วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2549

ชาร์จแบตฯชีวิตที่อดีตกองพล 93 (ดอยแม่สลอง) & ดอยตุง ตอน 1 พักคุ้มนายพลรีสอร์ท เช่ามอเตอร์ไซค์เที่ยวตอยแม่สลอง, สวนแม่ฟ้าหลวง ดอยตุง


ทริปเชียงรายหนนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว ผลพวงมาจากโปรโมชั่น 0 บาทของแอร์เอเชียนั่นเอง ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าจะไปไหนดีเพื่อจะใช้โปรโมชั่นดังกล่าว ภูเก็ตก็ไป 4 ครั้งแล้ว เชียงใหม่คงไม่ไปเนื่องจากไม่มีอะไร ทางอีสานก็ขับรถไปมาแล้วเหมือนกัน คิดไปคิดมา เชียงรายนี่แหล่ะ เหนือสุดในสยาม แม้ว่าผมจะเคยขับรถไปมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคม 2546 แต่ด้วยอานุภาพของมนต์เสน่ห์เมืองเหนือทำให้ผมหวนคิดถึงไม่ได้ จึงเป็นที่มาของทริปดังกล่าวนี้
ผมจองตั๋วเครื่องบินสายการบินขวัญใจชาวแบ็คแพ็คเกอร์ไทย นั่นคือไทยแอร์เอเชีย จองไว้ 3 วัน 2 คืนที่เชียงราย แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า จะไปไหนดีที่เชียงรายที่ประหยัดและไม่ต้องง่วนกับการขับรถตลอดทั้งวันเหมือนอย่าง Big Trip ที่ผ่านมา มาครั้งนี้ขอสบายๆ เจาะจงไปเลยว่าที่ใด ตัวเลือกมีทั้ง ตัวเมือง, เชียงแสน, ภูชี้ฟ้า, แม่สาย, ดอยตุง หรือดอยแม่สลอง ผมเลือกดอยแม่สลอง เพราะอยากไปสูดอากาศบริสุทธิ์บริเวณไร่ชา หลีกหนีจากอุณหภูมิการเมืองและอากาศในกรุงเทพที่ร้อนแรงไปชาร์จแบตฯชีวิตสักพัก แล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ หวังว่าคงจะได้ไอเดียหลายอย่างในชีวิตมากขึ้น



ไฟล์ทจากกรุงเทพไปเชียงรายออกเวลา 6:40 น. ดังนั้นผมต้องไปถึงที่สนามบินดอนเมืองก่อน 5:40 น. พนักงานไทยแอร์เอเชียแนะนำให้ผู้โดยสารที่ไม่มีสัมภาระโหลดใต้เครื่องไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์นี้ เพื่อความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น


เครื่องบินโบอิ้ง 737-300 เตรียมเข้าคิวที่จะเทคออฟแล้วหล่ะ พระอาทิตย์ขึ้นเมื่อเวลาปนะมาณ 6:50 น. อากาศเย็นจนมีหยดน้ำเกาะที่กระจกหน้าต่างภายนอกเครื่องบิน


ณ เช้าของวันเสาร์ที่ 4 บนเครื่องบินลำนี้ มองออกไปยามเครื่องบินไต่ระดับ เห็นทะเลเมฆปุยนุ่มล่องลอยอยู่เหนือน่านฟ้าเมืองไทย รับกับแสงอาทิตย์สีส้มได้อย่างดี


1 ชม. 15 นาที นกเหล็กพาเราลัดฟ้าร่นระยะทางเกือบๆ 900 กม.มายังจังหวัดเชียงราย จังหวัดที่ได้ชื่อว่าเหนือสุดในสยาม เพื่อความสะดวกผมเลือกใช้แท็กซี่จากสนามบินที่ผูกขาดอยู่เจ้าเดียวให้พาไปส่งยังดอยแม่สลองที่คุ้มนายพลรีสอร์ท ที่พักที่ผมเลือกที่จะชาร์จพลังใน 2 คืนบนดอยแม่สลองแห่งนี้


มาถึงที่นี่ 9 โมงครึ่งเห็นจะได้ หลังจากเช็คอินที่หน้าเคาน์เตอร์ อนันต์-พนักงานชายไทยเชื้อสายจีนพาเราไปยังบ้านพักแบบรีสอร์ท ระหว่างทางเป็นถนนคอนกรีตขึ้นเนินไปอยู่ไกลประมาณ 150 เมตร ซึ่งเป็นทางขึ้นทางเดียวกันกับสุสานนายพลต้วน โดยสุสานนายพลต้วนจะอยู่เลยไปประมาณ 400-500 เมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นลำโพง ส่งกลิ่นหอมยามเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เห็นแล้วนึกๆถึงบ้านรวมไทย แม่ฮ่องสอน และภูทับเบิก ยังไงยังงั้น


ไม่นานก็เดินมาถึง หลังนี้แหล่ะครับที่พนักงานเลือกให้เรา ตั้งอยู่บนเนินไร่ชาในระดับแถวที่สอง ไม่มีหลังอื่นตั้งอยู่ข้างๆให้กวนใจ อีกทั้งยังเป็นหลังเดียวกันกับที่ได้โฆษณาไว้ในโบชัวร์ของรีสอร์ทอีกด้วย


