วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2550

ปาย กับวันเหงาๆ ตอน 2 ตระเวนสำรวจเกสเฮ้าส์และสถานที่อื่นๆในเมืองปายก่อนกลับกทม.ช่วงเย็น [วันกลับ]


เมื่อคืนนี้หลังจากที่อาบน้ำภายใต้อากาศที่หนาวๆจากการที่ห้องน้ำเปิดโล่งแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรจะทำ วันนี้ก็เหนื่อยมามากเหมือนกัน คงถึงเวลาแล้วที่จะพักผ่อนเอนกายลงกับเตียงอันนุ่มๆเตียงนี้ 
ผมนอนหนาวเหน็บภายใต้ผ้าห่มที่ห่อหุ้มร่างกายเพียงผืนเดียว ซึ่งจริงๆแล้วก็น่าจะหายหนาวเนื่องจากเป็นผ้านวมอันหนา แต่อาจเป็นเพราะคืนนี้ลมพัดโชยมาแรงทำให้ได้รับอิทธิพลจากอากาศภายนอกห้อง แม้ว่าในห้องไม่ได้เปิดพัดลมก็ตาม ระหว่างคืนเสียงประตู้ห้องน้ำดังขึ้นเป็นจังหวะ 10-20 นาที เนื่องจากมันไม่มีที่ปิดจากข้างในห้อง ทุกครั้งที่ดังประตูก็จะเปิดแง้มออกมาพร้อมกับลมเบาหนาวๆตามเข้ามาด้วย ผมเสียเวลาอยู่หลายครั้งในการลุกขึ้นไปปิดจนเช้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


ผมลุกขึ้นมาตอนประมาณเกือบ 6 โมงเช้าเนื่องจากหนาวจนสั่นจริงๆ ไหนๆก็ลุกมาจากเตียงแล้ว เลยจับกล้องไปออกกำลังกายตอนเช้าที่นอกห้องกันหน่อย
หมอกที่เห็นคงไม่ต้องบอกอะไรมาก ว่าเช้าวันใหม่นี้ คงหาดวงอาทิตย์ได้ค่อนข้างยาก


ต่อจากนั้นผมก็กลับไปนอนต่อ เนื่องจากเมื่อคืนลุกขึ้นไปปิดประตู้ห้องน้ำหลายครั้งทีเดียว ตื่นมาอีกทีก็เกือบ 8 โมงเช้า มีเสียงคนมาทำงานข้างๆบ้านพักผมแล้วหล่ะ เช้าวันใหม่คงเริ่มต้นจริงๆแล้ว
อีกฝั่งหนึ่งของถนนเยื้องๆออกไปเป็นเกสท์เฮ้าส์อีกที่หนึ่งราคาไม่แพงเหมือนกัน ชื่อว่าบ้านปลายนา ปีที่แล้วเคยอยู่ในลิสต์ผมตอนที่จะมาแวะพักที่ปาย แต่ด้วยเหตุบางอย่างหลังจากที่ได้โทรคุยกับเจ้าของ เลยขอไม่พักจะดีกว่า


ผมจัดแจงอาบน้ำแปรงฟันและเก็บสัมภาระทั้งหมดลงในเป้ใบเดียว ทิ้งไว้เพียงสบู่ที่ซื้อมาจากร้านเซเว่นเมื่อวานไว้ที่นี่ เสร็จแล้วจึงไปคืนกุญแจกับเจ้าของด้านหน้าพร้อมชำระเงิน 300 บาท และขอฝากเป้สีแดงของผมไว้ที่นี่ก่อน แล้วจะกลับมาเอาอีกทีตอนช่วงบ่ายๆ ซึ่งเจ้าของก็น่ารักมาก ยินดีรับฝากให้ไม่มีปัญหา ต่อจากนั้นผมก็บึ่งรถไปทานกาแฟสดร้อนๆ ที่ 2 my friends ตามที่ได้สัญญาไว้ว่าจะมาทาน
เจอกับเจ้าถิ่นหมาของเจ้าของตัวนี้น่ารักจริงๆ ชิสุตัวน้อย


