วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มิงกาลาบา สักการะ 4 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า ตอน 1 เที่ยววัดในย่างกุ้งพร้อมเก็บหนึ่งมหาบูชา "เจดีย์ชเวดากอง"


ทริปนี้เริ่มจากปลายปีที่แล้ว ที่แอร์เอเชียออกโปรช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2555 เราสองจึงเล็งสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อนในต่างประเทศ จึงมาลงตัวที่ประเทศพม่า โดยแพลนทริปไว้ 4 วัน 3 คืน ไปพม่าก็ต้องเป็นทริปธรรมะ จึงหาช่วงที่จะไปให้ใกล้กับวันพระใหญ่ และหยุดยาวติดกัน ไปลงตัวที่วันมาฆบูชา ในวันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556 แล้วก็ลาหยุดอีก 1 วันเพื่อให้ครบ 4 วันตามที่แพลนไว้
ทริปนี้เกิดเหตุเซอร์ไพรซ์อยู่เหมือนกัน โดยตอนแพลนทริปครั้งแรกนั้น ยอมทรหดไปพุกามด้วย เพราะจะได้ 4 มหาบูชาภายในทริปเดียว แต่พอเลยปลายเดือนมกราคมไปแล้ว ได้รับข่าวว่าทางพระธาตุอินทร์แขวนกำลังปิดบูรณะ ก็เลยต้องเปลี่ยนแผน ปรับไม่ไปพระธาตุอินทร์แขวน โดยไปพุกามเพิ่มอีก 1 วัน เป็น 2 วัน 1 คืนแทน แต่พอใกล้ๆวันเดินทางเพียง 2 วัน ทางเอเย่นต์ที่ติดต่อไปก็แจ้งข่าวดีมาว่า ตอนนี้พระธาตุอินทร์แขวนบูรณะเสร็จแล้ว ทางเราจะยังจะไปอีกหรือไม่ พอได้รับข่าวดีดังกล่าว ก็รีบตอบกลับไปว่า ไปและให้ใช้แพลนทริปดั้งเดิมตอนที่ส่งไปครั้งแรก 
อย่างที่บอกไป ทริปนี้เป็นทริปสักการะ 4 มหาบูชาสถานสำคัญสูงสุดของพม่า ซึ่งจริงๆแล้วมหาบูชาในพม่ามีอยู่ด้วยกัน 5 แห่ง ที่เป็นความใฝ่ฝันของชาวพุทธพม่าว่าครั้งหนึ่งในชีวิตควรได้เดินทางไป ถามว่าทำไมไม่ไปให้ครบทั้ง 5 สถานที่เลย ก็เพราะเวลามีเพียงเท่านี้ 4 วัน 3 คืน ไปมากสุดคงได้แค่ 4 สถานที่ และเป็นสถานที่ดังต่อไปนี้
1.มหาเจดีย์ชเวดากอง กรุงย่างกุ้ง
2.มหาเจดีย์ชเวซิกอง เมืองพุกาม 
3.เจดีย์ชเวมอดอร์ เมืองหงสาวดี 
4.พระธาตุอินทร์แขวน “ไจก์ทิโย”

ส่วนอีกที่ที่ไกลเกินไปไม่สามารถเก็บไว้ในทริปนี้คือ 
5.พระมหามัยมุนี แห่งมัณฑะเลย์ 

ไว้ถ้าแอร์เอเชียออกโปรถูกๆ ที่มัณฑเลย์อีกเมื่อไหร่ เราพร้อมจะตามไปเก็บให้ครบให้เป็น 5 มหาบูชาสถานเลยครับ 
!!! อัพเดท : เราได้เก็บอีก 1 มหาบูชาสำเร็จแล้วครับ เราได้ไปชมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี เมื่อวันที่ 6-8 มิถุนายน 2557 ตาม link นี้ครับ 

เป็นอันว่า ทริปพม่าครั้งนี้ จะได้ไปครบ 4 มหาบูชาตาที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม งั้นตามเราไปเที่ยวด้วยกันครับ


