วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เยือนมัณฑะเลย์ ราชธานีสุดท้ายของพม่า ตอน 1 จากลุ่มน้ำเจ้าพระยาสู่ลุ่มน้ำอิรวดี เมืองมัณฑะเลย์ พม่า


ทริปมิงกาลาบา สักการะ(อีก) 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่านี้ เป็นทริปต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เนื่องจากครั้งนั้นเป็นการไปเยือนพม่าครั้งแรก โดยเราได้เก็บมหาบูชาสถานสูงสุดของพม่ามาทั้งสิ้น 4 มหาบูชาสถานจากทั้งหมด 5 มหาบูชาสถาน (อ่านทริปก่อนได้ที่นี่ http://athlons.blogspot.com/2013/02/4-5-1.html) จึงเป็นสิ่งที่เตือนใจเราไว้เสมอว่า ยังสักการะไม่ครบทั้ง 5 มหาบูชาสถาน เหลืออีกเพียง 1 มหาบูชาสถานเท่านั้น นั่นคือ การไปชมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี เมืองมัณฑะเลย์

วันเวลาผ่านไป ผมยังคงเข้าไปตรวจสอบดูราคาตั๋วไปมัณฑะเลย์ของแอร์เอเชียอยู่เนืองๆ แม้ว่าจะมีโปรโมชันหลายครั้งที่ผ่านมา แต่ราคาก็ยังไม่ลดลงมากนัก แต่พอเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ลองเข้าไปกดดูอีกครั้ง ปรากฎว่าตั๋วไปมัณฑะเลย์นั้นลดราคาลงมาแบบนานๆจะเจอสักที เลยไม่รอช้าสอบถามคนรู้ใจพร้อมๆกับพี่ที่เคยไปฮานอยด้วยกันว่าสนใจมั้ย? ได้เสียงตอบกลับมาว่าสนใจ จึงได้เริ่มเตรียมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยกลัวว่าราคาตั๋วเครื่องบินที่โปรโมชั่นนั้นจะอยู่ได้ไม่นานเลยต้องรีบจองก่อน น่าเสียดายที่พี่ที่เคยไปฮานอยด้วยกันสละสิทธิ์ไปกับเราซะแล้ว แต่ไม่เป็นไร เราสองคนก็ไปตามปกติอยู่แล้ว ก่อนจองตั๋วนั้นคิดไปคิดมาหลายตลบจริงๆว่าจะไปกี่วันดี ไปสักการะอีก 1 มหาบูชาสถานนั้นต้องไปอันดับ 1 อยู่แล้ว แต่ไหนๆก็บินไปแล้วจะพ่วงไปทะเลสาบอินเลอีกด้วยดีมั้ย คิดสาระตะ ถ้าพ่วงต้องเดินทางด้วยรถบัสอีกไกลจากมัณฑะเลย์ เวลาก็จำกัด ไปแล้วไม่ได้พักที่ริมทะเลสาบอินเลก็จะดูไม่คุ้ม เลยตัดใจไปแค่มัณฑะเลย์และเมืองใกล้ๆ 3 วัน 2 คืนพอ!....ทริปดังกล่าวจึงเริ่มต้นด้วยประการทั้งปวง

ด้วยข้อจำกัดของระยะเวลาของทริปนี้ นั่นคือ 3 วัน 2 คืน ทำให้เรามีเวลาเที่ยวจริงๆ เพียงครึ่งวันของวันแรก และอีก 1 วันเต็มๆของวันที่สอง ส่วนวันที่สามวันสุดท้ายเราก็ทำได้เพียงตื่นมาทานอาหารเช้าและเตรียมเดินทางกลับสนามบินแค่นั้น  ทำให้แผนการเดินทางจะออกมาดังนี้

  • วันแรก : เที่ยวในตัวเมืองมัณฑะเลย์ ---> พระราชวังมัณฑะเลย์, วัดชเวนันดอว์(ชเวนันดอร์), วัดกุโสดอว์(กุโสดอร์), วัดอตุมาชิ, วัดสันดามุนี และมัณฑะเลย์ฮิลล์
  • วันที่สอง : เช้ามืด ไปชมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี วัดมหามุนี, เที่ยวนอกตัวเมืองมัณฑะเลย์ ---> วัดมินกุน ดูระฆังยักษ์, เจดีย์ชินพิวเม หรือชินพิวมิน ทัชมาฮาลพม่า, เขาสกาย วัดบนเขา ชมวิว, วัดกวงมุดอว์, นั่งเรือไปอังวะ นั่งรถม้าชม 4 วัด, กลับมาเมืองอะมะราปุระ ไปวัดมหากันดายน, ไปสะพานไม้อูเบ็ง ชมพระอาทิตย์ตกดิน
  • วันที่สาม : กลับไทย

