เอาหล่ะครับ เจอโปรแบบนี้จะพลาดไปได้ไง โปรบางกอกแอร์เวย์สนี่ชอบมาช่วงนี้นะครับ ครั้งที่แล้วปีก่อนก็มาแบบนี้ครบรอบ 45 ปี เราก็จองไปมัลดีฟส์ทีหนึ่งแล้ว มาครั้งนี้ก็หลวมตัวเอากะเขาด้วย แต่ด้วยคะแนน FlyerBonus ที่มีอยู่ไม่มาก เลยไปได้คะแนนจากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการมาเพิ่มขึ้นด้วย ถึงจะลงตัวได้คะแนนพอมาแล้วครับ ผมใช้ทั้งคะแนนบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพที่เหลืออยู่ 8 พันกว่าคะแนนและไป 7,500 คะแนน กับคะแนนจากบัตรเครดิต KTC เข้ามาร่วมอีกใบ จนสุดท้ายก็นำมาแลกตั๋วไปกลับจนได้
คราวนี้มาถึงจุดหมายที่เราจะไปเที่ยวกันแล้ว เนื่องจากเส้นทางภายในประเทศใช้คะแนนเพียง 50 คะแนน FlyerBonus ก็สามารถบินไปได้แล้ว แต่ถ้าเส้นทางต่างประเทศจะต้องใช้คะแนน 75, 100, 125 ขึ้นอยู่กับประเทศที่ไปใกล้ไกล เราจึงเลือกเส้นทางภายในประเทศและก็มาลงตัวที่เกาะสมุย สถานที่ที่เราทั้งสองยังไม่เคยไปเที่ยวกัน แต่ด้วยเวลาที่จำกัดและเที่ยวบินที่จะจองนั้นเจอคนใช้โปรเยอะมาก ทำให้เราไม่สามารถจองไปและกลับในเที่ยวเดียวกันได้ โดยขาไปผมต้องไปก่่อนเที่ยว 6 โมงเช้า จ๊ะเอ๋ไป 9 โมงเช้า ดูสิครับ...ขาไปยังห่างกันตั้ง 3 ชั่วโมง ส่วนขากลับก็ห่างกันลดลงมาหน่อยคือ 1 ชั่วโมง 40 นาที แต่ขากลับมีเซอร์ไพรซ์ครับ เดี๋ยวค่อยบอก
โดยเงินที่ต้องจ่ายจริงๆซึ่งเรียกว่าค่าธรรมเนียมในการใช้แต้ม FlyerBonus แลกนั้นเท่ากับ 1,700 บาท/คน (ไป-กลับ) ทำให้ประหยัดไปได้เยอะเลยครับ ถ้าเสียราคาเต็มๆ เราคงไม่ได้บินกับบางกอกแอร์เวย์สแน่ๆ
ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้ครับ
วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม 2557
วันนี้เราตื่นเช้ามาก ตื่นตี 4 เพื่อเตรียมตัวออกจากบ้านตี 4 ครึ่งโดยใช้เวลาเดินทางจากบ้านมาที่สนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 20-30 นาที เพื่อมาเช็คอินตอนตี 5 โดยไฟล์ทบินตอน 6 โมงเช้า มาถึงเกต 4 ตั้งแต่ไก่โห่เชียว ฟ้ายังไม่สว่างเลยครับ แต่เอ...ไหนว่าจะมีอาหารจากเล้านจ์ที่กำลังปรับปรุงมาเสริฟบริเวณที่นั่งเลยหล่ะครับ ปรากฎว่าไม่มีนะครับ ยกเลิกตอนไหนก็ไม่รู้ เปลี่ยนเป็นที่เกต 7 เกตเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าบริการยังไม่ดีเหมือนเดิม ตั้งใจจะมาทานข้าวต้มมัดซะหน่อย ตอนเดือนกันยายนปีที่แล้วได้ทานที่เล้านจ์แล้ว วันนี้จะมาลองอีกครั้งซะหน่อยเลยอดไม่ได้ทานเลย เรียกได้ว่าคุณเปลี่ยนระบบได้แย่ครับ ลูกค้าไม่ทราบเลย
6.20 น. เครื่องบินไต่ระดับได้แล้ว แสงยามเช้าสาดส่องมาถือเป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่สดใส
