เมื่อคืนนี้หลังจากที่อาบน้ำภายใต้อากาศที่หนาวๆจากการที่ห้องน้ำเปิดโล่งแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรจะทำ วันนี้ก็เหนื่อยมามากเหมือนกัน คงถึงเวลาแล้วที่จะพักผ่อนเอนกายลงกับเตียงอันนุ่มๆเตียงนี้
ผมนอนหนาวเหน็บภายใต้ผ้าห่มที่ห่อหุ้มร่างกายเพียงผืนเดียว ซึ่งจริงๆแล้วก็น่าจะหายหนาวเนื่องจากเป็นผ้านวมอันหนา แต่อาจเป็นเพราะคืนนี้ลมพัดโชยมาแรงทำให้ได้รับอิทธิพลจากอากาศภายนอกห้อง แม้ว่าในห้องไม่ได้เปิดพัดลมก็ตาม ระหว่างคืนเสียงประตู้ห้องน้ำดังขึ้นเป็นจังหวะ 10-20 นาที เนื่องจากมันไม่มีที่ปิดจากข้างในห้อง ทุกครั้งที่ดังประตูก็จะเปิดแง้มออกมาพร้อมกับลมเบาหนาวๆตามเข้ามาด้วย ผมเสียเวลาอยู่หลายครั้งในการลุกขึ้นไปปิดจนเช้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
หมอกที่เห็นคงไม่ต้องบอกอะไรมาก ว่าเช้าวันใหม่นี้ คงหาดวงอาทิตย์ได้ค่อนข้างยาก
ต่อจากนั้นผมก็กลับไปนอนต่อ เนื่องจากเมื่อคืนลุกขึ้นไปปิดประตู้ห้องน้ำหลายครั้งทีเดียว ตื่นมาอีกทีก็เกือบ 8 โมงเช้า มีเสียงคนมาทำงานข้างๆบ้านพักผมแล้วหล่ะ เช้าวันใหม่คงเริ่มต้นจริงๆแล้ว
อีกฝั่งหนึ่งของถนนเยื้องๆออกไปเป็นเกสท์เฮ้าส์อีกที่หนึ่งราคาไม่แพงเหมือนกัน ชื่อว่าบ้านปลายนา ปีที่แล้วเคยอยู่ในลิสต์ผมตอนที่จะมาแวะพักที่ปาย แต่ด้วยเหตุบางอย่างหลังจากที่ได้โทรคุยกับเจ้าของ เลยขอไม่พักจะดีกว่า
เจอกับเจ้าถิ่นหมาของเจ้าของตัวนี้น่ารักจริงๆ ชิสุตัวน้อย
ตอนนี้ก็เกือบจะ 11 โมงแล้ว หมอกไฟป่าที่ปกคลุมก็ยังไม่จางหายไปจากเมืองปายแห่งนี้เลย
แต่ไม่เป็นไร เราฆ่าเวลาด้วยการสนทนากับเจ้าของเกสท์เฮ้าส์คุณจ๋าและคุณบอล ไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับจิบกาแฟเอสเปรสโซ่ร้อนไปพลางๆ พอได้ที่แล้วก็ขอลากลับ เพราะผมต้องไปตระเวนตามสถานที่อื่นๆในเมืองปายด้วย
ณ ปลายสุดถนนทางไปริมปาย คอทเทจ ก็จะมีสะพานไม้ไผ่สานข้ามแม่น้ำปายไปสู่เกสท์เฮ้าส์อีกหลายๆที่ที่ราคาไม่แพงเลยทีเดียว ดูได้จากป้ายที่ติดตามทางเดินและสะพานเต็มไปหมด
เดินข้ามฝั่งไป ก็จะเจอกับเกสท์เฮ้าส์หลายรายมาเปิดบริการอยู่ บางรายก็มีบริการเช่าเต็นท์กางติดถึงริมแม่น้ำปายเลยนะเนี่ย
มื้อนี้สั่ง ส้มตำปู ไก่ย่าง ข้าวเหนียว 1 กระติ๊บ รู้สึกราคาจะเป็น 30 30 5 รวมแล้ว 65 บาท รสชาติใช้ได้
มาถึงวัดน้ำฮู เข้าไปกราบหลวงพ่ออุ่นเมืองกันครับ หลวงพ่ออุ่นเมืองจะอยู่องค์กลาง ไม่ใช่องค์ใหญ่นะครับ ที่แปลกคือจะมีน้ำออกมาจากเศียรหลวงพ่อตลดเวลา เป็นน้ำซึมๆนะครับ ผมเองก็ได้ดื่มมาแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ได้ดื่มครับ
ทางเจ้าหน้าที่วัดได้เล่าว่า มีคนค้นพบอุโบสถร้างนี้มาตั้งนานแล้ว เป็นวัดในยุคสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
นักท่องเที่ยวมีประปราย ไม่เยอะมากมายอะไร พอที่จะหาวิวสวยๆถ่ายรูปได้