สภาพภายในห้องกว้างพอสมควร เรียบๆง่ายๆ เหมาะกับการมาพักผ่อนอย่างที่สุด


ออกมาด้านนอกก็จะเป็นชานระเบียงให้นั่งชมวิวพร้อมกับจิบบรรยากาศท่ามกลางไร่ชา นี่แหล่ะที่ผมตามหา


ณ จุดนี้มองออกไปเห็นวิวบ้านพักหลังอื่นที่อยู่ในระดับแรก ถนนด้านล่างนั้นจะเป็นเส้นทางไปวัดสันติคีรี และดอยตุงได้


เนื่องจากวันนี้ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาเช็คอินให้ทันที่สนามบินดอนเมือง ทำให้เมื่อมาถึงที่นี่ เราจึงง่วงนอนและเพลียกับการเดินทาง จึงใช้เวลาช่วงสายๆของวันไปกับการนอนพักผ่อน ไม่น่าเชื่อว่าอากาศภายในบ้านพักนั้นเย็นสบายอย่างกับเปิดแอร์ไว้ เกือบเที่ยงจึงค่อยตื่นมาทานอาหารกลางวันพร้อมกับเดินดูของที่ขายอยู่ริมทาง แม่ค้าส่วนใหญ่เป็นชาวเขา ผลิตภัณฑ์ก็จะเป็นสิ่งของที่ทำด้วยมือ


นี่แหล่ะครับ วิวบ้านพักของคุ้มนายพลรีสอร์ท เมื่อมองจากถนนด้านล่าง ตั้งอยู่บนเนินของไร่ชา มองแล้วได้บรรยากาศจริงๆ
สำหรับวันแรกก็คงหมดแต่เพียงเท่านี้


เช้าวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2549
ซึ่งเป็นวันที่สองของการพักผ่อน เราออกมาทานอาหารเช้าซึ่งที่นี่เขารวมไว้แล้วในค่าที่พัก เมนูก็จะเป็นข้าวต้มเห็ดหอมซึ่งจะมีหมูสับด้วย อร่อยไปอีกแบบ เครื่องดื่มก็ให้เลือก 2 อย่างคือโอวัลตินหรือกาแฟ ส่วนน้ำชาร้อนเสริฟตลอด


วันนี้ผมแพลนว่าจะต้องไปดอยตุงให้ได้ ระหว่างทานอาหารเช้าก็สอบถามกับอนันต์พนักงานที่นี่ให้ช่วยติดต่อรถรับจ้างเหมาหน่อย พร้อมกับช่วยสอบถามราคาด้วย อนันต์ขี่รถเครื่องไปสักพักแล้วกลับมาพร้อมกับบอกราคาแก่เรา แต่เขาเสนอทางเลือกอีกอย่างก็คือ เช่ารถมอเตอร์ไซด์แล้วขี่ไปเอง อนันต์บอกกับเราว่ารถสองแถวรับจ้างแพง และไปได้แค่จุดเดียว ส่วนขี่มอเตอร์ไซด์นั้นราคาถูกกว่ามาก แถมยังไปได้ตามที่ใจต้องการด้วย ขอบคุณอนันต์ที่ช่วยแนะนำเราพร้อมกับพาไปติดต่อที่ร้านเช่า ราคาวันละ 200 บาท โชคดีที่ผมรู้เส้นทางมาก่อน ไม่งั้นคงไม่กล้าเสี่ยงขี่ไปแน่


ดินแดนแห่งขุนเขา ม่านเมฆ ดอยแม่สลอง
นึกขำกันว่า ครั้งที่แล้วที่มา ณ จุดนี้ มีการลืมกระเป๋าตังค์กันเกิดขึ้นตอนถ่ายรูปที่ป้ายนี้ ดีที่วกรถกลับมาทัน ฉิวเฉียดจริงๆ


วิวพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคิรี เมื่อมอง ณ จุดนี้ ตั้งอยู่สูงตระหง่านเอาการทีเดียว ครั้งที่แล้วมาได้แต่มอง ครั้งนี้ต้องไปไหว้ให้ได้


ผมวกรถกลับมาเพื่อขึ้นไปยังวัดสันติคีรี ไหว้เจ้าแม่กวนอิมก่อนครับ


ขี่เข้ามาเรื่อยยังแม่สลองรีสอร์ท ค่อนข้างเงียบเหงาครับที่นี่ อีกอย่างอยู่สูงด้วย ผมแวะไปที่บ้านเกรียงศักดิ์ครับ ประวัติคงไม่เล่า


เดินไปอีกก็จะเป็นศาลาเกรียงศักดิ์ไว้เป็นจุดชมวิวได้ มองลงมาด้านล่างจะเป็นบังเกอร์ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ที่สร้างมาหลายสิบปี