ตั้งแต่แอร์เอเชียย้ายไปสนามบินดอนเมืองตั้งแต่ตุลาคม ปีที่แล้ว ทำให้เราเดินทางจากบ้านไปสนามบินไกลขึ้น ไฟล์เช้าๆ แบบนี้ต้องตื่นตี 3 กันเลยทีเดียว แล้วก็โทรเรียกแท็กซี่ให้มารับที่หน้าบ้านไปส่งยังสนามบินดอนเมือง
ถึงสนามบินดอนเมือง ตี 4 กว่าๆเอง เช้ามาก แถมง่วงนอนด้วย แต่ก็มาเตร็ดเตร่ที่ Gate 25


จากฟ้ามืดๆ ในที่สุดฟ้าก็สว่างมาแล้ว พร้อมๆกับเครื่องบินลำนี้ที่จอดรออยู่ที่ Gate 25
ได้เวลาขึ้นเครื่องกัน


กำลังจะเทคออฟ พร้อมๆกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นด้านตะวันออกของสนามบิน
เอ๊ะ...แล้วถ่ายได้ไงเนี่ย ก็ถ่ายเครื่องลำก่อนหน้าเราไง


เวลาผ่านไปไม่นาน (หลับไป 1 ตื่น) เครื่องก็ลดระดับลง มองเห็นเจดีย์อยู่ด้านล่าง Shwe Taw Myat หรือวัดพระเขี้ยวแก้วจุฬามณี หรือเปล่าไม่แน่ใจ


เกือบ 8 โมงเช้า เครื่องบินก็นำเรามาถึงสนามบินมิงกาลาดง ในรูปบ่งบอกสัญลักษณ์ของพม่าได้ชัดเจน
เวลาในพม่า ช้ากว่าไทย 30 นาที


ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองเสร็จก็เดินผ่านเห็นมีคนมายืนโชว์ชื่อเราอยู่ด้านนอก เป็นอันใจชื้นมีคนมารับตามที่ตกลงกันแล้ว
เราเดินมารอกระเป๋า โดยสุดทางของสายพานจะมีเคาน์เตอร์แลกเงินอยู่ แนะนำให้แลกเงินดอลล่าร์เป็นแจ๊ด หรือจ๊าดแล้วแต่จะออกเสียงกันที่นี่ครับ เพราะเรตจะดีที่สุด ได้รับกระเป๋ามาแล้วเคาน์เตอร์ก็ยังไม่เปิด เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ ได้ความว่า เดี๋ยวจะบอกภายใน 5-10 นาที ก็ยืนรอตรงด้านหน้าเคาน์เตอร์เป็นคนแรกเลย


นำเงินดอลล่าร์สหรัฐจำนวน 500 USD ไปแลกครั้งแรก ได้เรต 1 USD = 855 KYAT
ทำให้ได้เงินแจ๊ดมาทั้งสิ้น 427,500 แจ๊ด

โดยตอนอยู่ในไทย แลกเงินดอลล่าร์มาด้วยเรต 1 USD = 29.85 บาท


รถจากเอเย่นต์ที่ติดต่อทาง email มารอรับหน้าสนามบิน ใหม่และข้างในหอมด้วยดอก money flower และดอกมะลิ


สถานที่แรกที่ตกลงกันที่จะพาไปคือ Shwe Taw Myat หรือวัดพระเขี้ยวแก้วจุฬามณี เป็นเจดีย์ทรงปราสาทแปดเหลี่ยม ปลายยอดเจดีย์ประดับด้วยทองคำแท้อร่ามตา

มาครั้งแรกนี่ตอนถอดรองเท้าก็ไม่ได้ถอดถุงเท้าด้วย ทำให้ตอนขึ้นไปด้านบนมีเจ้าหน้าที่มาชี้ที่เท้าเหมือนกัน แต่ฟังไม่ออก แต่มารู้ทีหลัง


ก่อนจะเข้าไปด้านใน มีสิงห์น่าเกรงขามยืนเฝ้าอยู่


เข้าไปด้านในกันครับ


ซูมเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นพระเขี้ยวแก้วองค์จำลอง หรือพระทันตธาตุโดยบรรจุอยู่ในโถแก้ว ซึ่งตั้งอยู่บนบุษบกสีทอง