ต่อจากนั้นก็ไปยังน้ำตกหมอแปง ที่ที่เราเคยขับรถมากันตอนปี 46 ครั้งนั้นยังจำได้ว่า ทางที่เป็นคอนกรีตสิ้นสุดเพียงต้นไม้ด้านซ้ายมือนี้ แต่มาบัดนี้เขาได้ทำทางเป็นคอนกรีตทั้งหมดแล้ว โดยดูได้จากรอยต่อของคอนกรีตตามเส้นขวางๆด้านหน้า
มาครั้งนี้แสนสะดวกสบายเสียจริงๆ ขี่มาถึงทางลงไปน้ำตกเลย ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ต้องจอดรถเก๋งแล้วเดินมาร่วมกิโลเพื่อขึ้นมายังน้ำตกหมอแปง ร้อนก็ร้อน ฝุ่นก็เยอะ ช่างเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ
ผมขี่กลับมาจะเข้าเมืองปาย ใจจริงอยากไปต่อที่โป่งน้ำร้อนท่าปาย แต่ดูเวลาแล้วคงไม่ทัน เลยต้องรีบกลีบ เจอท่าอากาศยานปายด้านซ้ายมือ มีเครื่องบินของ SGA กำลังจอดรออะไรอยู่ แน่นอนว่าผมแวะเข้าไปดู โชคดีที่เป็นจังหวะที่เครื่องบินจะเทคออฟออกจากปายกลับเชียงใหม่พอดี เลยรอเก็บภาพตอนเครื่องขึ้น
ในที่สุดก็ได้ช็อตเด็ดๆแบบนี้โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเจอที่ปาย จับภาพได้ตอนเครื่องกำลังเทคออฟ เร็วมาก ถ้าพลาดช็อตนี้แล้วพลาดเลย ไปโฟกัสอีกทีก็บินหนีไปไกลแล้ว ภาพนี้จึงเป็นภาพที่ไม่ง่ายและไม่ยากสำหรับมือกล้องสมัครเล่นแบบผมจริงๆ
ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำปายไม่รู้กี่สะพานแล้ว ชักเริ่มหลงแล้วด้วย ทำไมเตลิดไปไกลจัง
ขี่มาถึงกับต้องเบรคตัวโก่งเพื่อหยุดถ่ายรูปกับรีสอร์ทเปิดใหม่หรูๆอยู่ติดถนนเลย มีเพียงก็บ่อน้ำกั้นไว้เท่านั้น อะไรมันจะมีรีสอร์ทผุดขึ้นกันมากมายอย่างนี้นะ
จนสุดท้ายจริงๆ พอไปเอาเป้กับมือถือที่ฝากชาร์จไว้แล้วรีบขี่มาคืนรถที่ร้าน พร้อมกับเงินประกันหมวกกันน็อคคืน 100 บาท แล้วก็เดินมาที่ท่ารถซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก รถตู้ขับเข้ามาพอดี ดีใจแทบแย่ แต่ก็เสียเวลารออีกเกือบ 10 นาทีถึงจะออก ยังไงซะก็ถือได้ว่าทันเวลาจริงๆ
ผมกลับรถตู้แต่รถเมลแดงแบบนี้ก็มีออกแต่ออกอีกครึ่งชม. คงเสียเวลาน่าดู
รถเดินทางออกจากเมืองปายกลับสู่ชีวิตเมืองที่เชียงใหม่อีกครั้ง ระหว่างทางเจอหลายโค้งแต่ก็ไม่เมาแต่อย่างใด เกินครึ่งทางก็แซงรถกระบะที่บรรทุกหอมไปส่งในตัวเมือง กลิ่นเข้ามาทางช่องแอร์แต่ไกล หัวหอมก็เป็นหัวหอมที่ปลูกจากปายนี่แหล่ะ จะปลูกที่ไหน
ผมมาถึงอาเขต 6 โมงเย็นพอดี รถตู้ใช้เวลาเดินทางจากปายมาอาเขต เชียงใหม่ 3 ชม.ทั้งไปและกลับเลย ชักเริ่มหิวแล้ว เดินหาร้านที่ดูน่าทานเข้าไปสั่งอะไรมาทานดีกว่า แล้วก็มานั่งร้านนี้ สั่งข้าวหมูกรอบกับไข่ต้มด้วย เครื่องดื่มเป็นโค้กกับน้ำแข็ง 1 แก้ว ลงตัวมาก อาหารรสชาติใช้ได้เลย
ระหว่างที่รอรถอยู่นั้น ผมได้ซื้อหนังสืออสท.ฉบับเดือนมีนาคมมาอ่าน เห็นรูปหน้าปกก็ถูกใจแล้ว เลยตัดสินใจซื้ออย่างไม่ลังเล เวลานั่งบนรถเลยหยิบมาอ่านพลางๆ เป็นนัยๆว่า "แล้วเจอกันนะ หลีเป๊ะ...เกาะสวาท หาดสวรรค์ รอบ 2"
ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาติดตามชมจนจบ 2 ตอนครับ มีอะไรก็ติชมกันได้ ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น