หลังจากที่เราชื่นชมกับความสวยงามของดอกไม้เมืองเหนือนานาพรรณที่สวนแม่ฟ้าหลวงแล้ว ก็ได้เวลาที่จะขี่แมงกะไซด์ต่อไปยังพระธาตุดอยตุง ที่ที่ครั้งที่แล้วเราได้ไปแต่พลาดโอกาสถ่ายรูปเก็บไว้เนื่องจากแบตฯของกล้องหมดพอดี มาครั้งนี้เป็นการชาร์จแบตฯชีวิต แน่นอนแบตฯของกล้องจริงๆก็ได้ชาร์จมาด้วย จึงไม่พลาดโอกาสที่จะเก็บภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุดอยตุงแห่งนี้ อันเป็นสิ่งเคารพยิ่งของชาวเชียงรายและชาวไทยทั่วทุกคน
ช่วงท้ายที่จะขึ้นไปยังพระธาตุดอยตุงนั้นทางแคบและชันอีกช่วงหนึ่ง ขับรถต้องระวัง แต่ด้วยที่ผมมีประสบการณ์มาก่อนจึงไม่ยากเย็นนัก เตรียมเปลี่ยนเกียร์เพื่อเข้าเกียร์หนึ่งเมื่อเครื่องอืด บ่ายสามสี่สิบเจ็ดเรามาถึงยังพระธาตุดอยตุง
เราจัดแจงนำดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้พระธาตุ แล้วเดินวนแบบทักษิณาวรรต(เวียนขวาตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ)เพื่อทำความเคารพพระธาตุดอยตุง พระธาตุประจำคนเกิดปีกุนหรือปีหมูตามความเชื่อของชาวล้านนา
เสร็จแล้วก็มีคนไทยอีกครอบครัวหนึ่งน่ารักมาก มีทั้งตายาย แม่ และลูกชายตัวน้อย เข้ามาเดินเวียนขวารอบพระธาตุเหมือนกัน คุณตาให้หลานท่องพุทโธในรอบที่หนึ่ง ธัมโมในรอบที่สอง และสังโฆในรอบที่สาม ดูน้องคนเล็กเปล่งเสียงแล้วน่ารักดี ผมเลยแอบชักภาพนี้มา
บรรยากาศโดยรอบองค์พระธาตุร่มเย็นและเงียบสงบดีมากครับ จะมีก็แต่เสียงระฆังดังกังวานออกไปตามจังหวะการเคาะของพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสมาไหว้พระธาตุแห่งนี้
ด้านบนนี้มีลมเย็นๆพัดผ่านทำให้โดยรอบอากาศไม่ร้อน ดูได้จากธงที่โดนลมพัดปลิวไสว
ในสมัยก่อนตามตำนานได้มีการนำพระบรมสารีริกธาตุกระดูกไหปลาร้า(พระรากขวัญเบื้องซ้าย) ของพระพุทธเจ้า มาบรรจุ ณ องค์พระธาตุแห่งนี้
องค์พระธาตุอีกมุมหนึ่งพร้อมกับแมลงปอที่บินว่อนเป็นฉากหลัง
รอบๆรั้วประดับไปด้วยกระดิ่งน้อยใหญ่ และสิ่งนี้เพื่อให้เสียงยามโดนแรงลมพัดไหว
ใครไหว้พระธาตุเสร็จก็สามารถเดินมาตีระฆังซึ่งอยู่เรียงรายตรงสองข้างทางเดิน เพื่อจะลงไปลานจอดรถด้านล่างได้
อีกหนึ่งจุดที่มีตุงแขวนไว้ครับ
ก่อนลาจากพระธาตุดอยตุง ผมยังไม่ลืมที่ครั้งก่อนเคยลองของ ไม่กลับเส้นทางเดิมแต่ขับตามเส้น 1149 ซึ่งเป็นทางลัดเลาะไปตามเขาและเลียบชายแดนไทย-พม่าจนไปถึงยังแม่สาย ณ เวลาค่ำๆ ลุ้นเป็นที่สุด