แหงนมองด้านบน เป็นพระพุทธรูปสีทองเต็มไปหมด


แล้วก็ไปต่อกันที่นี่ครับ Mahapassana cave ที่นี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรม แต่คนขับแนะนำให้เข้าไปดูครับ


ด้านในโล่ง กว้างมากๆครับ ที่เห็นสว่างเพราะใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ แต่จริงๆมืดๆครับ

ที่นี่ใช้ประชุมสงฆ์ในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 โดยจำลองลักษณะของสัตตบรรณคูหาในอินเดีย ที่ที่เคยสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นครั้งแรก  ปัจจุบันใช้เป็นสนามสอบบาลีชั้นสูง และประกอบพิธีสำคัญ


ประตูทางเข้าเป็นไม้แกะสลักสวยงามทีเดียว


และไม่ไกลกันนั้นก็คือ Kaba Aye Pagoda หรือเจดียกาบาเอ  เจดีย์ทรงกลม ที่มีความสูงและขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากันที่ 34 เมตร สร้างโดยนายอูนู นายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่าเพื่อใช้เป็นสถานที่ชำระพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2497-2499 และเพื่อให้บังเกิดสันติสุขแก่โลก ล่าสุดเป็นสถานที่การประชุมสงฆ์โลกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2475 ที่ผ่านมา ที่สำคัญเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมทั้งพระธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคลานะ


เดินไปรอบๆเจดีย์จะพบกับพระพุทธรูปตามวันเกิดครับ มีชาวพม่ามารดน้ำกันทั่วไป


เดินเข้ามาภายในครับ ไม่น่าเชื่อว่าเราสองมีบุญ ได้เข้าไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมทั้งพระธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคลานะ ซึ่งปกติจะไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้า แต่วันนี้เหมือนมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพม่ามา เลยพลอยได้เข้าไปชมด้วย โชคดีจริงๆ ครับ

สังเกตจะมีประตูกรงเหล็กแข็งแรงอย่างหนาแน่นเลย


เข้าไปด้านในจะพบกับพระพุทธรูปสีทองอร่ามปรากฎอยู่


นี่หล่ะครับ พระบรมสารีริกธาตุ พร้อมทั้งพระธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคลานะ ทัวร์ไทยที่มากรุ๊ปนึงได้เข้าไปสักการะด้วยครับ


เดินออกมาก็จะมีร้านขายของต่างๆเยอะแยะเชียว


ออกจากเจดีย์กาบาเอ ก็เดินทางต่อ เห็นป้ายโฆษณาการ์นิเย่ โดยมีอนันดาดาราดังของไทยเรามาเป็นแบบเลยถ่ายเก็บไว้


สภาพตามถนนในเมืองย่างกุ้ง ไม่จอแจเท่าอินเดียหรอกครับ สบายๆ


และแล้วก็มาถึง Chauk Htat Gyi Paya หรือคนไทยเรียกพระตาหวานนั่นเอง

พระพุทธไสยาสน์เจ๊าทัตจี มีลักษณะเด่น คือดวงตาที่ดูใสเป็นประกาย ประกอบกับขนตาที่ดูงอนยาวงดงามรับกับดวงตา พระพักตร์ที่ดูยิ้มแย้มมีความสุข และเปี่ยมด้วยเมตตา


ผมเข้าไปรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อลังการมากครับ ขนลุกยังไงไม่รู้ ประทับใจจริงๆ


มุมนี้ได้เก็บวิวทั้งหมดขององค์พระ โดยสามารถเห็นพระบาทที่มีภาพมงคล108 ประการและพระบาทซ้อนกัน


ใกล้ๆกันจะมีรูปปั้นของท่าน U PO THA ซึ่งเป็นผู้บริจาคการสร้างวัดพระนอนวัดนี้ และเจดีย์ชเวดากองด้วย ท่านมีคุโณปการหลายอย่างกับพม่า ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินจากรัฐบาลอังกฤษ และสุดท้ายได้เป็นท่านเซอร์


แล้วเราก็ไปต่อที่นี่ครับ Nga Htat Gyi หรือพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในพม่า

ที่นี่เสียค่าเข้าชมคนละ 2 USD


บอกตรงๆว่า เวลาผมเข้ามากราบพระองค์ท่าน รู้สึกถึงความศรัทธายังไงไม่รู้ อิ่มอกอิ่มใจมากครับ ทั้งหมดแล้วผมชอบพระพุทธรูปองค์นี้มากสุดครับ


แบบเต็มตัวมั่งครับ ให้ทายกันว่า ที่เห็นพระตัวเล็กๆนั่น พระจริงหรือไม่ครับ ?