ตอนนี้ก็เกือบจะ 11 โมงแล้ว หมอกไฟป่าที่ปกคลุมก็ยังไม่จางหายไปจากเมืองปายแห่งนี้เลย


แต่ไม่เป็นไร เราฆ่าเวลาด้วยการสนทนากับเจ้าของเกสท์เฮ้าส์คุณจ๋าและคุณบอล ไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับจิบกาแฟเอสเปรสโซ่ร้อนไปพลางๆ  พอได้ที่แล้วก็ขอลากลับ เพราะผมต้องไปตระเวนตามสถานที่อื่นๆในเมืองปายด้วย


สะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำปาย เมื่อครั้งโดนน้ำป่าไหลหลากพัดกระหน่ำ(รู้สึกจะช่วงเดือนต.ค. 48)ยังซ่อมใหม่ไม่เสร็จ เลยให้ใช้ทางฝุ่นด้านล่างเบี่ยงไปก่อน ไม่แปลกใจเลยที่คนเมืองปายกินฝุ่นไปหลายกรัม


ตอนสายๆของวันนี้ก็คงต้องเดินสำรวจรีสอร์ท เกสท์เฮ้าส์เก๋กันบ้างหล่ะ


ณ ปลายสุดถนนทางไปริมปาย คอทเทจ ก็จะมีสะพานไม้ไผ่สานข้ามแม่น้ำปายไปสู่เกสท์เฮ้าส์อีกหลายๆที่ที่ราคาไม่แพงเลยทีเดียว ดูได้จากป้ายที่ติดตามทางเดินและสะพานเต็มไปหมด


เกสท์เฮ้าส์ที่ปายส่วนใหญ่ก็จะสร้างง่ายๆเป็นแบบกระต๊อบ เรียงรายตามริมแม่น้ำปาย ลูกค้าคนสำคัญก็คือชาวต่างชาติ


แม่น้ำปายยามนี้เหือดแห้งไปพอประมาณ หน้าแล้งจะใกล้เข้ามาแล้ว มองลงไปจะเห็นตระไคร่น้ำสีเขียวอื๋ม


เดินข้ามฝั่งไป ก็จะเจอกับเกสท์เฮ้าส์หลายรายมาเปิดบริการอยู่ บางรายก็มีบริการเช่าเต็นท์กางติดถึงริมแม่น้ำปายเลยนะเนี่ย


เดินมข้ามแม่น้ำกลับมาฝั่งเดิมแต่เป็นคนละสะพาน มีรีสอร์ทใหม่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดเลย ตกแต่งซะอย่างหรูหราเลยเชียว มาปายแล้วมาพักแบบนี้ อย่ามาดีกว่านะ


นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีป้ายที่พักติดประกาศอยู่ สะพานไม้ไผ่นี้เป็นสะพานที่สองซึ่งอยู่ตรงกลาง โดยมีอีก 2 สะพานขนานข้าง รวมแล้วเป็น 3 สะพานที่ข้ามลำน้ำปายไปอีกฝั่งหนึ่ง


เจอแล้ว เจ้าหลับฝันดีฯ แหม...เมื่อวานไม่ว่าง บอกว่าว่างวันนี้ แล้วใครจะไปพักหล่ะครับ วันอาทิตย์หน่ะ ถ่ายมาเพราะเจ็บใจ


เที่ยงครึ่งแล้ว หาอะไรทานดีกว่า เมนูที่ผุดขึ้นมาในใจคือ ส้มตำไก่ย่างหน้าอำเภอนั่นเอง งั้นเราไปตามลายแทงละกัน หาไม่ยากก็อยู่ตรงกันข้ามกับที่ทำการอำเภอปายยังไงหล่ะ
มื้อนี้สั่ง ส้มตำปู ไก่ย่าง ข้าวเหนียว 1 กระติ๊บ รู้สึกราคาจะเป็น 30 30 5 รวมแล้ว 65 บาท รสชาติใช้ได้