แผนที่เส้นทางและสถานที่ที่เราจะไปเที่ยวกันในบ่ายของวันนี้ครับ เริ่มจากโรงแรมที่พัก(หมายเลข 1) และไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงมัณฑะเลย์ฮิลล์(หมายเลข 7) คลิกรูปเพื่อดูภาพขยายใหญ่


วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2557
วันนี้ลาหยุด 1 วัน เราออกจากบ้านประมาณ 7 โมงเช้านั่งแท๊กซี่ไปสนามบินดอนเมือง น่าเสียดายที่เที่ยวบินไปมัณฑะเลย์นั้นมีแค่ 1 เที่ยวบินต่อวันสำหรับแอร์เอเชีย ซึ่งเป็นช่วงเวลาสายๆของวันคือ 10.50 น. ทำให้ต้องเสียเวลาในวันเดินทางถึงครึ่งวันเลยทีเดียว เกตที่ออกเป็นเกต 2 ซึ่งเป็น Bus gate นั่งรถเพื่อไปขึ้นเครื่องที่จอดอีกทีหนึ่ง

ช่วงเวลา 8 - 9 โมงเช้าคนน้อยมาก เงียบเหงากันเลยทีเดียว แต่พอ 10 โมงก็เริ่มมีคนเข้ามากันแล้ว


เครื่องบินเริ่มไต่ระดับ มองเห็นโค้งน้ำเจ้าพระยาอยู่ด้านล่าง


ชั่วโมงนิดๆ เครื่องบินก็พาเรามาถึงโค้งน้ำอิรวดี แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองมัณฑะเลย์หล่อเลี้ยงผู้คนตามที่ราบลุ่มนี้ ไม่ถึงอึดใจก็เตรียมแล่นลงสนามบินมัณฑะเลย์จุดหมายปลายทางของเรากันแล้ว


เจดีย์อะไรเอ่ย มองเห็นแต่ไกลจากบนเครื่องบินระยะนี้เลย สิ่งที่ต้อนรับเราไม่ใช่บ้านเรือนแออัด หรือตึกสูงๆเหมือนเมืองอื่นๆ แต่เป็นเจดีย์ สิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความศรัทธาของพระพุทธศาสนาของผู้คนในเมืองนี้

เครื่องแลนดิ้งที่สนามบินมัณฑะเลย์เรียบร้อยแล้วครับ ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีเท่านั้น


ลงจากเครื่องโดยไม่ผ่านวงช้าง มีรถบัสของสนามบินมารอรับ


เอ๊ะ....ตรงนั้นมีการถ่ายทำอะไรกันเอ่ย เหมือนๆกับถ่ายรายการทีวีท่องเที่ยวสักอย่างนะครับ คงเป็นรายการของไทยเราแหล่ะ


เข้าตัวอาคารก็มายืนรอที่สายพาน แต่เอ๊ะ....เราไม่ได้โหลดกระเป๋านี่หน่า 555 เลยเดินออกไปข้างนอก


ผ่านตัวสแกนสัมภาระก่อนออกและส่งใบของที่ไม่ต้องสำแดงแล้วก็มองหาเคาน์เตอร์แลกเงินแจ๊ดพม่า เขาบอกมาว่าเรตของ Farmer Bank ดีที่สุด ก็เดินไปสำรวจและมาดูที่ธนาคารนี้ด้วย AGD Bank เรตก็ดีเหมือนกัน นั่นคือเท่ากันครับ เลยแลกที่นี่ละกันขี้เกียจเดินย้อนกลับไป Farmer Bank แต่ธนบัตรแบบ 1, 2 USD ทาง Farmer Bank จะให้เรตที่ดีกว่าครับ พอดีเราไม่มีเลยไม่ได้สนใจ มีแค่ธนบัตรใบละ 20 กับ 100 USD



เจ้าหน้าที่คนนี้ยิ้มแย้มครับ เราแลกธนบัตร 100 USD 1 ใบ และ 20 USD 4 ใบ เขากดเครื่องคิดเลขที่อยู่ข้างหน้าให้เราดูตามขั้นตอนตลอด นั่นคือ 100 X 966 + 4 X 20 X 956 = 173,080 แจ๊ด ซึ่งตรงกับหน้าจอบนเครื่องคิดเลขพอดี


แลกเงินเสร็จก็สอบถามว่ารถบัสแอร์เอเชียนั้นอยู่ตรงไหน เจ้าหน้าที่ก็รีบตอบว่าอยู่ทางขวามือของประตูทางออก ซึ่งเป็นการยืนยันข้อมูลที่ได้มา 

เราเดินออกจากประตูทางขวามือก็เห็นรถจอดอยู่แบบนี้ ไม่ผิดแน่นอน รถนี้เป็นรถเข้าเมืองมัณฑะเลย์บริการฟรีจากแอร์เอเชียสำหรับผู้โดยสารแอร์เอเชียเท่านั้น อันนี้ต้องขอชื่นชม 