ตอนแรกคิดว่าไฟล์ทเช้าแบบนี้ไม่เสริฟอาหารเช้า แต่ที่ไหนได้ เสริฟครับ หน้าตาเป็นอย่างที่เห็น คือคัวซองแฮมชีส น้ำส้ม ขนมคล้ายๆโยเกิร์ตบลูเบอรี่ ผลไม้เป็นแตงโมและสัปรดหั่นแบบลูกเต๋า พร้อมกับขอกาแฟร้อน 1 ถ้วย ได้แต่กาแฟดำจริงๆครับ ไม่ได้นมกับน้ำตาลมาด้วย สงสัยผมผิดเองไม่ได้ขอ(แต่จริงๆก็น่าจะถามเนอะ)
บินไม่ถึงชั่วโมงเลย ประมาณ 6.50 น. เครื่องบินก็เริ่มลดระดับเตรียมที่จะแลนดิ้งแล้ว เกาะสุมยในมุม Bird's Eye View ครับ เตรียมที่จะอ้อมซ้ายไปตามเกาะ
ได้มุมนี้มา มองเห็นพระใหญ่ๆ ตั้งอยู่ริมทะเล แต่ยังไม่ทราบหรอกว่าพระอะไร ต้องมาเที่ยวให้ได้นึกในใจ
ได้เวลาลงจากเครื่องแล้วครับ ชอบที่มีบันไดให้คนลงได้ทั้ง 2 ทาง ไม่เหมือนแอร์เอเชียครับ ไม่ยอมให้ลงทางด้านหลัง ซึ่งช่วงแรกๆยังสามารถลงได้อยู่นะครับ
นั่งรถสนามบินมาลงที่ฮอลล์ขาเข้า ซึ่งจะให้เดินก็คงได้นะครับไม่ไกลมาก รถแบบนี้คลาสสิคดีครับ เหมือนนั่งในสวนสนุกเลย
ออกมาก็มารอรับกระเป๋าที่สายพานอันที่ 1 ผมได้ยินเสียงร่ำลือถึงการตกแต่งสนามบินสมุยไว้แบบบูทีคมาแล้ว ซึ่งมาพบเจอกับตัวก็ชอบครับ ไม่เหมือนสนามบินอื่นๆในประเทศ ออกแนวๆ ดี
รับกระเป๋าเสร็จผมต้องรอจ๊ะเอ๋ที่จะบินตามมาอีก 3 ชั่วโมง โอววว......ช่างนานมากจริงๆ จะทำอะไรดีเนี่ย ซึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ เดินไปเดินมา สำรวจไปเรื่อย เสียดายที่ขาเข้ากับขาออกอยู่ห่างกัน ต้องใช้เวลาเดินไป เลยไม่ได้ไปดูที่ขาออกเลย แอร์ก็ไม่มีนะครับ เขาทำแบบเปิดโล่ง ไม่ใช้แอร์เลย ซึ่งร้อนมากๆ แม้ว่าจะตอน 7 โมงเช้าก็ตาม!
ไปดูที่ห้องน้ำกันครับ มีตู้ปลาด้วย แปลกดี ส่วนห้องน้ำก็เย็นเพราะติดแอร์!....แปลกมั้ยครับ อาคารผู้โดยสารไม่ติดแอร์แต่ห้องน้ำติดแอร์
รอไปรอมาก็ถึงเวลาที่จ๊ะเอ๋บินมาถึงแล้ว เราไปติดต่อรถมินิบัสเข้าที่พักที่เคาน์เตอร์นี้กัน ราคาเริ่มต่ำสุดก็ 100 บาท/คน ไปวัดพระใหญ่ จากนั้นก็ราคา 130 บาท/คน ไปหาดเฉวง ซึ่งที่พักเราอยู่หาดนี้ครับ ดังนั้นเราต้องจ่ายเงินค่ารถมินิบัสทั้งสิ้น 130 X 2 = 260 บาท ซึ่งรถมินิบัสที่ว่า ก็คือรถตู้ดีๆนี่เองครับ โธ่...พอเราเห็นว่าเป็นรถตู้เราก็หันมายิ้มกัน แหม...ใช้คำซะหรูเลยนะ
ป้ายยินดีต้อนรับสู่สนามบินสมุยครับ
รถตู้ที่เราขึ้นมาเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติซะ 9 คน อีก 2 คนคือเราคนไทยทั้งคู่ รถลัดเลาะส่งนักท่องเที่ยวทีละคนสองคน ตอนแรกเราคิดว่าจะถึงที่พักเราก่อนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆซะอีก แต่กลายเป็นว่ามาส่งเราเกือบเป็นกรุ๊ปสุดท้าย ถึงแล้วครับ ด้านหน้าที่พักเรา บ้านทะเล รีสอร์ท (Baan Talay Resort)
เราจองที่พักด้วยเว็บเดิมคือ Agoda เพราะสะสมคะแนนได้ (แม้ว่าขณะนี้ไม่ได้คะแนนจากการรีวิวที่พักแล้วก็ตาม) ราคาต่อคืน 2,058.30 บาท ได้คะแนนรีวิวสูงจากคนที่ไปพักมาแล้วครับ ระยะห่างจากสนามบินสมุยคือ 5 กม.
