหลี่ยมทองคำ หอฝิ่น วัดพระธาตุจอมกิตติ ที่อยู่ในอ.เชียงแสน เพราะเวลาล่วงเลยมาเย็นแล้ว คงนึกในใจว่าอีก 2 วันคงจะได้กลับมาดูใหม่
วิวระหว่างทางจากเชียงแสนไปเชียงของสวยงามมาก เราขับรถมาคันเดียวตลอด จะมีบ้างรถสวนซึ่งไม่กี่คัน ณ เวลานี้ 6 โมงเย็นพอดี


สองข้างทางส่วนใหญ่ชาวบ้านจะปลูกต้นข้าวโพดกัน ช่วงนี้ก็คงเก็บเกี่ยวไปแล้วเหลือเพียงแต่ต้นเหี่ยวๆสีทองสลับกับสีเขียวบ้างเป็นบางส่วน



โอ้วว...อีก 15 กม.กว่าจะถึงเชียงของแหน่ะ


สักพักก็จอดรถเพื่อชมวิวลำน้ำโขงที่จุดชมวิวห้วยทรายมาน อากาศเย็นๆพร้อมๆกับหมอกจางๆ ภาพที่ได้จึงไม่เคลียร์เท่าไหร่


หลายจุดเลยที่กลางลำน้ำโขงเป็นเกาะแก่ง เหลือร่องน้ำเล็กๆให้รถโดยสารแล่นผ่านเท่านั้น


หกโมงครึ่งเห็นจะได้ก็มาถึงบ้านตำมิละ ที่พักสำหรับคืนนี้ที่เชียงของเมืองอันเงียบสงบ


เราได้พักห้องด้านบนที่ว่างอยู่ 2 ห้อง


ห้องพัดลม ห้องน้ำในตัว น้ำอุ่น ไม่มีทีวี ราคา 350 บาท ไม่แพงเลยสำหรับวิวริมโขงดีๆ ที่พักนี้ก็ได้มาจากกระทู้ที่พักหลักร้อยที่ขุดขึ้นมาโหวตใหม่นี่ไงหล่ะ


เก็บข้าวของเสร็จก็เดินลงมาเพื่อจะสั่งอาหารเย็นที่นี่ แต่ปรากฏว่าปิดครัวไปแล้ว จึงต้องเอารถออกอีกครั้งเพื่อไปหาอะไรกินริมน้ำโขง วิวยามเย็นที่นี่มองเห็นแสงไฟฝั่งลาวสวยงามทีเดียว


เราขับรถช้าๆตระเวนหาร้านอาหารที่อยู่ริมโขงโดยให้เจ้า iQue 3600 ช่วยนำทางเราไป ไปเจอกับร้านริมแม่น้ำซึ่งวิวดีกว่าร้านริมโขง เลยเลือกนั่งที่ร้านนี้แล้วสั่งอาหารง่ายๆคือ แกงจืดสาหร่ายหมูสับ ปลาน้ำโขงลวกจิ้ม และข้าวต้มปลา อาหารถือว่าพอใช้ แต่แกงจืดเค็มไปมากเพราะสาหร่ายเองก็เค็มอยู่แล้วสงสัยเต็มน้ำปลาไปอีกเลยเค็มไปกันใหญ่ และได้ฟังเรื่องราวจากโต๊ะข้างๆที่จองไว้เกือบสิบคนซึ่งเป็นผู้ชายล้วน มาถึงก็คุยโขมงโฉงเฉงกันแต่เรื่อง camfrog อยู่นั่นแหล่ะ เรื่อง user เดิมเข้าไม่ได้แล้ว อย่างโน้นอย่างนี้ ขนาดผมเป็นผู้ชายเองยังรำคาญและคิดว่าน่าเกลียดเลย ปลงๆได้ก็ดีนะ

พอทานอาหารเสร็จก็แวะเซเว่นซื้อยาแก้ไอและสเตร็ปซิล พอออกจากร้านก็เจอกับฝรั่งที่กำลังถามชาวบ้านว่าพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า ไม่มีสักคน พอแกเดินมาถามเราเราก็ช่วยกันตอบทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี ได้ความว่าฝรั่งคนนี้จะหาที่พักซึ่งเป็นเกสท์เฮ้าส์ เราเลยชวนขึ้นรถมาด้วยเพราะมีที่พักว่างอยู่ 1 ห้องข้างๆห้องที่เราพัก แล้วให้ฝรั่งแกลองสอบถามกับเจ้าของดูอีกทีว่าถูกใจเปล่า คุยกันในรถทราบว่าฝรั่งซึ่งเป็นชายคนนี้มาจากฮอลแลนด์ บินมาจากฮอลแลนด์โดยตรงลงสุวรรณภูมิแล้วนั่งรุบัสกทม.-เชียงของมาที่นี่เลย แต่ถึงที่พักแกคุยกับเจ้าของแล้ว ฝรั่งแกไม่เอาเพราะแกว่าราคาแพงไปสำหรับแก ผมหล่ะงงเลยว่าแพงยังไง 350 บาทยังบอกว่าแพงอีก สุดท้ายฝรั่งเลยขอบคุณและขอตัวเดินไปหาหลายๆที่ตามถนนเลียบโขง

เป็นอันว่าจนการเดินทางสำหรับวันแรกด้วยการเช่าขรถมาขับด้วยระยะทางประมาณ 320 กม. โอ.....ไกลจริงๆ แล้วติดตามกันใหม่ในวันรุ่งขึ้นวันที่สอง จากเชียงของสู่น้ำตกภูซางแล้วย้อนกลับมาขึ้นภูชี้ฟ้า ดอยผาตั้งอีกครั้ง ขอบคุณที่ติดตามชมครับ ราตรีสวัสดี _/\_

Original Published on www.pantip.com at [ 5 ก.พ. 50 23:47:14 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2007/02/E5111966/E5111966.html


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น