วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2550

ปาย กับวันเหงาๆ ตอน 1 จากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่นั่งรถตู้แดงไปอ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน [วันแรก]


หลังจากที่พวกเราได้ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจในการร่วมมือสร้างฝายทั้งแบบชั่วคราวและแบบกึ่งถาวรให้กับชาวบ้านชาวแม่เหียะ จ.เชียงใหม่ในวันศุกร์เมื่อวานนี้แล้ว วันนี้ก็ได้เวลาที่พวกเราได้ออกเที่ยวตามสถานที่ต่างๆในตัวเมืองเชียงใหม่ก่อนที่จะเดินทางกลับสระบุรีในตอนบ่ายๆ
ตามโปรแกรมที่ทางฝ่ายพนักงานสัมพันธ์ได้จัดไว้ วันนี้ตื่นเช้าแล้วมาทานอาหารร่วมกันที่โรงอาหารของอช.ดอยสุเทพ-ปุย แล้วหลังจากนั้นจึงร่ำลาพี่ๆน้องๆเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ร่วมด้วยช่วยกันในการสร้างฝายเพื่อถวายในหลวงเรา เพื่อไปชมพระตำหนักภูพิงค์ฯ และดอยสุเทพ ตามลำดับ
แม้จะเหน็ดเหนื่อยอย่างไร ทุกๆท่านก็ไม่ย่อท้อจนฝายทั้ง 2 ฝายเสร็จเรียบร้อยก่อนตะวันจะพลบค่ำ รอเวลามาพิสูจน์ความแข็งแรงอีกครั้งยามเมื่อถึงหน้าฝนนี้ แน่นอนว่าผมต้องขับรถมาดูผลงานด้วยตัวเองอยู่แล้วในหน้าฝนที่จะถึง


 9 โมงหน่อยๆ รถตู้ 4 คันก็ขับมาส่งพวกเราที่หน้าทางเข้าพระตำหนักฯ รถใช้เวลาไม่นานนักเนื่องจากอยู่ใกล้กับอช.ดอยสุเทพเพียงนิดเดียว
ทุกคนจัดแจงถ่ายรูปหน้าป้ายพระตำหนักแล้วทยอยกันไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปชมภายใน ผู้ใหญ่ 20 บาทเท่านั้น เราเลือกที่จะไม่ขึ้นรถกอล์ฟเนื่องจากเวลามีมากพอ เดินไปถ่ายรูปไปตามประสานักเดินทางอยู่แล้ว อีกอย่างเราคงยังไม่แก่พอที่จะเดินไม่ไหวหรอกนะ


ที่ถนนริมทางเดินมีร้านของสวัสดิการขายเครื่องดื่มอยู่ ว่าแล้วเชียวว่าต้องมีกาแฟสดๆขายที่นี่ สมกับที่ผมเองยอมอดกาแฟชงตอนเช้าเพื่อมาหากลิ่นหอมของกาแฟสดชาวเจียงใหม่ในวันนี้
ข้างๆทางมีพรรณไม้เมืองเหนือหลากหลายพันธุ์ อย่างเช่นดอกนี้ มองเผินๆคล้ายๆกับดอกนางพญาเสือโคร่งหรือซากุระเมืองไทย โดยออกโทนชมพูไล่มาขาวตามกลีบดอก


ถัดไปไม่ไกลกันนัก ก็จะมีช่อดอกสีเหลืองขาวอยู่เต็มไปหมด เสียดายที่ผมไม่รู้จักชื่อ ถามเพื่อนที่มาด้วยก็ไม่ทราบเหมือนกัน


เก้าอี้ว่างเปล่า รอนักท่องเที่ยวมานั่งพักยามเดินเหนื่อยๆ



ณ ยอดสูงดอย "บวกห้า" ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางตะวันตกประมาณ 22 กิโลเมตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระราชนิเวศน์ขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2504 เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับทรงต้อนรับพระราชอาคันตุกะ และได้กลายเป็นที่ประทับในคราวที่เสด็จแปรพระราชฐาน เพื่อทรงเยี่ยมเยียนเหล่าพสกนิกรทางภาคเหนือเป็นประจำเสมอมา