เอาสัมภาระซึ่งมีเพียงเป้ 2 ใบเก็บใต้รถแล้วก็เลือกที่นั่งได้ตามอัธยาสัย เราเลือกหลังคนขับเลย จะได้ชมวิวด้านหน้าได้สะดวก


ถนนพอออกจากสนามบินก็เป็นดังที่เห็น เป็นถนนราดยางแบบ 2 เลนขาไป และ 2 เลนขากลับ โดยมีเกาะกลางเป็นต้นไม้และหญ้ากว้างทีเดียว มองจากในรูปอาจไม่เห็นเลนที่แล่นสวนมาซึ่งอยู่ทางซ้ายมือโดนต้นไม้บัง รถไม่เยอะขับสบายๆ ไม่ต้องตีเส้นจราจรก็ขับได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ ถือได้ว่าย้อนกลับไปสู่อดีตในเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน

ระหว่างทางนั้น ก็มีเจ้าหน้าที่แอร์เอเชียที่ชื่อ Naing เข้ามาทักทายเรา ซึ่งเป็นคนที่ติดต่อทาง email มาก่อนหน้านี้แล้วเรื่องรถเช่าระหว่างที่เราพักที่มัณฑะเลย์นี้ ได้น้อง Noopee น้องที่ไปเที่ยวมัณฑะเลย์มาก่อนหน้าเราเพียง 1 สัปดาห์ได้ให้ข้อมูลรถเช่าเรามา ต้องขอขอบคุณอีกครั้ง

เขาเสนอราคาและโปรแกรมมาให้ โดยเราฟังข้อมูลก่อนระหว่างที่อยู่ในรถ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเช่าหรือไม่เช่าดี

แล้วรถก็เลี้ยวมาสู่ถนนเมนหลัก ถนนเส้นนี้เทคอนกรีต มีเส้นจราจร ดูดีกว่าถนนก่อนหน้านี้เยอะเลย ถนนโล่งๆเช่นเดิม รถไม่เยอะมาก ที่ขาดไม่ได้คือเจดีย์สีทองที่จะเห็นอยู่เนืองๆตาม 2 ข้างทางในประเทศพม่า


ไม่นานนักรถเริ่มเข้าเขตตัวเมือง สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกและรถลามากมาย สักพักรถก็จอด นาย Naing แจ้งกับเราว่าถึงแล้ว โดยมีรถตู้ที่จอดรออยู่ข้างหน้ารอรับเราอีกทีเพื่อไปส่งที่โรงแรม เราถามว่าเสียเงินหรือเปล่า เพราะเกรงว่าถ้าเราไม่เลือกเช่ารถเขาจะเก็บเงินเรา ปรากฎว่าไม่เสียเงิน เราขึ้นรถคันนั้นไป ไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงโรงแรมที่เราจองไว้ผ่าน Agoda นั่นคือ Hotel Yadanabon ราคาจองผ่านบัตรเครดิต KTC ได้ลดราคา 5% หรือ 7% ไม่แน่ใจ คืนละ 1,029.15 บาท 2 คืนรวมเป็นราคา 2,058.30 บาทครับ

ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะได้คะแนนรีวิวสูงจากผู้เข้าชมต่างๆ แถมอยู่ในแหล่งชุมชนใกล้สถานที่สำคัญต่างๆ (พอเอาเข้าจริงเดินไปไหนต่อไหนไม่ไหวหรอกครับ ไกลเกิน แถมไม่มีไฟทางด้วยครับ)


เข้าไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ ได้รับผ้าเย็นๆและน้ำส้มเย็นๆเป็น Welcome drink มาดื่ม เหนื่อยๆร้อนๆ มาดื่มแล้วชื่นใจจริงๆครับ


เราได้ห้องที่อยู่ชั้นบนสุด คือชั้น 5 ห้องริมสุด ภายในห้องตกแต่งสวยงาม ได้มาตรฐานดีครับ


จากปลายเตียงมองย้อนกลับไปยังประตูห้อง มีตู้เย็นเล็กไว้แช่เครื่องดื่ม มีน้ำดื่มฟรีวันละ 2 ขวด มีตู้เสื้อผ้าและตู้เซฟนิรภัยบริการ โทรทัศน์ที่นี่สามารถรับชมรายการของไทยเราได้ เปิดโทรทัศน์มาเป็นช่อง 7 โลโก้ คสช. มาเชียว หึๆ


ภายในห้องน้ำสะอาดสะอ้าน มีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่ตัวด้วย