ด้านซ้ายมือคือที่เล่นอินเตอร์เน็ต และที่นั่งพัก ส่วนด้านขวามือที่เป็นห้องกระจก(แคบมากๆ) คือเคาน์เตอร์เช็คอินครับ
เราเช็คอินเสร็จเจ้าหน้าที่ก็พาเรามาที่ห้องพักเลย ได้บ้าน 31 เกือบสุดท้ายติดกับถนนเลยครับ ตอนแรกคิดว่าจะต้องให้รอจนถึงเวลาบ่าย 2 ซะแล้ว อันนี้ต้องขอชมเชยนะครับ เข้าห้องได้ก่อนเลยถ้าว่าง
วิวมองย้อนกลับไปที่ชายหาดครับ แดดกำลังแรงเลยเชียว
มาดูภายในห้องกันบ้าง สะอาด ตกแต่งสวยงาม ยังไม่เก่านะครับ
ภายในห้องน้ำ จะแคบอย่างที่เห็นแต่มีพื้นที่ในแนวยาว คือทางซ้ายและขวาตามรูป
มองกลับไปทางประตูทางเข้า ซึ่งเป็นกระจกใสแต่มีม่านแบบโปร่งและทึบแสงให้เลื่อนเข้าออกได้
เรานอนพักเอาแรงกันก่อน เพราะตื่นเช้ามากๆ รู้สึกง่วงนอน ไว้ตื่นมาค่อยหารถมอเตอร์ไซค์เช่า แล้วตระเวนหาอาหารทานกัน
นอนไปได้เกือบ 2 ชั่วโมง แดดแรงสุดๆ ได้เวลาออกจากห้องไปถ่ายรูปบริเวณสระน้ำและชายหาดกันบ้างแล้ว
บริเวณชายหาดของโรงแรมครับ แดดดีจริงๆ ไม่ต้องใช้ CPL ก็ได้ฟ้าเข้มๆมาแบบนี้
ต้นมะพร้าวริมชายหาด สัญลักษณ์ของเกาะสมุย
ได้เวลาเดินไปหารถมอเตอร์ไซค์ไว้ขี่เที่ยวกันบนเกาะสมุยแห่งนี้ เราสอบถามที่รีเซฟชันของโรงแรมก่อน ราคาวันละ 250 บาท งั้นเราเดินไปหาที่ร้านข้างนอกบ้าง เผื่อจะได้ราคาที่ถูกลง
ร้านนี้เลยครับ อยู่เยื้องๆกับโรงแรม เดินย้อนไปทางสนามบินไม่ถึง 100 เมตรก็เจอ เข้าไปสอบถามเพื่อคอนเฟิร์มราคาที่เห็นจากป้าย ได้คันสีฟ้าที่ 2 นับจากซ้ายคือคันที่เราจะเช่าเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ ราคาวันละ 150 บาท ตามธรรมเนียมของการเช่ามอเตอร์ไซค์ต้องมัดจำบัตรประชาชนไว้(เกลียดวิธีแบบนี้จริงๆครับ ที่ไหนๆก็ทำแบบนี้ตลอด ไม่ชอบเลย)
เราสอบถามถึงปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด ซึ่งต้องขี่ไปทางซ้ายมือจากร้านแล้วเลี้ยวขวาไปถนนใหญ่ก็จะเจอปั๊มเชลล์ เราไปถึงก็เติมเต็มถัง ได้ 2.89 ลิตร ราคารวม 110 บาทครับ เติมแก๊สโซฮอลล์ 91 ยังคิดอยู่เลยว่าจะขี่ได้รอบเกาะมั้ย
จ๊ะเอ๋กลับไปเปลี่ยนชุดอีกครั้งที่โรงแรมเพื่อสะดวกในการซ้อนรถ แล้วก็ได้เวลาไปแว้นกันโดยเราจะขี่ไปรอบเกาะเกาะตามเข็มนาฬิกา สถานที่แรกที่แวะคือที่นี่ครับ จุดชมวิวลาดเกาะ