จากนั้นจึงขี่ออกจากเมืองปายวนมาทางถนนรอบนอกไปทางรพ.ปาย จุดหมายคือหมู่บ้านสันติชล หมู่บ้านจีนยูนนานและน้ำตกหมอแปง แต่สักพักก็มาเจอกับ 4 แยกใหม่ไม่เคยเห็นมาก่อน คงจะทำทางตัดใหม่ ผมเดาว่าน่าจะเป็นถนนบายพาสไม่ผ่านตัวเมืองปาย


ก่อนไปวัดน้ำฮู แวะถ่ายกับป้ายเก๋ๆของบ้านน้ำฮูบังกะโลก่อน คนทำเข้าใจคิดจัง


มาถึงวัดน้ำฮู เข้าไปกราบหลวงพ่ออุ่นเมืองกันครับ หลวงพ่ออุ่นเมืองจะอยู่องค์กลาง ไม่ใช่องค์ใหญ่นะครับ ที่แปลกคือจะมีน้ำออกมาจากเศียรหลวงพ่อตลดเวลา เป็นน้ำซึมๆนะครับ ผมเองก็ได้ดื่มมาแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ได้ดื่มครับ


ออกมาภายนอกอุโบสถ ไมลืมที่จะถ่ายรังผึ่งที่มาทำรังตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมมาใต้หลังคาอุโบสถ


ที่วัดนี้ก็จะมีพระเจดีย์พระสุพรรณกัลยาด้วยนะครับ


ทางเจ้าหน้าที่วัดได้เล่าว่า มีคนค้นพบอุโบสถร้างนี้มาตั้งนานแล้ว เป็นวัดในยุคสมเด็จพระนเรศวรมหาราช


บ่ายโมงเกือบครึ่งก็บึ่งไปต่อที่บ้านสันติชล หมู่บ้านจีนยูนนาน ปลายปี 46 ยังไม่มีแบบนี้เลย


มาเจออาม่าแก่ๆนั่งขายอะไรสักอย่างอยู่หน้าร้าน


นักท่องเที่ยวมีประปราย ไม่เยอะมากมายอะไร พอที่จะหาวิวสวยๆถ่ายรูปได้


บ้านดิน ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวจีนยูนนาน แบบเดียวกับบ้านรักไทยที่แม่ฮ่องสอน


เครื่องเล่นโล้ชิงช้าตามแบบดั้งเดิม


ต่อจากนั้นก็ไปยังน้ำตกหมอแปง ที่ที่เราเคยขับรถมากันตอนปี 46 ครั้งนั้นยังจำได้ว่า ทางที่เป็นคอนกรีตสิ้นสุดเพียงต้นไม้ด้านซ้ายมือนี้ แต่มาบัดนี้เขาได้ทำทางเป็นคอนกรีตทั้งหมดแล้ว โดยดูได้จากรอยต่อของคอนกรีตตามเส้นขวางๆด้านหน้า


มาครั้งนี้แสนสะดวกสบายเสียจริงๆ ขี่มาถึงทางลงไปน้ำตกเลย ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ต้องจอดรถเก๋งแล้วเดินมาร่วมกิโลเพื่อขึ้นมายังน้ำตกหมอแปง ร้อนก็ร้อน ฝุ่นก็เยอะ ช่างเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ


มาถึงแล้วน้ำตกหมอแปง น้ำตกที่ไม่ค่อยจะมีน้ำเท่าไหร่ คนที่มาเที่ยวก็เป็นชาวบ้านที่นี่คือชาวมูเซอ หรือไม่ก็ชาวต่างชาติไปเลย