วิวที่มองจากหน้าต่างห้องพัก ฟ้ายังใสอยู่


เก็บข้าวของเสร็จเราก็ลงมาชั้นล่าง นาย Naing มารอเราที่ล๊อบบี้แล้ว แถมโทรศัพท์ตามมายังห้องพักเราด้วย เราตกลงราคารถเช่ากับ Naing เฉพาะวันนี้ก่อน แฟนขอต่อรองราคาจากที่เสนอมาครั้งแรก 30,000 แจ๊ด สามารถลดราคาลงมาที่ 25,000 แจ๊ด ซึ่งเป็นราคาเหมารถเช่าไปสถานที่ดังต่อไปนี้
1.พระราชวังมัณฑะเลย์
2.วัดชเวนันดอว์(ชเวนันดอร์)
3.วัดกุโสดอว์(กุโสดอร์)
4.วัดอตุมาชิ(อะตูมาชิ)
5.วัดสันดามุนี
6.มัณฑะเลย์ฮิลล์(Mandalay Hill)

ตกลงราคากันได้ก็เริ่มเดินทางกัน ใช้รถตู้ที่มาส่งเราเมื่อกี๊ ไม่นานนักรถก็เข้ามาจอดตรงทางเข้าพระราชวังมัณฑะเลย์ แล้วเราต้องซื้อตั๋ว Mandalay Archaeological Zone เพื่อเข้าไปชมก่อน


โดยตั๋วนี้สามารถใช้ได้ในสถานที่ประวัติศาสตร์ทั้งเมืองมัณฑะเลย์, อมรปุระ(อะมะราปุระ), อังวะ, พินยา, Paleik, Shwe Nan Taw Kyaung(วัดชเวนันดอว์(ชเวนันดอร์)), Mya Nan San Kyaw Royal Palace(พระราชวังมัณฑะเลย์), Sanda Muni Pagoda, Kuthodaw Pagoda(วัดกุโสดอว์(กุโสดอร์)), Kyauk Taw Gyi Pagoda, Mandalay Hill  ไม่ต้องเสียค่าเข้าอีกแล้ว โดยมีระยะเวลา 5 วันนับจากวันที่ออกตั็ว และใช้ 1 สถานที่ต่อ 1 ครั้งเท่านั้น คล้ายๆกับค่าเข้าเมืองมัณฑะเลย์ที่ใครๆได้เคยโพสต์ไว้ แต่สกุลเงินที่เราต้องจ่ายเป็นแจ็ดเท่านั้น ไม่รับเงินสกุลดอลล่าร์นะครับ ค่าตั๋วเข้าชมคนละ 10,000 แจ๊ด หรือคนละประมาณ 300 บาท เที่ยบเท่ากับ 30 USD


เราซื้อตั๋วเสร็จก็เตรียมจะเดินเท้าเข้าไปตามผู้ชายพม่าข้างหน้า แต่คนขับรถได้เรียกเอาไว้ และทำมือบังคับพวงมาลัย นั่นหมายถึงเข้ามานั่งรถจะได้ขับรถไปส่งข้างใน 555 โธ่...คิดว่ารถส่งแค่นี้ซะอีก


รถขับมาไม่ไกลนัก ไม่ถึง 5 นาทีก็มาหยุดหน้าทางเข้าพระราชวังแล้ว คราวนี้ต้องลงรถจริงๆ แล้วเดินเข้าไปชมกันครับ

ประวัติ
พระราชวังมัณฑะเลย์ ถูกก่อสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้ามินดง ระหว่างปี ค.ศ. 1857-ค.ศ. 1859 หลังการย้ายเมืองหลวงจากอมระปุระมายังมัณฑะเลย์ เพื่อหนีทหารของจักรวรรดิอังกฤษ ระหว่างสงครามพม่า-อังกฤษ ตามความเชื่อ

โดยมีชื่อเรียกในภาษาพม่าว่า (Mya Nan San Kyaw) อันหมายความว่า "พระบรมมหาราชวังมรกตลือเลื่อง" แต่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ___ อันหมายถึง "พระราชวังทองคำ"

เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย มีคูน้ำรอบพระราชวังและประตูที่ยิ่งใหญ่ และเป็นพระราชวังที่สุดท้ายของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่า เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สอง ทางอังกฤษคิดว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังเสียด้วยการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1945 พระราชวังตกอยู่ในความเสียหายมาโดยตลอด จนปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยรัฐบาลพม่า โดยการลอกแบบโครงสร้างเดิม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของมัณฑะเลย์
เครดิต : oceansmile.com


