วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

การเดินทางไม่มีวันสิ้นสุด ตราบเท่ายังมีลมหายใจ ตอน 2 จากเชียงของสู่ภูชี้ฟ้า,ดอยผาตั้ง


วันนี้เป็นวันที่สองของการเดินทาง เมื่อคืนอากาศหนาวเหน็บมากๆ โดยเฉพาะพื้นที่เป็นกระเบื้อง เวลาวางเท้าเดินไปห้องน้ำแล้วหล่ะก็ เย็นยะเยือกอย่าบอกใครเลย 
แพลนของวันนี้ ผมลังเลระหว่างไปดูดอกนางพญาเสือโคร่งที่ดอยแม่สลองกับขึ้นภูชี้ฟ้า สุดท้ายตอนขับรถไปคิดไปคิดมาน่าจะไปแค่น้ำตกภูซางที่พะเยาแล้ววกกลับมาที่ภูชี้ฟ้าอีกทีตอนบ่ายๆดีกว่า ถ้าไปแม่สลองคงต้องตะลีตะเหลือกขับกลับย้อนมาอีกเป็นแน่แท้
เส้นทางที่ใช้ผมเลือกใช้เส้นทางเลาะริมโขงเช่นเดิมคือเส้น 1020 เข้าอ.เวียงแก่น ต่อด้วยเส้น 1155 ออกเส้น 1021 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเส้น 1210 ผ่านกิ่งอ.ภูซางเพื่อไปยังน้ำตกภูซาง แล้วหลังจากนั้นก็จะขึ้นไปต่อที่ภูชี้ฟ้าเลย


วันนี้ตื่นสายกันเล็กน้อยเนื่องจากขับรถมาทั้งวัน ประกอบกับอยากชื่นชมวิวบรรยากาศของเมืองเชียงของริมน้ำโขงที่นี่นานๆเท่าที่จะเป็นไปได้
9 โมงเศษก็เริ่มจัดแจงเก็บข้าวของ แสงยามเช้าสาดเข้ามาผ่านผ้าม่านสีเหลืองทำให้ห้องแลดูไม่มืดและไม่สว่างจนเกินไปนัก



ออกมาข้างนอกระเบียงก็ต้องเต็มอิ่มกับวิวบรรยากาศยามเช้าของลำน้ำโขงพร้อมๆกับเรือโดยสารแล่นผ่านสายตาผมโดยมีเสียงเครื่องยนต์ของเรือดังออกมาตามจังหวะการเร่งเครื่องของนายท้ายเรือ พอฟังออกได้ว่าเป็นเรือช้าอย่างแน่นอน


จะมีใครรู้มั๊ยว่าชื่อ "ตำมิละ" นั้นมีความหมายเหมือนกัน จริงๆผมทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการทบทวนอีกครั้งหลังจากเราทั้งคู่ได้ขอเมนูสั่งอาหารเช้าเพื่อมาทานกัน หน้าเมนูมีกระดาษเขียนความหมายแปลอยู่
ตำมิละ เป็นชื่อชนเผ่าดั้งเดิมริมน้ำโขงและในรัฐฉานตอนใต้ เช่น เชียงตุง...ยังใช้ชื่อชนเผ่าตำมิละในเอกสารโบราณซึ่งก็คือชนเผ่าลัวะ หรือละ หรือละว้า หรือว้า ปัจจุบันกร่อนเสียงลงหายไป ๒ ตัว ก็ตำมิเหลือแต่ละ หรือลัวะ อยู่ในกลุ่มชนชาติขแมร์ หรือขอม


ทางร้านนำช้าร้อนๆมาเสริฟก่อนอาหารจะมาทีหลัง


ผมสั่งอาหารเช้าแบบอเมริกันคือมีไส้กรอก ไข่ดาว ขนมปัง ส่วนแฟนผมสั่งข้ามต้มหมูกับซุปเห็ดข้น ราคาอาหารจัดว่าไม่แพง