ผมเดินลงมายังโขดหินอันแสนลื่น ก่อนเดินมามีป้ายปักอย่างชัดเจนว่าให้ระวังลื่นไหล ผมนั่งพิเคราะห์อยู่นานสองนานว่าจะเดินลงไปด้านล่างตามโขดหินดีหรือไม่ เนื่องจากตำแหน่งที่ผมอยู่นั้นสูงพอควร คิดไปคิดว่าก็ต้องรอบคอบ เดินลงไปตามก้อนหินที่ชันน้อยที่สุด สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่แหม....พอจะเดินต่อไปยังพื้นราบที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ๆ ดันมีผลของต้นดังกล่าวหล่นลงมาโดนตาขวาผม เลยมึนไปเหมือนกัน ยังเจ็บๆตาอยู่ไม่หายตลอดทั้งวันนี้เลย(วันที่ 11) สุดท้ายผมก็ต้องเดินกลับขึ้นไปต่อ เกรงว่าจะนานเกินไปที่จะไปดูในจุดๆอื่น


ผมขี่กลับมาจะเข้าเมืองปาย ใจจริงอยากไปต่อที่โป่งน้ำร้อนท่าปาย แต่ดูเวลาแล้วคงไม่ทัน เลยต้องรีบกลีบ เจอท่าอากาศยานปายด้านซ้ายมือ มีเครื่องบินของ SGA กำลังจอดรออะไรอยู่ แน่นอนว่าผมแวะเข้าไปดู โชคดีที่เป็นจังหวะที่เครื่องบินจะเทคออฟออกจากปายกลับเชียงใหม่พอดี เลยรอเก็บภาพตอนเครื่องขึ้น


ในที่สุดก็ได้ช็อตเด็ดๆแบบนี้โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเจอที่ปาย จับภาพได้ตอนเครื่องกำลังเทคออฟ เร็วมาก ถ้าพลาดช็อตนี้แล้วพลาดเลย ไปโฟกัสอีกทีก็บินหนีไปไกลแล้ว ภาพนี้จึงเป็นภาพที่ไม่ง่ายและไม่ยากสำหรับมือกล้องสมัครเล่นแบบผมจริงๆ


ผมขับเลี้ยวซ้ายก่อนที่จะถึงทางไปตลาดปาย เพื่อจงใจที่จะผ่านที่ Bell Villa บ้านกระทิง และสิบสองพันนา แต่ไม่ได้เก็บภาพเอาไว้ เนื่องจากผมเองไม่ชอบอยู่แล้วที่มีรีสอร์ทคืนละ 2000-3000 บาท/คืน ในเมืองชนบทแบบนี้ที่ปาย มันไม่น่าจะคู่ควรกันเท่าไหร่
ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำปายไม่รู้กี่สะพานแล้ว ชักเริ่มหลงแล้วด้วย ทำไมเตลิดไปไกลจัง


ขี่มาถึงกับต้องเบรคตัวโก่งเพื่อหยุดถ่ายรูปกับรีสอร์ทเปิดใหม่หรูๆอยู่ติดถนนเลย มีเพียงก็บ่อน้ำกั้นไว้เท่านั้น อะไรมันจะมีรีสอร์ทผุดขึ้นกันมากมายอย่างนี้นะ