ทางลงบันไดชันเชียวครับ แต่เราไม่ได้เดินลงไปหรอก ขาขึ้นคงเหนื่อยแย่เลย
วิวทางด้านซ้ายมือมองเห็นเครื่องบินอันเล็กๆกำลังจะลงจอดที่สนามบินแล้วครับ
และจุดหมายต่อไปของเราก็คือสถานที่ที่มาสมุยแล้วก็ต้องมาครับ หินตาหินยายนั่นเอง ดูหินตาไปก่อนครับ (ที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ 10 บาท)
แล้วก็ถึงเวลาไปตระเวนหาหินยายกัน อยู่ตรงไหนน้าาาา .... ผมหาไม่เจอ แต่จ๊ะเอ๋เป้นคนชี้จุดจนเจอ นี่ไง
ซูมเข้าไปดูชัดๆ ซิ อิอิ .... หินยาย เหมือนไม่เหมือนดูกันเอาเองครับ
โขดหินที่อยู่กลางน้ำใกล้ๆกันครับ
ขอตัดหินตาชับๆ หน่่อยนะคะ
หินยายอีกมุมหนึ่งก่อนส่งท้ายครับ
มาที่หินตาหินยายก็ต้องแวะซื้อของฝาก OTOP ของที่นี่กันครับ นั่นคือกาละแม ซื้อกาละแมไป 3 รสรวม 5 กก. หมดไป 500 บาทด้วยกัน อร่อยดีครับ กวนสดๆ ทำกันเอง
ได้เวลาแว้นกันต่อ เราขี่ผ่านร้านที่เล็งๆไว้ว่าจะมาทานกันคือร้านเสบียงทะเล เราแวะทานกาแฟสดกันก่อนที่ปั๊มปตท.ริมถนนสาย 4169 หลังจากนั้นก็ขี่กันต่อ แต่ด้วยความที่ฝนตกลงมาเลยต้องย้อนกลับไปหาที่หลบฝน เลยเข้ามาหลบที่วัดแห่งนี้ มาทราบอีกทีว่าคือวัดคุณาราม วัดที่มีหลวงพ่อมรณภาพแต่ร่างกายไม่สลายไปตามที่เราได้ข้อมูลมา หรือหลวงพ่อแดงนั่นเอง
เราเลยคุยกันว่าสงสัยหลวงพ่อดลใจให้ฝนตกเพื่อจะได้กลับมากราบไว้ท่านที่วัดแห่งนี้ นึกแล้วก็แปลกจริงๆครับ เพราะเราลืมไปแล้วจริงๆว่าต้องแวะ สุดท้ายก็ต้องมาแวะโดยปริยาย
ตามประวัติคือ หลวงพ่อแดงซึ่งมรณะภาพไปแล้วกว่า 20 ปีในท่านั่งสมาธิ แต่ร่างกายกลับไม่เน่าเปื้อยตั้งอยู่ในกระจกใสสี่เหลี่ยมให้ชาวบ้านเข้ามากราบสักการะครับ
หลังจากกราบหลวงพ่อแดงเสร็จเราก็ขี่ตามเส้นทาง 4173 มาหยุดถ่ายรูปที่นี่ ใกล้ๆกับแหลมสอ ริมชายทะเล เงียบสงบจริงๆ
จ๊ะเอ๋ขอสักรูปค่ะ
ขี่ตระเวนมาเรื่อยๆ จนมาถึงตรงนี้ เป็นหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งจะรับจ้างไปเกาะแตนได้ ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีอะไรและราคาเท่าไหร่
วิวเรือหางยาวของชาวประมง
ใกล้ๆกัน ขี่ไปสักพักต้องเดินลงมาเก็บภาพนี้ ชาวบ้านกำลังอาบน้ำให้ควายอยู่โดยมีเจ้าตูบคอยดูลู่ทางให้ มันหันมามองเราเหมือนกับจะถามว่ามาทำอะไร??