โถงแรกที่เราต้องเดินผ่านเข้าไป

ประวัติ
เมืองมัณฑะเลย์ : ปัจจุบันนี้มีฐานะเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของพม่ารองจาก ย่างกุ้ง เป็นราชธานีสุดท้ายของราชวงศ์พม่า ก่อนที่ระบอบกษัตริย์จะถูกโค่นล้มลงและก่อนจะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
• ก่อนเสียกรุงศรีครั้งที่ 2 : พระเจ้าอลองพญาส่งกองทัพมารุกรานกรุงศรีอยุธยาแต่เกิดเหตุปืนใหญ่ระเบิดสิ้นพระชนม์จนต้องทัพทัพกลับไป จนกระทั่งพระเจ้ามังระแห่งกรุงอังวะได้ยกทัพใหญ่มาตีครั้งใหม่กรุงศรีอยุธยาทำให้เราต้องเสียกรุงครั้งที่ 2
• หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2310 หลังจากนั้นเพียง 57 ปี ในปีพ.ศ. 2367 กองทัพอังกฤษยกทัพเรือล่องขึ้นมาตามอิระวดี เข้ายึดพม่าจากทางตอนใต้บุกขึ้นสู่ภาคเหนือของประเทศพม่า จากเมืองหลวงกรุงอังวะพม่าย้ายเมืองมาเป็นตั้งเมืองหลวงที่เมืองอมรปุระ สงครามระหว่างอังกฤษกับพม่าก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ พม่ารบแพ้อังกฤษ ครั้งแล้วครั้งเล่า....สงครามที่พม่าเหมือนจะไม่มีทางชนะ พระเจ้ามินดงย้ายเมืองหลวงอีกครั้งจากเมืองอมรปุระย้ายมาสู่เมืองมัณฑะเลย์ เพื่อเป็นการถือฤกษ์เอาชัยแก้เคล็ดว่าจะสามารถชนะกองทัพอังกฤษได้ ราชวงศ์สุดท้ายก็ถึงกาลอวสาน
เครดิต : oceansmile.com



หุ่นจำลองแรกที่เราจะเจอคือ พระเจ้ามินดงนั่งคู่กับพระมเหสีบนบัลลังก์ภายในกระจกใส

ประวัติ
• หลังจากที่พระเจ้ามินดงมาก่อสร้างพระราชวังมัณฑะเลย์ แค่ 28 ปี อังกฤษก็ตีเมืองมัณฑะเลย์แตกในปี พ.ศ. 2367 พระเจ้าธีบอซึ่งโอรสของพระเจ้ามินดง จึงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าและถูกส่งไปอินเดียและเชื่อกันว่าถูกประหารที่นั่นโดยไม่ได้กลับพม่าอีกเลย
เครดิต : oceansmile.com


พาน, หอก เครื่องใช้ต่างๆ จำลองมาจากของจริง

สมบัติทุกชิ้นถูกอังกฤษขนเอาไปไม่เว้นแม้แต่ราชบัลลังก์นกยูง สัญลักษณ์แห่งราชวงศ์และพระที่นั่งสิงหนาทในท้องพระโรงใหญ่ที่เป็นทองคำประดับด้วยเพชร พลอย ทับทิม อัญมณี อันมหาศาลก็ถูกขนไปไว้ที่ประเทศอังกฤษ
เครดิต : oceansmile.com


เดินเข้าไปข้างในอีกชั้นก็จะเจอกับหุ่นจำลองพระเจ้ามินดง


• อวสานพระราชวังมัณฑะเลย์ พระราชวังมัณฑะเลย์ พระราชวังที่ส่วนใหญ่ก่อสร้างด้วยไม้สักที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย ในสมัยสงครามมหาบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) วันที่ 20 มีนาคม 2488 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรโดยกองทัพอังกฤษ ได้ทิ้งระเบิดจำนวนมากมายถล่มพระราชวังมัณฑะเลย์ของประพม่าจนไฟลุกไหม้เป็นจุล ด้วยเหตุผลว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของกองทัพญี่ปุ่น พระราชวังมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นพระราชวังไม้สักก็ถูกไฟไหม้เป็นจุล เผาราบเป็นหน้ากลอง หลงเหลือก็แต่ป้อมปราการและคูน้ำรอบพระราชวัง
• ปัจจุปัน พระราชวังที่เห็นอยู่เป็นพระราชวังที่รัฐบาลพม่าได้จำลองรูปแบบของพระราชวังของเก่าขึ้นมา
เครดิต : oceansmile.com


โถงต่อไปมีหุ่นจำลองพระเจ้าธีบอซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้ามินดง กับพระมเหสี