ผมขี่ไปได้สักพัก ชักสงสัยว่าทำไมมันไกลออกไปทุกที ทำไมไม่เจอถนนเลียบแม่น้ำปายสักทีหล่ะเนี่ย ขี่ไปมองนาฬิกาไป อ้าว....เหลืออีก 20 นาที บ่ายสามโมง ผมจองรถตู้ขากลับรอบนี้ไไว้ซะด้วย ซวยหล่ะสิ จะไปทันหรือเปล่า ไหนจะต้องไปเอาเป้ที่ฝากไว้ด้วย แล้วกลับมาคืนรถและไปที่ท่ารถอีกที เฮ้อ.....เอาน่า จนสุดท้ายรถวกกลับมาออกที่ถนน 1095 อีกครั้งคราวนี้หลักกม.บอกไปปางมะผ้ากับแม่ฮ่องสอน เออ.....ผิดทางจริงๆด้วยแฮะ เลยย้อนกลับอีกที คราวนี้รีบบึ่งแมงกะไซด์แบบเร่งสุดๆกลับมาที่ท่ารถก่อนเลย ด๔นาฬิกาเหลืออีก 10 นาที รีบเข้าไปบอกนายท่าว่าให้รถตู้รอผมด้วย จะไปเอาเป้กับรถไปคืนเดี๋ยวมา น่าจะโอเคแล้ว
จนสุดท้ายจริงๆ พอไปเอาเป้กับมือถือที่ฝากชาร์จไว้แล้วรีบขี่มาคืนรถที่ร้าน พร้อมกับเงินประกันหมวกกันน็อคคืน 100 บาท แล้วก็เดินมาที่ท่ารถซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก รถตู้ขับเข้ามาพอดี ดีใจแทบแย่ แต่ก็เสียเวลารออีกเกือบ 10 นาทีถึงจะออก ยังไงซะก็ถือได้ว่าทันเวลาจริงๆ
ผมกลับรถตู้แต่รถเมลแดงแบบนี้ก็มีออกแต่ออกอีกครึ่งชม. คงเสียเวลาน่าดู


รถเดินทางออกจากเมืองปายกลับสู่ชีวิตเมืองที่เชียงใหม่อีกครั้ง ระหว่างทางเจอหลายโค้งแต่ก็ไม่เมาแต่อย่างใด เกินครึ่งทางก็แซงรถกระบะที่บรรทุกหอมไปส่งในตัวเมือง กลิ่นเข้ามาทางช่องแอร์แต่ไกล หัวหอมก็เป็นหัวหอมที่ปลูกจากปายนี่แหล่ะ จะปลูกที่ไหน


ผมมาถึงอาเขต 6 โมงเย็นพอดี รถตู้ใช้เวลาเดินทางจากปายมาอาเขต เชียงใหม่ 3 ชม.ทั้งไปและกลับเลย ชักเริ่มหิวแล้ว เดินหาร้านที่ดูน่าทานเข้าไปสั่งอะไรมาทานดีกว่า แล้วก็มานั่งร้านนี้ สั่งข้าวหมูกรอบกับไข่ต้มด้วย เครื่องดื่มเป็นโค้กกับน้ำแข็ง 1 แก้ว ลงตัวมาก อาหารรสชาติใช้ได้เลย


ทานข้าวเสร็จก็ย้ายไปนั่งรอรถที่เคาน์เตอร์นครชัยแอร์ แปลกมากๆที่มีเครื่องโหลดกระเป๋าและครื่องสแกนด้วย ทำอย่างกับเครื่องบินแหน่ะ ครั้งแรกที่เคยขึ้นเลยนะเนี่ย


อ้า....ใกล้เวลา 20:30 น. รอบเดินทางของเราแล้ว เตรียมขึ้นเครื่อง เอ้ย....ขึ้นรถโลดดดด


ระหว่างที่รอรถอยู่นั้น ผมได้ซื้อหนังสืออสท.ฉบับเดือนมีนาคมมาอ่าน เห็นรูปหน้าปกก็ถูกใจแล้ว เลยตัดสินใจซื้ออย่างไม่ลังเล เวลานั่งบนรถเลยหยิบมาอ่านพลางๆ เป็นนัยๆว่า "แล้วเจอกันนะ หลีเป๊ะ...เกาะสวาท หาดสวรรค์ รอบ 2" 
ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาติดตามชมจนจบ 2 ตอนครับ มีอะไรก็ติชมกันได้ ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)

Original Published on http://www.pantip.com on [ 16 มี.ค. 50 22:57:01 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น