เดินสำรวจรอบๆ ก็จะมีรูปปั้นพระเดินตามพระพุทธเจ้า


เรื่มจะใกล้เที่ยงแล้ว นั่งรถต่อไปที่ Kandawgyi Nature Park กันครับ ตอนนี้พม่าเริ่มใช้โทรศัพท์มือถือกันมากขึ้นแล้ว ราคาคงลดลงจากเดิมอย่างมาก เห็นร้านมือถือเต็มไปหมด


Kandawgyi Nature Park เป็นสวนสาธารณะกลางกรุงย่างกุ้ง มีพื้นที่ที่เป็นดิน 110 เอเคอร์ เป็นน้ำ 150 เอเคอร์ รวมทั้งหมด 260 เอเคอร์ ภายในมีภัตตาคารการะเวก ที่ทัวร์ชอบพามาทานอาหารค่ำแบบบุฟเฟต์กัน


อีกฟากของทะเลสาบจะเห็นเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งเราจะต้องไปในวันนี้ครับ


รถแล่นผ่านด้านข้าง


ก่อนจะไปทานข้าว เราไปต่อที่ Nat Bo Bo Gyi หรือเทพทันใจ กับ Botataung Paya หรือเจดีย์โบตาทาว

ในรูปเป็นทางเดินเข้าไปยังเทพทันใจครับ


ไปขอสิ่งที่อยากได้จากเทพทันใจ แต่ก่อนจะเข้าไปต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 3 USD และแนะนำให้ซื้อเครื่องบูชา เป็นมะพร้าว กล้วย ที่เขาจัดไว้ให้ ราคา 1,000 แจ๊ด

วิธีขอพรจากเทพทันใจ ให้นำธนบัตรสองใบม้วนเป็นกรวยซ้อนกันใส่ในมืแล้วไหว้ขอพร แล้วดึงกลับหนึ่งใบเก็บไว้บูชา หลังจากนั้นให้แตะหน้าผากกับนิ้วชี้


ออกมาเพื่อเดินไปรอบๆของเจดีย์โบตาทาว


เดินเข้าไปด้านในกันครับ เจดีย์โบตาทาวก่อสร้างขึ้นเพื่อรับพระเกศาธาตุก่อนที่จะนำไปบรรจุในพระเจดีย์ชเวดากอง เมื่อพระเกศาธาตุได้ถูกอัญเชิญขึ้นจากเรือได้นำมาประดิษฐานไว้ที่พระเจดีย์แห่งนี้ก่อน องค์พระเจดีย์ได้ถูกทำลายในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่โดยที่ใต้ฐานพระเจดีย์มีโครงสร้างโปร่งให้คนเดินเข้าไปภายในได้ ด้านฝาผนังใต้ฐานพระเจดีย์ได้นำทองคำและของมีค่าต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนชาวพม่านำมาถวายองค์พระเจดีย์มาจัดแสดงไว้


ถ่ายซูมมาให้ดูกันครับ พระเกศาธาตุพระพุทธเจ้า


จบที่วัดนี้ก็ได้เวลาไปทานอาหารกลางวันกันแล้ว ทางคนขับรถแนะนำที่นี่ครับ จำชื่อไม่ได้แล้ว ร้านอยู่ติดแม่น้ำ แถวๆท่าเรือ  เมนูอาหารก็มีไก่ หมู เนื้อ ราคาตามที่แสดงครับ


ระหว่างรออาหารที่สั่งไป ก็นั่งดูนวัตกรรมของร้านที่ทำลิฟท์ขนอาหารจากห้องครัวซึ่งอยู่ชั้นบนลงมาด้านล่าง