และแล้วช่วงอาหารมาเสริฟ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นคือ กล้องผมหล่นจากมือลงพื้น !!! แต่สาเหตุคงไม่บอกละกัน ตอนนั้นลุ้นมากว่าจะเสียหรือเปล่า ซึ่งกำลังเปิดหน้ากล้องไว้ด้วย ผมลองเปิดลองปิดกล้องดูก็ใช้ได้ แต่พอลองดูรูปที่ถ่ายมามันขึ้น data corrupt ? ซึ่งตอนนั้นเซ็งมาก แต่ดูไปดูมามันเสียแค่รูปเดียวคือรูปล่าสุดนั่นเอง โชคดีไป
ต่อจากนั้นจึงได้เดินทาง มุ่งหน้าสู่อ.เวียงแก่นโดยเลาะริมโขงต่อไป ณ จุดนี้เป็นจุดชมวิวซึ่งสามารถมองเห็นเรือ 3 ลำกำลังแล่นเข้าร่องน้ำหนีโขดหินอย่างชำนิชำนาญ


ขับมาเรื่อยๆ ผ่านอ.เวียงแก่น เห็นป้ายแปลกๆแบบนี้มา 2-3 ป้ายแล้ว ต้องถ่ายสักหน่อย น่าจะเป็นการสื่อให้รับทราบถึงความไม่ปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเจ้าสะพานปูนดันไปอยู่ในส่วนของทางโค้งซะนี่


วิวสองข้างทางระหว่างเวียงแก่นไปภูชี้ฟ้าสวยงามอีกแล้ว อดใจไม่ได้ที่จะหยุดรถแวะถ่ายรูป


ประมาณเที่ยงครึ่งก็มาถึงน้ำตกภูซาง อ.ภูซาง จ.พะเยา ซึ่งได้รับเป็น Unseen in Thailand เรื่องน้ำตกแห่งเดียวในไทยที่มีอุณหภูมิอุ่นๆไม่เหมือนที่อื่น


แน่นอนว่าเราต้องไปพิสูจน์เรื่องราวดังที่ว่ามาอยู่แล้ว แต่พอเอามือไปวักน้ำ โอ้โห....เย็นเหมือนอุณหภูมิภายนอกจริงๆ สงสัยงานนี้เจอททท.หลอกอีกแล้ว


แต่พอดูป้าย เห็นว่ามีบ่อน้ำอุ่นและสัมผัสน้ำอุ่นซึ่งชี้ไปทางข้างบนน้ำตกอีกที พอขึ้นไปก้จะเจอกับลำธารน้ำเล็กๆไหลเพื่อไปตกลงน้ำตกใหญ่อีกที ลองเอามือไปสัมผัสมาแล้ว จริงด้วยแฮะ...น้ำอุ่นๆตามที่บอกมาจริงๆ เกิน 35 องศาแน่นอน เลยกลายเป็นว่า Unseen ครั้งนี้ไม่โดนหลอก  ฮ่าฮ่าฮ่า


เราใช้เวลาที่น้ำตกภูซางสักพัก สั่งเมนูอาหารต้นฉบับที่ต้องมาทานริมน้ำตก นั่นคือ ข้าวเหนียวไก่ย่างส้มตำ พออิ่มหมีพีมัน บ่ายโมงกว่าๆก็ได้เวลาเดินทางสู่ภูชี้ฟ้า
ผมขับรถออกจากน้ำตกภูซางไปได้เกือบ 2-3 กม.ก็ต้องย้อนกลับมาเนื่องจากระดับน้ำมันจะถึง E แล้ว ไฟเตือนโชว์ซะด้วย เลยต้องย้อนมาหาปั๊มหลอดเติมก่อนจะขึ้นภู ผมเติมไป 200 บาทโดยราคาน้ำมันขายลิตรละ 28 บาท แต่ยังไงก็ต้องซื้ออยู่แล้ว
เส้นทางขึ้นภูชี้ฟ้าเส้นนี้ชำรุดเป็นบางจุดที่มีดินทรุด ใครจะขับไปก็ระมัดระวังด้วยละกันครับ


ระหว่างทางก็เจอกับภาพที่ชาวบ้านนำต้นไม้กวาดมาตากริมถนนเพื่อรวบรวมเป็นไม้กวาดไปขายอีกทีหนึ่ง


เกือบบ่ายสามโมงเรามาถึงยังศุนย์บริการนักท่องเที่ยวภูชี้ฟ้า พอดีมีร้านกาแฟสดเลยเข้าไปลองซะหน่อย เอสเปรสโซ่ร้อนสักถ้วยมั๊ยครับ ? เสริฟพร้อมกับชาร้อนๆ