ซูมเข้าไปใกล้ๆ


เตียงตั่งของใครอยู่ด้านหลัง


สำรวจซะให้หมด โถงนี้ทาสีสวยดีครับ


อาคารนี้อยู่หลังสุดเลย


ออกมาถ่ายด้านนอกโล่งๆบ้างครับ


อาคารนี้ทาสีขาว ฝุ่นเยอะไปหมด


ลองย้อนแสงดูบ้าง ณ เวลานี้ร้อนมากๆเลย


ดอกหญ้าสีขาวปลิวไสว อาคารตรงข้างหน้าไม่ได้เดินไปแล้วครับ หมดแรง


แล้วเราจะขึ้นไปหอคอยแห่งนี้ เพื่อชมวิวพระราชวังมัณฑะเลย์มุมสูง


ขึ้นบันไดเวียนเป็นวงกลม ทั้งหมดทำด้วยไม้แน่นหนาไม่ต้องกลัวครับ


ข้างบนนี้ลมเย็นดีครับ วิวก็สวยดีด้วย


อีกมุมหนึ่ง มองเห็นขุนเขาอยู่ไกลๆ


ซูมลงไปด้านล่าง เอ๊ะ...เณรกะเทยก็มีนะ ไม่ใช่เฉพาะในไทย


สมัยก่อนเป็นเสาไม้สักแท้ๆ เลอค่ามากๆเลยครับ แต่เสียดายโดนเผาไปหมดแล้ว เหลือเพียงแบบจำลองเหมือนจริง


แล้วเราก็เดินทางต่อไปยังสถานที่ที่ 2 จอดรถข้างทางเสร็จก็เตรียมที่จะเข้าไปวัดชเวนันดอว์(ชเวนันดอร์) แต่เห็นทางเข้านี้สวยเลยถ่ายรูปไว้ก่อน ถามคนขับได้ความว่า เป็นมหาวิทยาสอนศาสนาพุทธ หรือ มหาวิทยาลัยสงฆ์นั่นเอง อยู่ตรงข้ามทางเข้าวัดชเวนันดอว์(ชเวนันดอร์)



ถึงแล้วครับ วัดชเวนันดอว์(ชเวนันดอร์)

เป็นวัดที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง โดยพระเจ้ามินดงได้ทรงให้รื้อเอาไม้สักทองจากพระราชวังเก่ามาก่อสร้าง และเป็นวัดที่พระเจ้ามินดงทรงเสด็จมานั่งสมาธิ ปฎิบัติธรรม ดังนั้นวัดนี้จึงมีความสวยงามหลากหลายด้วยด้วยสถาปัตยกรรมช่างแห่งมัณฑะเลย์ มีการแกะสลักปิดทอง
เครดิต : oceansmile.com


เข้าไปในวิหาร แสงน้อยมาก ต้องถ่ายดีๆ ไม่งั้นภาพจะเบลอ ไปกราบพระประธานก่อนนะครับ


งานแกะสลักไม้ สวยงามมากๆครับ ในภาพเป็นงานแกะสลักไม้ที่เล่าเรื่องทศชาติชาดก ในชาติที่ 8 นารทชาดก (อุเบกขาบารมี)



งานแกะสลักไม้ที่บานประตูครับ


ดูกันใกล้ๆ ช่องหนึ่งแกะเป็นรูปคนกำลังพนมมือไหว้


ระเบียงด้านข้างของวัดชเวนันดอว์(ชเวนันดอร์)


เดินอ้อมมายังด้านหลัง


ก่อนจะจากวัดชเวนันดอว์(ชเวนันดอร์) ตรงนี้น่าจะเรียกว่าด้านหน้านะครับ


เกือบจะเดินกลับแล้ว เหลือบไปเห็นวัดที่ต้องเดินเข้าไปในซอยเดียวกันนี้ เลยเดินเข้าไปดูว่าวัดอะไร นั่นไง วัดอตุมาชิ หรือ Maha Atulawwiyan Kyaungdawgyi



เดินเข้าไปด้านใน เพดานสูงโปร่งมากๆ

วัดนี้สร้างขึ้นในปี 1857 2 ปีให้หลังเมื่อเมืองหลวงย้ายมาที่มัณฑะเลย์ ด้วยค่าก่อสร้าง 500,000 รูปี โครงสร้างดั้งเดิมเป็นไม้สัก ปิดทับด้วยปูนฉาบด้านนอก โดยโครงสร้างเดิมได้ถูกไฟไหม้เมื่อปี 1890 ทำให้พระพุทธรูปสูง 9.1 เมตรได้ไหม้ลงไปด้วย พร้อมๆกับเพชรขนาด 19.2 กะรัตที่ใช้ตกแต่งพระพุทธรูปก็ได้หายไป


ประตูทางเข้าและออก


ร้อนๆ แวะซื้อน้ำดื่มแก้กระหายก่อนครับ โค้กกระป๋องราคา 700 แจ๊ด หรือ 23 บาท


สถานที่ต่อไปคือ วัดกุโสดอว์(กุโสดอร์) 

เป็นวัดที่พระเจ้ามินดง สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 และพระองค์ทรงให้จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น ถือเป็นพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี และได้นำมาประดิษฐานในมณฑป อยู่รอบพระเจดีย์มหาโลกมารชิน สูง 30 เมตร ซึ่งจำลองรูปแบบมาจากพระมหาเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกาม
เครดิต : oceansmile.com