ช่วงที่เป็นป่าชายเลน มีต้นโกงกางขึ้นหรือเปล่า
แล้วก็ต้องมาหลบฝนตรงจุดนี้อีกครั้ง เพราะฝนตกลงมาอีกแล้ว ตรงนี้น่าจะเป็นหาดทองกรูดครับ
พี่คนนั้นเขาเดินไปหาอะไรตรงกลางทะเลหล่ะครับ น้ำลดขนาดเดินไปได้เลยนะครับ ช่วงนี้ฟ้ากับทะเลสีฟ้าแบบแปลกๆ
เราขี่ต่อไปโดยหยุดถ่ายรูปที่ตรงหน้าทางเข้าวัดคีรีวงการาม มีช้าง 2 เชือกช่วยกันแบกคานป้ายทางเข้าวัดอยู่ คงหนักน่าดูเลย
พอหลังจากนั้นเราก็ขี่ไปจนบรรจบถนนใหญ่ คือเส้น 4169 ซึ่งเป็นเวลาเย็นมากพอแล้ว คงไม่สามารถไปถึงท่าเรือดอนสักได้ เลยวกกลับเลี้ยวขวาเพื่อกลับไปร้านเสบียงทะเลกันต่อครับ
ก่อนจะถึงร้านเสบียงทะเลก็ต้องหลบฝนไป 1 ครั้งเพราะฝนตกมาหนักมาก ได้ไปหลบที่ร้านกาแฟเก่า มีหมาของร้านมาต้อนรับด้วยแฮะ พอฝนซาก็ขี่มากันต่อครับ
ถึงแล้วร้านเสบียงทะเล ในเวลา 18.10 น.
วิวริมร้านที่ติดกับชายหาด
ฝนตั้งเค้ามาอีกแล้วเช่นกัน ตรงกลางทะเลโน้นคงจะตกหนักน่าดูเลย เห็นเป็นม่านฝนเลยครับ
อาหารที่สั่งไปก็มาเสริฟแล้ว เร็วจริงๆ จานนี้ยำรวมมิตรทะเลครับ รสชาติใช้ได้ แต่กุ้ง, ปลา, ปลาหมึกไม่สดคร้าบบบพี่น้อง แข็งๆไม่อร่อยเลย อันนี้ต้องปรับปรุง
ส่วนจานนี้ ปลากระพงทอดราดน้ำปลา เสริฟพร้อมน้ำจิ้ม สดๆ ร้อนๆ อร่อยมากครับ ของดีก็ต้องชม
อีกมุมหนึ่ง เต็มๆตา อร่อยจริงๆ มาร้านนี้ต้องลองครับ(ราคาเดี๋ยวมาเพิ่มให้)
จานนี้ กุ้งราดซอสมะขาม จานนี้ก็อร่อยครับ กุ้งรสชาติโอเค สดกว่าจานแรก อร่อยๆ
รวมแล้วกับข้าว 3 อย่าง ข้าว 1 โถ น้ำเปล่า 1 ขวด น้ำแข็ง 1 ถัง เบ็ดเสร็จ 1,175 บาท ใช้บัตรเครดิตได้ครับ
ทานเสร็จก็ได้เวลาบึ่งรถกลับโรงแรมที่พักแล้ว ทิ้งท้ายไว้ด้วยรูปร้านยามค่ำ
พอเราถึงห้องพักก็ได้คิดถึงโปรแกรมวันรุ่งขึ้นครับ ตอนแรกกะจะซื้อทัวร์ไปหมู่เกาะอ่างทอง แต่พอมาคิดแล้วเราคงไม่ไป เพราะจะเสียเวลาไปอีก 1 วันเต็มๆแล้วต้องตื่นเช้าด้วย เลยแพลนกันว่าจะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ต่อเพื่อขี่สำรวจเกาะกันให้ครบเลย ไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสมาอีกได้ไปหมู่เกาะอ่างทองแน่ๆ ครั้งนี้ฝากไว้ก่อน
แล้วมาติดตามกันต่อในวันรุ่งขึ้นครับ โดยเราจะมีแพลนแวะวัดพระใหญ่และวัดเจ้าแม่กวนอิมกัน แล้วค่อยคืนรถก่อนกลับไปสนามบิน วันนี้สวัสดีครับ
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น