พระสาสนโสภณ วัดบวรนิเวศวิหาร (คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ในกาลต่อมา) ได้ถวายชื่อเพื่อมีพระราชวินิจฉัย 2 ชื่อ คือ "พิงคัมพร" และ
"ภูพิงคราชนิเวศน์" เมื่อมีพระราชวินิจฉัยแล้วจึงพระราชทานนามว่า
"พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์"


เราเดินขึ้นไปตามทางเดินที่ไล่ระดับชั้นเพื่อไปยังอ่างเก็บน้ำและพระตำหนักสมเด็จพระศรีฯที่อยู่ด้านบน โดยระหว่างทางเดินนั้นจะมีต้นเฟิร์นและพรรณไม้อื่นๆขึ้นเต็มตลอด 2 ข้างทาง ไม่แน่ใจว่าดอกที่เห็นสีเหลืองนี้มีชื่อว่าอะไร


เดินขึ้นมาด้านบน ขั้นนี้ก็จะเจออย่างที่เห็น เป็นพลับพลาผาหมอนโดยรอบเป็นสวนเฟิร์น มีพี่คนหนึ่งเผลอเดินเข้าไปจนเจ้าหน้าที่ต้องตะโกนบอกว่าห้ามเข้า


เดินขึ้นไปอีกแล้ว ดอกอะไรก็ไม่รู้แด๊งแดงอยู่ริมทางเดิน


ถึงแล้ว ด้านบนเป็นอ่างเก็บน้ำและน้ำพุ เบื้องหน้าเป็นพระตำหนักสิริส่องภูพิงค์(ชื่อผิดขออภัยด้วยครับ)


สีสันดอกไม้สีแดงสดเชียว


เดินไปเรื่อยๆ อากาศด้านบนเย็นสบายดี คนไม่มากเท่าไหร่ด้วย


ใครรู้สึกอยากนั่งพักก็มานั่งจิบกาแฟหรือเครื่องดื่มอื่นๆตรงนี้ได้นะครับ


ร่มทำคล้ายๆร้านกาแฟชื่อดังที่มาจากต่างชาติเลย


แม้ว่าทางเดินจะแสนไกล แต่เราก็จะไปให้ถึง(เกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย)
ก็คงต้องเดินลงอีกทางหนึ่งเพื่อกลับแล้วหล่ะครับ


ต่อจากนั้น รถตู้ก็มาส่งพวกเราที่เชิงทางขึ้นดอยสุเทพ ตรงจุดนี้แหล่ะที่ผมจะแยกตัวออกจากคณะที่มาสร้างฝาย โดยยังไม่กลับที่สระบุรี เพราะผมมีโปรแกรมผุดขึ้นมาฉับพลันจากวันแรกที่เดินทางมา นั่นก็คือ "ปาย"
ไหนๆก็มาถึงเชียงใหม่แล้ว ยังมีเวลาเหลือตั้ง 1 วันครึ่ง จะรีบกลับไปทำไม นานแล้วที่ไม่ได้ไปปาย งั้นไปตอนช่วงขากลับที่ทางทีมงานร่วมสร้างฝายจะกลับดีกว่า ผมชวนเพื่อนอยู่ 2 คน แต่ติดโปรแกรมที่อื่นกัน เลยต้องไปปายแบบเดี่ยวๆ เหงาๆ แบบนี้อีกครั้ง ไม่ใช่อุปสรรคอะไรสำหรับผมที่จะเดินทางไปปายคนเดียว
ผมลงจากรถตู้พร้อมเป้ที่ขนสัมภาระที่เตรียมมาอยู่เพียง 2 คืน แต่จะไปค้างเพิ่มที่ปายอีกเป็นคืนที่ 3 ไหนๆก็เดินขึ้นพระธาตุดอยสุเทพทุกครั้งที่มาไหว้แล้ว ครั้งนี้จะเป็นไรไปที่เดินขึ้นพร้อมเป้ด้วย


ขึ้นไปถึงบนพระธาตุ วันนี้คนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นวันเสาร์ แต่ก็ยังถือว่าไม่เบียดเสียดกันมากนัก ผมนำดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปเคารพบูชา ใครสะดวกก็อาจจะเดินเวียนทักษิณาวัตรหรือเวียนขวารอบพระธาตุ 3 รอบก่อนก็ได้ พระธาตุดอยสุเทพนั้นถือเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีมะแมตามความเชื่อของชาวล้านนา