ป้ายหินอ่อนด้านขวามือทางเข้าบ่งบอกถึงมรดกโลก รับรองโดย UNESCO



เรามาถึงฟ้าก็มืดครึ้มไม่เป็นท่าแล้ว สงสัยอีกไม่นานฝนคงตกมาแน่ๆ


นี่แหล่ะครับ พระไตรปิฎกที่จารึกลงบนแผ่นหินอ่อน มีด้วยกันทั้งหมด 729 แผ่น


ส่วนต้นนี้คือต้นพิกุล(Star Flower Tree) แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปไกลมาก น่าจะเป็นต้นพิกุลที่ใหญ่ที่สุดในวัดกุโสดอว์(กุโสดอร์)แห่งนี้ และมีอายุมากสุดถึง 121 ปี ! โดยที่วัดกุโสดอว์(กุโสดอร์)แห่งนี้จะมีต้นพิกุลปลูกอยู่แซมระหว่างเจดีย์ที่จารึกพระไตรปิฎกอยู่ตลอด



เจดีย์กุโสดอว์(กุโสดอร์)ตั้งอยู่ตรงกลาง ซึ่งจำลองรูปแบบเจดีย์มาจากเจดีย์ชเวสิกอง เมืองพุกาม


มณฑปฝั่งด้านหลังที่บรรจุแผ่นหินอ่อนที่จารึกพระไตรปิฎก ฟ้าไม่เป็นใจซะแล้ว


ก่อนกลับไปที่รถ แวะช่วยค่าขนมน้องพม่าคนนี้หน่อยละกันให้เงินแต่ไม่ได้เอาพวงดอกพิกุลไปหรอก นู๊ดโชว์หัวนมซะด้วยสิ


ฝนตกแล้ว แต่เรายังไม่ลดละ ไปไหว้พระที่วัดสันดามุนีกันก่อน วัดนี้อยู่ห่างจากวัดกุโสดอว์(กุโสดอร์)ไม่กี่ร้อยเมตร ผมว่าปากท่านแปลกๆนะ ทำปากแหลมๆ ไม่รู้ว่าจะหมายถึงอะไร


ฝนตกอย่างหนักทีเดียว เราเลยทำได้เพียงซูมถ่ายรูปเจดีย์รอบๆ ไม่ได้ออกไปนอกหลังคา


วัดนี้มีผังอย่างที่เห็น ถ่ายมาจากรูปถ่ายที่แปะผนังของวัดอีกทีครับ


ชาวพม่าที่ดูแลวัดนี้อยู่ เห็นเราเป็นนักท่องเที่ยวแล้วไม่สามารถไปไหนได้เนื่องจากฝนตก เลยนำกระติกน้ำชามาให้ดื่ม คนพม่าใจดีจริงๆครับ


เจดีย์สีขาวเล็กๆรอบๆเจดีย์สีทองใหญ่ หรือเรียกว่ามณฑปก็จะมีแผ่นหินอ่อนเหมือนกับจารึกพระไตรปิฎกหรือเปล่าไม่แน่ใจ สงสัยว่าทำไมมีเหมือนกับในวัดกุโสดอว์(กุโสดอร์)เลย แต่ไม่ยักเจอข้อมูลตรงนี้


ก่อนลาจากวัดนี้ แอบยิงภาพเจ้าเด็ดนู๊ดทำมิวสิคซะหน่อย โชว์จู๋ไม่อายใครเลยเว้ยยย


และแล้วฝนก้ซาลงบ้าง เลยให้คนขับขับต่อไปยังสถานที่สุดท้าย นั่นคือมัณฑะเลย์ฮิลล์ ขณะขึ้นเขาก็ลุ้นกันตัวโก่งเพราะเขาชันมากๆ แถมฝนตกอยู่ด้วย ไม่ใช่อะไร กลัวรถตกเขานะสิครับ ในใจคิดว่าไม่น่าให้ขึ้นเขาเล้ยยย เปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้ว ต้องรอลุ้นให้ถึงไวๆ

พอมาถึงก็ต้องเดินเท้าเปล่าต่อกันอีก แต่อยู่ในร่มแล้ว ฝนตกปรอยๆ วิวด้านบนนี้สวยเหมือนกันครับ ได้ดอกสีแดงต้นนี้ทำให้สีสันสวยงามขึ้นเยอะเลย ไกลๆ จะเห็นเขตกำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์ และมียอดสีทองแหลมๆซึ่งก็คือตัวพระราชวังที่เราได้ไปมานั่นเอง


ซูมไปใกล้ๆดีกว่า เห็นได้ชัดเจนทีเดียวครับ


อีกมุมหนึ่งทางทิศตะวันตก


ถามคนพม่าที่นั่งมาด้วยว่าคือสถานที่อะไร ได้ความว่า เป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ หรือ Medical University