ผมโทรไปยังลักษณ์ภูชี้ฟ้า บ้านพักที่ผมโทรไปจองเมื่อตอนกลางวันนี้เอง ว่าตั้งอยู่ตรงไหน สุดท้ายเขาจะมารับ ผมบอกว่าไม่ต้องก็ได้เดี๋ยวขับรถขึ้นไปเอง หลังคาสีฟ้านั่นแหล่ะบ้านพักที่เราจองไว้


เราขับรถขึ้นไปจอดข้างบนเลย ผลปรากฏว่าเขากำลังทำความสะอาดอยู่ สักพักก็เข้าไปได้
หลังนี้แหล่ะบ้านพักเราสำหรับคืนนี้ สนนราคาคืนละ 500 บาท มีทีวี ห้องน้ำในตัว น้ำอุ่น


ที่นอน ผ้าห่มสะอาดสะอ้าน แต่แปลกอยู่อย่างคือ ถามผมว่า "เอาผ้าเช็ดตัวมาด้วยเปล่า" ผมเป็นงงเลย ตอบกลับไปว่า "ไม่ได้เอามา ที่นี่ไม่มีให้เหรอ ?" แกตอบกลับมาว่า "ถ้าไม่ได้เอามาเราจะเอามาให้" อืมม....แปลกดีแฮะ ไม่เคยเจอ จริงๆจะมีให้ก็ให้ทุกห้องทุกท่านสิ มีมาถามอย่างนี้ได้ไงนะ


เก็บข้าวของเสร็จ ก็ได้เวลาไปต่อที่ดอยผาตั้งแล้ว ก่อนไปก็เติมน้ำมัน 91 ปั๊มหลอดก่อน ที่นี่ราคาลิตรละ 30 บาท โห...แพงจริงๆ แต่ยังไงก็ต้องเติมตามระเบียบ ผมเติม 210 บาทหรือ 7 ลิตรนั่นเอง


ดอยผาตั้งอยู่ห่างจากภูชี้ฟ้าไป 25 กม.(แปลกจัง ทำไมผาตั้งเรียกดอย แต่ชี้ฟ้าเรียกภูทั้งที่อยู่ใกล้ๆกันแท้ๆ)
ขับไปสักพักก็จะเจอกับถนนเบี่ยง ทางขาด ดูแล้วน่ากลัวจริงๆ


เส้นทางไปดอยผาตั้งคดโค้งสวยงามจริงๆ


4 โมง 21 นาที เรามาถึงกับจุดสิ้นสุดเส้นทาง 1093 ซื้อของเล็กน้อยที่ร้านละแวกนี้แล้ววกกลับขึ้นจุดชมวิวดอยผาตั้งต่อ


ขับเข้าไปอีก 1 กม.ก็มาถึง จอดรถแล้วมีน้องๆ 2 คนเข้ามาอาสาเป็นมัคคุเทศน้อยสำหรับเรา ที่แรกคือผาบ่อง ประตูสยามสู่ลาว สังเกตกระสอบทรายจากอดีตกองพล 93 ประเทศจีนที่มาช่วยรบในไทยเรา


ด้านซ้ายเป็นหน้าผาของไทย ด้านขวาเป็นเหวลงไปสู่ดินแดนของประเทศลาว จริงๆแล้วน้องไกด์บอกกับเราว่า ที่เรายืนอยู่นี่ก็คือประเทศลาวแล้ว ผมเองยังไม่ปักใจเชื่อ


เดินขึ้นไปเรื่อยๆ มองเห็นฐานทัพของทหารลาวตั้งอยู่ลิบๆ


ไหว้พระก่อนดีกว่าครับ


ขึ้นมาแล้วมองย้อนลงไป โห...ขึ้นมาสูงเหมือนกันนะเนี่ย สัญลักษณ์ของดอยผาตั้งก็ต้องเป็นเก๋งจีนหล่ะครับ


บริเวณนี้เขาเรียกป่าหินยูนาน ส่วนที่หินแหว่งๆนี้เขาเรียกว่า ผาช่องขาด เดินเข้าไปชมวิวฝั่งลาวได้สบาย ลมเย็นๆ