จริงๆผมเองก็ยังลังเลอยู่ไม่น้อยก่อนลงจากรถตู้ ว่าจะไปหรือไม่ไปดี แต่สุดท้ายสายเลือดนักเดินทางมันก็ร่ำร้องให้ออกเดินทางอีกครั้งแม้ว่าจะไปคนเดียวก็ตาม ช่วงก่อนหน้านั้นผมโพสต์ถามข้อมูลเรื่องรถตู้ไปปาย เวลา และ Report online อยู่ตลอด เพื่อนๆใจดีก็จะเข้ามาบอกกัน ทำให้ใจชื้นอีกครั้งในการเดินทางครั้งนี้แบบได้ข้อมูลอย่างเรียลไทม์

ผมลงจากพระธาตุก็เดินไปถามคิวรถแดงที่จอดอยู่ ทางเด็กรถก็ชี้ให้มานั่งคันที่จอดหันหัวออกถนน ผมตั้งใจว่าจะลงไปที่ตีนดอยก่อนแล้วหารถแดงอีกสายไปอาเขตเพื่อประหยัดเงิน โดยไม่อยากเหมา ผมนั่งอยู่ประมาณ 5 นาทีได้ เด็กรถก็มาบอกอีกครั้งว่าถ้าจะรอคงต้องรอให้ครบ 8 คนถึงจะออกรถได้ แต่ตอนนี้มีผมอยู่คนเดียว เลยเสนอให้ผมเหมาไป ซึ่งราคา 100 บาทลงตีนดอย แต่ผมถามว่าถ้าให้ไปส่งที่อาเขตด้วยจะได้หรือไม่ เพราะไม่อยากเสียเวลาเปลี่ยนรถอีก สุดท้ายลุงคนขับแกขออีก 50 บาท รวมแล้วเป็น 150 บาทส่งถึงอาเขตเลย ผมตกลงตามนั้น


มาถึงอาเขต 11 โมง 45 นาทีเห็นจะได้ เดินไปหาคิวรถที่จะไปปาย ด้วยความที่ไม่เคยมาที่อาเขตมาก่อนก็เดินดูป้ายไปเรื่อยๆ ยังไงมันต้องเจอสิน่า ในใจคิด สุดท้ายก็มาเจอ เข้าไปสอบถามกับพนักงานขายตั๋ว ได้ความว่ามีรถออกตอน 12:30 น.ทั้งรถเมล์แดงและรถตู้อย่างที่เห็น ผมสอบถามเรื่องราคาและเวลาในการเดินทาง โดยรถเมล์แดงนั้นใช้เวลาเดินทางถึงปายประมาณ 4 ชม. ส่วนรถตู้ใหม่ใช้เวลาเดินทาง 3 ชม. แต่ก็แพงกว่ารถเมล์แดงที่ราคา 70 บาท โดยรถตู้ราคา 150 บาท ผมตัดสินใจโดยอยากไปถึงปายเร็วๆเพราะเวลามีไม่มาก เลยเลือกที่จะไปรถตู้  รถตู้นั่งได้ 11 คนมีแอร์ ไม่มียืน ถ้ามีก็ไม่รู้จะยืนยังไงเหมือนกัน