จะขี่ไปดอยตุงทางเส้นนี้ก็จะต้องผ่านรีสอร์ทที่ตอนนี้มาแรง นั่นก็คือ ดอยหมอก ดอกไม้ รีสอร์ท นั่นเอง ยอมรับว่าจัดสวนสวยจริงๆ แต่ความคิดผม บ้านปูนไม่น่าพักเอาซะเลย ถึงจะใหม่ก็เหอะ


ผมไม่ลืมที่จะแวะเข้าไปกราบไหว้พระสยามเทวาธิราชระหว่างทางไปดอยตุง ผมขอพรจากท่านให้คุ้มครองเราทั้งสองขณะเดินทางด้วยการขี่มอเตอรไซด์ในวันนี้ อย่าได้เกิดอุบัติเหตุใดๆเลย


ในที่สุด ประมาณเที่ยงสี่สิบห้านาที เราก็มาถึงดอยตุงจนได้ ระหว่างทางอากาศไม่ร้อน เย็นๆซะอีกแม้จะนั่งขี่มอเตอร์ไซด์ตากแดดก็ตาม ทางบางช่วงชันมากจนต้องใช้เกียร์ 1 แต่ก็ไม่มีอุบัติเหตุรถล้มแต่อย่างใด


อากาศแบบนี้คงไม่ผิดนักที่จะเข้าไปดื่มกาแฟดอยตุงกัน



ไม่มีคาปูฯของชอบก็ขอเป็นกาแฟเย็นธรรมดาละกัน ผมยังจำบรรยากาศที่มานั่งทานกาแฟกับคุ้กกี้ที่นี่ได้ไม่ลืมเลย ช่วงต้นตุลาคมของปี 46 ช่วงนั้นอากาศเย็นสบายมาก และมีอีกอย่างที่จำแม่นคือ แบตกล้องเจ้ากรรมดันมาหมดตอนจะถ่ายตุงนะสิ เลยอดถ่ายตุงและพระธาตุดอยตุงเลย แต่ครั้งนี้เตรียมพร้อมมาอย่างดี ไม่พลาดแน่


ซ้อมถ่ายดอกไม้ที่ปลูกไว้ข้างๆถนนก่อนที่จะไปถ่ายในสวนแม่ฟ้าหลวงด้านล่าง


ครั้งนี้ตัดสินใจซื้อบัตรผ่านแค่เข้าชมสวนแม่ฟ้าหลวงครับ ส่วนหอพระราชประวัติกับพระตำหนักคงไม่เข้าเพราะได้เคยเข้าไปดูมาแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก ตอนแรกผมกะจะไม่เข้าสวนฯด้วยซ้ำไป


ดอกไม้เมืองเหนือสวยๆทั้งนั้นเลย


ดอกกล้วยไม้พันธุ์อะไรไม่ทราบ ขอชักภาพก่อนละกัน


จุดนี้แหล่ะที่มีห่านสองตัวเดินมาไล่เราทั้งสอง


อยากลงนั่งเรือเหมือนกัน แต่เสียดายเรือน่าจะรั่วหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะมีน้ำอยู่ภายใน


มาครั้งนี้ สวนแม่ฟ้าหลวงจัดตกแต่งดอกไม้เยอะกว่าเดิมมาก เดินเพลินเลยเรา


นี่ก็อีกดอก สวยๆทั้งนั้น


สีขาวสีม่วง ปลูกสลับกันไป


ทางเดินเข้าไปในโดม


อุโมงค์น้ำพุ เดินลอดไปด้วยกันมั๊ยครับ ??


ปฎิมากรรมที่รายล้อมด้วยการแต่งสวนแบบงดงามสุดๆ สวยงามไม่เปลี่ยนแปลง



โอว....ดอกไม้สีสันโดนใจมากๆ


ดอกนี้ กลีบดอกคล้ายๆกับดวงอาทิตย์เลย


หลากหลายสีสัน ธรรมชาติสรรสร้าง


ไม่มีคำบรรยาย


ยิ่งกว่าเหนือคำบรรยาย


ณ สวนแม่ฟ้าหลวงนี้ มองเงยขึ้นไปก็จะเจอกับพระตำหนักดอยตุง


มาดูประติมากรรมที่เด็กยืนต่อตัวกันครับ ตั้งโดดเด่นอยู่กลางสวน ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อว่า ความต่อเนื่อง อันตรงกับพระราชดำริของสมเด็จย่าที่ว่า ทำงานอะไรก็ตามจะสำเร็จได้ต้องมีความต่อเนื่อง


ดอกซากุระหรือพญาเสือโคร่งที่ยามนี้ใกล้จะร่วงหมดเต็มที


ปิดท้ายตอนนี้ด้วยดอกสีเหลืองสด สุพรรณิการ์หรือเปล่า?  แล้วเจอกันใหม่ในตอนที่สอง ตอนสุดท้ายกับ 2 พระธาตุ คือพระธาตุดอยตุง และ พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคิรี 

ขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชม ดูรูป อ่านเรื่องราว และลงชื่อทักทายกันครับ

Published on http://www.pantip.com on [ 7 มี.ค. 49 21:25:35 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น