เราออกจากพระธาตุเกือบบ่ายสี่โมงเย็น เพราะต้องรีบกลับยังดอยแม่สลอง กลัวจะมืดซะก่อน ขากลับแวะทานอะไรเล็กน้อยจากรถขายลูกชิ้นและไส้กรอกที่บริเวณสวนแม่ฟ้าหลวง ก่อนจะเดินทางต่อไปด้วยน้ำมันเกือบครึ่งถัง ซึ่งลุ้นแทบแย่ว่าจะไปถึงหรือไม่ สุดท้ายก็มาถึงดอยสลองจนได้ เราย้อนขึ้นไปไหว้พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคิรี ซึ่งอยู่สูงขึ้นไป ทางชันเอามากๆ ภาพที่ได้จึงเป็นมุมมองจากทางลงช่วงสุดท้ายก่อนจะถึงยังองค์พระธาตุ
พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคิรี สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวจีนยูนนานแห่งดอยแม่สลอง
พระอุโบสถข้างพระธาตุ ยามเย็น
มองลงไปยังด้านล่างจะเห็นวิวบ้านแม่สลองท่ามกลางขุนเขาอย่างชัดเจน
แล้วก็จบวันที่ 2 แต่เพียงเท่านี้ ขากลับลงจากพระธาตุเพื่อไปคืนรถมอเตอร์ไซด์ที่ร้าน แล้วกลับมาทานอาหารเย็นแถวๆนั้นต่อไป คืนวันนี้ฝนตกปรอยๆ ทำให้อากาศโดยรอบเย็นเย็นลงไปอีก
เช้าวันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2549
ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของทริปนี้ เราตื่นมาเพื่อทานอาหารเช้าที่นี่เหมือนเดิม วิวจากโต๊ะอาหารเมื่อมองออกไป เห็นธนาคารทหารไทย ซึ่งเป็นธนาคารแห่งเดียวบนดอยแม่สลองแห่งนี้
อีกมุมหนึ่งของบ้านพัก ยืนมองขึ้นไป
เราเดินขึ้นไปตามถนนคอนกรีต เพื่อไปยังสุสานนายพลต้วน ที่สุสานนี้จะห่างจากทางขึ้นประมาณ 500 เมตร พอเรียกเหงื่อซึมๆได้
อ่านจากประวัติข้างเสาที่เป็นภาษาไทย จับใจความได้ว่า ท่านมีลูก 4 คน หญิง 2 ชาย 2 มี 2 คนไปอยู่ที่อเมริกา อีกคนเป็นหมอทำงานอยู่ที่ไต้หวัน คนที่เหลือแต่งงานอยู่ที่ดอยแม่สลองแห่งนี้
หลังจากขึ้นไปเคารพสุสานท่านนายพลต้วนแล้ว เราเดินลงมาเพื่อจะทานอาหารกลางวัน ระหว่างรอจึงขอพนักงานเข้าไปดูห้องแบบอื่นๆ มีอีก 2 แบบที่เป็นโรงแรมคือแบบที่เห็นในรูป ราคา 700 บาท / คืน เตียงและความกว้างห้องจะเล็กกว่าอีกแบบหนึ่ง
ส่วนแบบนี้จะราคา 1,000 บาท / คืน เตียงและห้องจะกว้างกว่า และมีอุปกรณ์ VCD ให้ดูหนังอีกด้วย
หลังจากดูห้องก็กลับมาที่โต๊ะอาหาร อาหารที่สั่งไว้พร้อมเสริฟอยู่พอดี มื้อนี้ยอมคลอเรสโตรอลขึ้น เนื่องจากต้องชิมขาหมู-หมั่นโถวให้ได้ ไม่งั้นมาไม่ถึงดอยแม่สลองมั้ง