หลังจากได้ตั๋วรถตู้ไปปายมาเสร็จก็เดินไปเดินมา นึกขึ้นได้ว่าควรที่จะจองรถทัวร์ขากลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้ก่อนดีกว่าเพื่อความชัวร์ เดินเข้าไปต่อคิวที่เคาน์เตอร์นครชัยแอร์ น่าตลกดีตรงที่เคาน์เตอร์อื่นๆที่ไปกรุงเทพกับมีพนักงานมายืนเรียกลูกค้ากันให้แซ่ด แต่กับนครชัยแอร์ ลูกค้าต่างที่จะมายืนรอเพื่อซื้อตั๋ว มันต้องมีอะไรสักอย่างที่แตกต่างกันน่า
ที่นครชัยแอร์ดูการบริการจะอินเตอร์มากๆ รับบัตรเครดิตในการชำระเงินค่าตั๋วด้วย ผมเลยเข้าแถวที่ช่องรับบัตรเครดิต เพื่อไม่ให้เงินสดพร่องไปมากตอนไปปาย  แต่แล้วพอถึงคิวผม สอบถามว่าพรุ่งนี้มีรถเข้ากรุงเทพมั๊ย ได้รับคำตอบว่าเต็มหมดทุกรอบ อืมมม.....นั่นสิเนอะ พรุ่งนี้มันวันอาทิตย์ ใครๆก็แพลนที่จะกลับกรุงเทพกันทั้งนั้น แต่สวรรค์ก็ไม่ได้แกล้งผมซะทีเดียว พนักงานขายตั๋วบอกและชี้มาทางน้องผู้หญิงที่ยืนรออยู่ข้างๆว่า น้องเขายกเลิกตั๋วที่จะไปกรุงเทพวันพรุ่งนี้แล้ว สามารถติดต่อขอซื้อกับน้องเขาได้เลย สุดท้ายผมก็ได้ตั๋วกลับกรุงเทพรอบ 20:30 น.ในวันรุ่งขึ้นคือวันอาทิตย์นั่นเอง ราคา 575 บาท VIP 32 ที่นั่ง โอเค....จะได้ไม่กังวลเรื่องรถขากลับแล้ว


พอเที่ยงครึ่งรถตู้ไปปายก็เริ่มออกเดินทางจากอาเขตมุ่งสู่ถนนสาย 107 ผ่านแม่ริม แล้วเลี้ยวเข้าแม่แตงเพื่อเริ่มต้นเส้นทางสาย 1095 ครั้งนี้เส้นดังกล่าวถูกตัดใหม่ให้บายพาสไปโดยไม่จำเป็นต้องผ่านตลาดแม่มาลัยก่อน เร็วดีเหมือนกัน ไม่เสียเวลาอ้อมถึง 5 กม.
สภาพเส้นทางเมื่อเริ่มขึ้นเขาก็เป็นอย่างที่เห็นมีอยู่ด้วยกัน 2 โค้ง คือโค้งซ้ายกับโค้งขวา รถตู้ทำเวลาได้ดีทีเดียว แถมยังไม่รู้สึกเมารถด้วย ผิดกับตอนแรกที่กลัวๆว่าตัวเองจะเมารถเมื่อเป็นผู้โดยสารมาปายซะอีก


บ่ายสองยี่สิบหก รถตู้ก็มาจอดแวะพักที่แม่แซะ จอดพัก 15-20 นาที ก่อนจะไปต่อตามความชันของถนนข้างหน้า
ผู้โดยสารทุกคนเดินลงจากรถเพื่อยืดแข้งยืดขา รวมทั้งผมด้วย


ประมาณบ่ายสามครึ่งก็มาถึงจุดหมายที่ปาย ผมเดินไปเดินมาก่อนจะตั้งสติได้ว่าควรจะหารถมอเตอร์ไซด์เช่าดีกว่า เพราะไม่ได้แพลนที่พักมาเลย กะจะมาหาเอาที่นี่
จากข้อมูลคุณ LimitBreak ที่แนะนำไว้ว่ามีร้าน AYA ให้เช่ารถราคาไม่แพง ผมเข้าไปถามและเลือกเป็นรถฮอนด้าเวฟ 125 cc. ราคา 100 บาท/24 ชม. พร้อมมัดจำหมวกกันน็อคอีก 100 บาท จะคืนให้ตอนคืนรถ


ได้รถมาก็ตระเวนหาป้ายที่ติดประกาศที่พักในปายเยอะๆ เพื่อที่จะหาเบอร์โทรหลับฝันดีเกสท์เฮ้าส์ตามที่เขาฮิตกัน
เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่มีป้ายของหลับฝันดีฯ หาไม่เจอ เอายังไงดีหล่ะเนี่ย


จากมื้อเช้าก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากกาแฟและน้ำดื่มธรรมดา เลยหาร้านอาหารทานไปค้นหาจากเว็บในมือถือตัวเองไปท่าจะดีกว่า ซึ่งอาจจะดูยากหน่อย ร้านที่ว่านั้นเป็นร้านอื่นไปไม่ได้นอกจากร้านน้องเบียร์ที่เคยมาทานข้าวซอยทุกครั้งที่มาปาย วันนี้ร้านไม่ปิดแฮะ รีบเข้าไปสั่งดีกว่า
ทั้งร้านมีผมเป็นลูกค้าคนเดียว สงสัยยังไม่ใช่หน้าเทศกาล ผมสั่งข้าวซอยไก่มาทาน น่าทานมั๊ย ?