มา...ขึ้นไปจุดชมวิวดอย 102 กัน สูงชันไม่ใช่เล่นนะจะบอกให้


ถึงกับหอบกันแฮ่กๆเลยหล่ะ แต่ผมขึ้นมาถึงอันดับแรกนะ อ๊ะๆ ไกด์หมาน้อยเจ้าถิ่นก็ตามมาด้วยนะ มันชื่อบี เป็นตัวเมีย คอยวิ่งไปตามจุดต่างๆก่อนพวกเราอยู่เรื่อยๆเลย


โอ้ ว้าว....สูงจังเลย มองเห็นเก๋งจีนอยู่ไกลลิบๆตรงกลาง ด้านขวาเป็นเส้นทางที่เราเดินขึ้น ส่วนด้านซ้ายเป็นเส้นทางรถที่เราขับขึ้นมา


โฉมหน้ามัคคุเทศน้อยของเรา ด้านซ้ายน้องนันทิดา ด้านขวาน้องอัมพร น้องอัมพรจะพูดเก่งให้ข้อมูลมากกว่า น้องนันทิดาจะเงียบๆ คงเขินมั้ง


น้องเขาบอกว่า ภูเขาที่เห็นมียอดแหลมฝั่งซ้ายมือคือ ผาตั้ง นั่นเอง อ้าว...พี่คิดว่า ณ จุดที่ยืนเรียกว่าผาตั้งซะอีก กลับกลายเป็นว่า ตรงนี้คือจุดชมวิวมองไปยังผาตั้งที่อยู่ไกลออกไป
แค่ได้มายืน ณ จุดนี้ก็ถือได้ว่าคุ้มแล้ว


จุดชมวิวดอย 103 เราไม่เดินไปแล้ว ท่าทางไกลน่าดู ก่อนจะกลับเลยเก็บภาพระยะไกลที่มองเห็นรถที่เราเช่ามาจอดอยู่คันเดียวแบบไกลลิบๆออกไป


ก่อนออกจากดอยผาตั้งเราให้สินน้ำใจเล็กน้อยกับมัคคุเทศของเรา หลังจากนั้นจึงกลับไปยังที่พักที่ภูชี้ฟ้าต่อ เวลานี้เย็นมากแล้ว จึงได้พบเจอพระอาทิตย์สวยๆระหว่างทางกลับ


รูปนี้พระอาทิตย์ดวงกลมสีแดงเชียว


เจอป้ายแปลกๆอีกแล้ว เป็นป้ายทางเบี่ยงข้ามลำธารขามานั่นเอง


สะพานที่สร้างชั่วคราวเพื่อให้ข้ามลำธารได้


เส้นทางนี้เห็นแล้วหนาวเลย คงขึ้นไปรีสอร์ทและภูชี้ฟ้าเช่นกัน มีป้ายเตือนว่า "ทางลาดชันสูง อนุญาตเฉพาะรถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น"


กลับมาถึงที่พักตีนภูชีฟ้าก้จอดรถและลงมาเดินหาอะไรทานกัน ณ เวลานี้บอกได้คำเดียวว่าหนาวสุดๆ ต้องใส่เสื้อแจ็คเก็ตอีกตัวพร้อมกับเปลี่ยนกางเกงขาสั้นเป็นกางเกงยีนส์ขายาวมาใส่ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้
อาหารที่นี่แพงกว่าปกตินิดนึงเนื่องจากอยู่บนดอย วันนี้นักท่องเที่ยวไม่เยอะ เดินดูของได้อย่างสบายใจ


เอาหล่ะ ได้เวลากลับที่พักขึ้นนอนแล้ว ต้องรีบนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องขึ้นยอดภูชี้ฟ้าเวลาตี 5 งั้นขอตัวไปนอนก่อนครับ
แล้วรอลุ้นกันว่าได้ขึ้นไปภูชี้ฟ้าตามที่หวังไว้มั๊ย อีกอย่างคือ ไปดอยแม่สลองจะเจอกับดอกนางพญาเสือโคร่งหรือเปล่า ทั้งหมดนี้รอคำตอบได้ในตอนต่อไป ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม ราตรีสวัสดิ์ครับ _/\_

Original Published on www.pantip.com at [ 7 ก.พ. 50 00:13:32 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2007/02/E5115359/E5115359.html


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น