เป็นอีกครั้งที่ผมขอความช่วยเหลือจากอนันต์ พนักงานที่นี่ ให้สอบถามเกี่ยวกับรถที่จะไปส่งเราที่สนามบินหรืออ.แม่จันก็ได้ อนันต์และเพื่อนเด็กเสริฟช่วยกันแนะนำให้เรานั่งรถสองแถวสีน้ำเงิน สายดอยแม่สลอง-ป่าซาง-อ.แม่จัน แล้วค่อยต่อรถเมล์ไปลงแถวทางเข้าสนามบินอีกที ต่อจากนั้นก็ว่าจ้างมอเตอร์ไซด์ให้ไปส่งภายในสนามบิน ผมขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือในครั้งนี้ ไม่งั้นแล้วผมต้องเสียเงินตั้ง 1,000 บาทเพื่อโทรเรียกแท็กซี่เจ้าเดิมที่มาส่งขามา ให้มารับไปสนามบิน แต่ค่ารถสองแถวราคาแค่คนละ 60 บาทเอง ประหยัดไปสุดๆ
ระหว่างรอรถสองแถว เราเดินไปซื้อชาที่ร้านละแวกนั้น เป็นอีกครั้งที่น้องผู้หญิงให้ชิมชาตั้ง 3 ชนิด คือ ชาอู่หลง ชามะลิ และชาโสม จากซ้ายไปขวา
รถสองแถวแบบนี้แหล่ะที่จะพาเราลงจากดอยแม่สลองไปยังอ.แม่จัน สนนราคาคนละ 60 บาท
ฮั่นแน่...ดอยแม่สลองก็มีเซเว่นฯนะคร้าบบบ
ต่อจากสองแถวสีน้ำเงินที่สุดสาย ณ อ.แม่จัน เราก็ต่อด้วยรถเมล์สีเขียวแบบนี้(ราคาคนละ 15 บาท)ไปลงตัวเมืองเชียงรายดีกว่า กะจะไปแช่แอร์เย็นๆที่ห้างแถวๆนั้น แต่จำไม่ได้แล้วว่ามีห้างอะไรบ้าง รถเมล์สีเขียวพาเรามาส่งสุดสายที่บขส.เชียงรายพอดี ดีนะที่เคยมาแล้ว จึงไม่หลงทาง
จากบขส.เชียงราย เราเดินออกมาที่ถนนใหญ่เพื่อจะหาห้างดังกล่าวให้เจอ สุดท้ายหลังจากเดินอยู่พักใหญ่ เราก็เจอป้ายคุ้นๆตาว่า Big C เจอจุดหมายแล้วเรา ใครเคยมาที่นี่หรืออยู่ที่เชียงรายจะรู้ว่าระยะทางจากบขส.มา Big C ไกลขนาดไหน ยังงงอยู่ว่าเดินแบกเป้กันมาได้ไง ? ไม่รีรอ พอเดินเข้าห้างสั่งคาปูฯเย็นจากร้านยอดดอยมาก่อนเลยเพื่อดับกระหาย
โต๋เต๋อยู่ใน Big C อยู่นานเพื่อรอเวลาที่เครื่องจะออกซึ่งตรงกับเวลา 3 ทุ่ม 15 นาที พอทุ่มนึงเราก็เดินออกมาเรียกรถตุ๊กๆที่หน้าห้าง ผลปรากฎว่าคนขับเรียก 150 บาท ซึ่งเรามองว่าแพงไปเลยต่อรองเหลือ 100 บาทก็ยังไม่ไปอยู่ดี เราเลยเดินออกมาเพื่อข้ามไปฝั่งตรงข้ามแล้วเดินๆๆ ต่อไปเพื่อหวังจะมีรถตุ๊กๆแล่นผ่านมาบ้าง สักพักก็มีจริงๆ ไม่ต้องเสียเวลาต่อรองมาก คนขับเรียกมา 100 บาท เป็นอันตกลง ลุยๆๆ
ไฟล์ทขาไปและขากลับนี้ ตรงเวลาดีมาก สามทุ่มหน่อยๆเจ้าหน้าที่ก็ประกาศ boarding แล้ว จึงเป็นการอำลาเชียงราย จังหวัดที่อยู่เหนือสุดในสยามอย่างแท้จริง ขอจบด้วยบรรยากาศการต่อแถวขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชียไว้เพียงเท่านี้ แล้วเจอกันใหม่ในทริปต่อไปครับ
ขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชม ดูรูป อ่านเรื่องราว และลงชื่อทักทายกันครับ
Original Published on http://www.pantip.com on [ 9 มี.ค. 49 22:47:41 ] as below link
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น