สุดท้ายก็หาเบอร์หลับฝันดีฯได้ แต่วันนี้ดันไม่ว่างซะนี่ เลยผิดแผน เอายังไงดี ออกตระเวนหาที่พักใหม่อีกรอบด้วยการกลับไปดูป้ายอีกครั้ง ลองโทรไปสิบสองพันนาละกันว่าว่างมั๊ย
....."วันนี้ที่พักเราเต็มครับ" เสียงตอบจากปลายสายที่ผมกำลังสนทนาอยู่ด้วย เอาหล่ะสิ 4 โมงเย็นกว่าแล้ว ต้องรีบหา สุดท้ายผมก็เพิ่งคิดได้ว่ายังมีที่พักแถบที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำปายอีกนะ งั้นไปลองสอบถามเลยละกัน ไม่โทรไปแล้ว ไปๆมาๆผมก็มาลงเอยกับ Good View Guesthouse ที่พักเดิมที่เคยใช้บริการเมื่อต้นปีที่แล้วที่มา Big Trip
"ว่างครับว่าง....เอาแบบห้องน้ำในตัวมั๊ยครับ" เสียงจากเจ้าของวัยกลางคนซึ่งผมยังจำเขาได้ พร้อมกับเดินพาเราไปดูห้องด้วยตัวเอง มีห้องว่างอยู่ 3 ห้อง สุดท้ายก็เลือกห้องนี้ 300 บาท/คืน


สภาพห้อง ผนังดูเก่าไปพอควร แต่เหนือสิ่งอื่นใด ที่นอนผ้าห่มยังสะอาดและไม่มีกลิ่น แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว


เดินมาดูบ้านพักซึ่งเมื่อปีที่แล้วเราเคยมาพักหน่อยซิ อ้อหลังนี้นี่เอง ยังอยู่ปกติสุขติดกับทุ่งนา


ยามเย็นในปายแบบนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการได้ชื่นชมบรรยากาศท้องทุ่งที่มีวัวและควายคอยเล็มหญ้าอยู่นะ


เก็บข้าวของเสร็จก็ได้เริ่มตระเวนดูเกสท์เฮ้าส์ที่อื่นๆละแวกใกล้เคียงไปเรื่อย ที่นี่ดูจะใหม่สุดและตกแต่งอย่างสวยเลยนะ อยู่ตรงทางเข้าน้ำตกแม่เย็น ขวามือ อีกไม่นานคงได้เปิดเป็นทางการ แต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร


สิ่งก่อสร้างนี้แปลกดี ลักษณะคล้ายๆโดมก่อขึ้นมา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำเพื่ออะไร


วกกลับมาเพื่อที่จะออกถนนใหญ่ ด้านขวามือจะมีเกสท์เฮ้าส์เปิดใหม่ได้ 2 อาทิตย์อีกแล้ว ชื่อ 2 my friends ราคา 150-250 บาท ใหม่และน่าพักจริงๆ เสียดายที่ผมมีที่พักแล้ว ไม่งั้นคงมาพักที่นี่ ได้มีโอกาสเข้าไปคุยกับเจ้าของคือคุณจ๋าและคุณบอล 2 คนน่าจะรุ่นเดียวกับผมซึ่งอยู่เชียงใหม่แต่สนใจมาลองเปิดเกสท์เฮ้าส์ที่นี่