ด้านบนนี้จะมีศาลงูด้วยนะครับ เป็นงูคู่ ไม่รู้ว่ามีความหมายว่าอย่างไร


วิวอีกด้านเกือบๆจะทิศตะวันออก มองเห็นภูเขาและหญ้าเขียวขจีทีเดียว ไกลออกไปมีกลุ่มควันโชยไปตามแรงลมด้วย


เดินวนมาจะเป็นเจดีย์ที่อยู่ตรงกลางของมัณฑะเลย์ฮิลล์ เกือบลืมไปว่าที่นี่เราต้องเสียค่าธรรมเนียมกล้องอีก 1,000 แจ๊ดนะครับ ก็จ่ายกันไป


เจอระฆังเป็นไม่ได้ ต้องหยิบมาตีทุกครั้งสิน่า คริคริ


กราบพระก่อนครับ


วันนี้ไม่เห็นพระอาทิตย์ตกดินแบบดวงกลมๆ แต่เห็นเป็นแสงโค้งๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ

หลังจากนั้นก็ลงจากมัณฑะเลย์ฮิลล์กันแล้ว


รถแล่นผ่านพระราชวังมัณฑะเลย์ ขอให้รถหยุดก่อน ขอถ่ายแสงทไวไลท์ก่อนจะลับขอบฟ้าไปกับตัวพระราชวังมัณฑะเลย์

รถมาส่งเราที่โรงแรม จ่ายค่าเช่ารถวันนี้ไปก่อน 25,000 แจ๊ด แล้วก็คุยกันต่อเรื่องโปรแกรมและรถเช่าในวันพรุ่งนี้ คุยไปคุยมาก็เลยต่อรองราคาและเลือกใช้บริการเขาต่อ ตกลงราคาได้ที่ 85,000 แจ๊ด รวมที่ต้องมารับเราไปชมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีตอนตี 3 ครึ่งด้วย ถือว่าโอเคแล้ว เพราะพรุ่งนี้จะต้องเดินทางไกล ใช้บริการรถทั้งวัน แถมไปมิงกุน สกาย อังวะ อมะราปุระ ด้วย

ตกลงนัดแนะกันว่าให้มารับเราที่โรงแรมพรุ่งนี้ตอนตี 3 ครึ่ง แล้วไปวัดมหามุนี พรุ่งนี้เจอกันครับ


เราเก็บข้าวของที่ห้องพักก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ลงมาหาอะไรทานกัน ตอนแรกกะจะไปตามลายแทงของคนที่เคยไปมาแล้วแนะนำไว้ แต่พอดูแผนที่ปรากฎว่าไกลมากๆ แถมวันนี้ยังฝนตก ถนนแฉะไปหมด เดินลำบาก ไฟทางก็ไม่มี มืดก็มืด เลยยกเลิกไป หาอะไรใกล้ๆ ทานกันแทน

เราเลยเลือกร้านที่อยู่ตรงสี่แยกข้างหน้าด้านซ้ายมือ ห่างจากโรงแรมนิดเดียว นั่งแล้วสั่งเลย แต่สั่งยากมากเพราะเด็กร้านไม่รู้ภาษาอังกฤษ แม้ว่ามีเมนูภาษาอังกฤษก็ตาม


ผมสั่งง่ายๆ กลัวจะทานไม่ได้ เลยสั่งขนมปังไข่ ก็อร่อยดีครับ แต่ไม่อิ่มแค่นั้นเอง


แฟนสั่งข้าวผัด(Fried Rice) แต่ได้แบบนี้มา ลองทานก็โอเคนะครับ ร้านนี้หมดไป 1,200 แจ๊ด


เนื่องจากว่าไม่อิ่ม เลยไปหาร้านขายข้าวฝั่งตรงข้ามทานต่ออีก นี่เป็นเครื่องเคียงก่อนอาหารที่สั่งไปจะมาเสริฟ


มีเมนูหมูทอดและลูกชิ้นปลา แม้หน้าตาจะดูไม่น่าทาน แต่ถ้าได้ลองทานแล้วรับรองว่าอร่อยใช้ได้ครับ ร้านนี้หมดไป 2,000 แจ๊ด

ขอลาทริปมัณฑะเลย์ในวันแรกเพียงเท่านี้ครับ แล้ววันรุ่งขึ้นมาตามกันต่อ เราจะไปชมพิธีการล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีกัน ซึ่งเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่าที่เรามาตามเก็บจนจะครบในวันพรุ่งนี้ ติดตามชมกันต่อครับ ราตรีสวัสดิ์(ต้องรีบนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องออกตี 3 ครึ่ง)

[ตอน 1] [ตอน 2] [ตอน 2.5]

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น