บ้านพักแบบนี้น่าจะราคา 150 บาทซึ่งเป็นแบบห้องน้ำรวม


หลังจากที่คุยกับคุณจ๋าเจ้าของเกสท์เฮ้าส์ได้เกือบๆ 10 นาที ผมก็ต้องขอตัวไปชมวิวที่พระธาตุแม่เย็น เกรงว่าจะไม่ได้ทันเห็นพระอาทิตย์ตกดิน แล้วบอกว่าว่างๆแล้วจะมาทานกาแฟที่นี่
ขี่ขึ้นไปยังวัดพระธาตุแม่เย็น ทางไม่ค่อยดีนักแต่พอไปได้ พอจอดรถเสร็จ ผมก็ได้ยินเสียเพลงที่ผมคุ้นเคยมาตอน Big Trip ปีที่แล้วที่ไปวัดพระธาตุห้าดวงที่ จ.ลำพูน เสียเพลงนั้นก็คือบทสวดเจ้าแม่กวนอิมนั่นเอง โดยเป็นเสียเด็กหลายๆคนร้องประสานเสีย พลันที่ได้ยิน ผมขนลุกพร้อมๆกับนึกถึงบรรยากาศครานั้นได้ดี ตอนที่ไปเที่ยวแม่ฮ่องสอน รู้สึกอิ่มเอมในใจบอกไม่ถูก ช่างถูกจังหวะเหลือเกินที่ทางวัดเปิดบทสวดเจ้าแม่กวนอิมนี้
เข้าไปกราบพระประธานในอุโบสถก่อนครับ


มาที่จุดชมวิวเมืองปายที่วัดพระธาตุแม่เย็น ยามนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ 4-5 คนกำลังเพลิดเพลินกับเสียงเพลงเจ้าแม่กวนอิมและวิวยามเย็นของเมืองปาย เสียดายที่วันนี้และคงช่วงนี้ที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ไกลนัก พระอาทิตย์ตกยิ่งแล้วใหญ่เลย เนื่องด้วยเพราะหมอกจากไฟป่าปกคลุมเมืองน้อยๆท่ามกลางหุบเขานี้ไว้นั่นเอง จะเห้นก็แต่แสงสีส้มแดงฉาบทอท้องฟ้าก่อนความมืดจะเข้ามาปกคลุมก็เท่านั้นเอง


องค์พระธาตุแม่เย็นคราวนี้สีทองเหลืองอร่าม น่าจะมีการทาสีองค์พระธาตุไม่นานมานี้เอง


สีเหลืองทองงดงามจับใจ ข้าพเจ้าขออุทิศตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีตลอดไป


พอสิ้นแสงจากดวงอาทิตย์ ผมก็บึ่งรถมอเตอร์ไซด์ลงมาที่ตลาดเมืองปาย หิวเหลือเกิน มีอะไรทานมั่ง แต่ขอหาร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อสิ่งของในการอาบน้ำคืนนี้ก่อนนะ ระหว่างทางเจอผับเพิ่งเปิดใหม่ มีโฆษณาไปทั่วเมืองปาย Ting Tong หรือติ๊งต๊องนั่นเอง


หาอะไรทานดีนะสำหรับมื้อเย็นของวัน อ๊ะ...แวะถ่ายรูปร้านขายโปสการ์ดก่อนดีกว่า มาทุกครั้งก็ถ่ายทุกครั้งแต่ไม่เคยคิดจะซื้อสักครั้งเลย เพราะแพงเกินจริง


หลังจากตระเวนขี่ไปได้ 2 รอบในตลาดเมืองปาย สุดท้ายก็มาลงเอยมื้อเย็นนี้ที่ร้านผัดไทยครับ อร่อยดีเหมือนกัน ที่สำคัญราคาไม่แพง 20 บาทเอง ที่ร้านนี้มีฝรั่งสองคนมาทานใกล้ๆผม และถามผมเรื่อง Ting Tong ว่ามีความหมายอย่างไร ผมก็เลยตอบให้แบบมั่วๆละกันเพราะตอบยากชะมัด แต่ฝรั่งน่าจะเข้าใจนะ
ขอลาจบวันนี้แค่นี้ละกันครับ แล้วไว้ติดตามตอนสุดท้ายคือตอนที่สองในวันพรุ่งนี้วันเดินทางกลับครับ แต่ก็ยังได้เที่ยวก่อนบ่ายสามโมง ขอขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมและอ่านเรื่องราวนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)

Original Published on http://www.pantip.com on [ 15 มี.ค. 50 22:46:02 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น