อาหารมาเสริฟแล้ว สั่งมา 2 จาน ทานกันเกือบไม่หมด ด้านบนคล้ายๆยากิโซบะเนื้อ ส่วนด้านล่างเป็นกุ้งชุบแป้งทอด


ทานเสร็จก็มาต่อที่นี่ครับ กะจะเข้าชม Sule Paya บริเวณรอบๆก็จะมีโบสถ์คริสต์ครับ


อีกทิศหนึ่งก็จะมีคล้ายๆอนุเสาวรีย์ชัยของไทยเรา คงสร้างไว้เพื่อระลึกถึงอะไรสักอย่าง พอดีดันจำไม่ได้


นี่ครับ Sule Paya ค่าเข้าคนละ 2 USD แต่ไม่ได้เข้าไปครับ เกรงจะเสียเวลา เพราะยังเหลืออีกหลายสถานที่ก่อนจะไปขึ้นรถที่ท่ารถบัสไปพุกาม


ในที่สุดก็มาถึงจนได้ มหาเจดีย์ชเวดากอง ร้อนนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรครับ สู้ๆ


ทางเดินรอบองค์เจดีย์ คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะเป็นช่วงบ่ายครับ


มีกล้องให้คนทั่วไปมองดูอัญมณีที่ปลายยอดเจดีย์ แต่เราไม่ได้ดู เพราะโดนแย่งคิวครับ ฮือๆ


ต่างคนต่างมาจากหลากหลายสถานที่ แต่จุดหมายเดียวกันคือ การมาสักการะมหาเจดีย์ชเวดากองสักครั้งในชีวิต


เดินไปรอบๆ กว่าจะได้มุมที่เก็บภาพเต็มๆองค์พระเจดีย์ เสียดายที่ไม่มีเลนส์ไวด์ จำเป็นเลยครับสำหรับถ่ายพวกวัดและเจดีย์

ประวัติ
ตามตำนาน เจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10 โดยชาวมอญ ตามตำนานนั้นเริ่มจากว่า มีพี่น้องพ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น สำหรับให้พ่อค้าทั้งสองรับไว้บูชา
พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แผ่นดินไหวเล็กๆน้อยๆ เรื่อยมาทำให้พระเจดีย์ได้รับความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ. 2311 (ในสมัยกรุงธนบุรี) ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก ทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา

บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด โดยเฉพาะชื้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 76 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด

เจดีย์ชเวดากอง ถือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีมะเมีย (ม้า)


ไหว้พระก่อนลาจากมหาเจดีย์ชเวดากองก่อนครับ


สักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากองจนเต็มอิ่ม เราก็เดินทางต่อไปที่ Ko Htat Gyi Paya


พระพุทธรูปในพม่านี่คนสร้างเขาสร้างกันยิ่งใหญ่จริงๆครับ ด้วยแรงศรัทธาจริงๆ


ไหว้พระเสร็จ mr. Ye คนขับรถก็พาเราเดินเข้าไปดูอะไรใกล้ๆ นั่นก็คือ การกวนข้าวมธุปายาส นั่นเอง เป็นประเพณีก่อนวันพระใหญ่ที่สืบต่อกันมาในพระพุทธศาสนาที่มีอยู่ในทุกชาติเหมือนกันหมด


มาต่อที่ปางช้างเผือกกันครับ White Elephant House มีช้างเผือกอยู่ด้วยกัน 3 เชือกครับ แต่จะสีเผือกจริงๆ 2 เชือก


ดูเวลา ไม่ได้การซะแล้ว กลัวตกรถบัสไปพุกามครับ เลยให้คุณเยพาไปส่งที่สถานีขนส่งก่อนดีกว่า
กว่าจะหาเจ้ารถทัวร์เจอก็ต้องถามคนแถวนั้นกัน มาถึงแล้ว นั่งรอรถครับ กลายเป็นว่าไปก่อน 1 ชม. ไปถึง 5 โมงเย็น รถออก 6 โมงเย็น

ตั๋วรถบัสทางเอเย่นต์ซื้อมาให้เราล่วงหน้าแล้ว ราคาคนละ 15,000 แจ๊ด ขาเดียว


เหลือบดูนาฬิกา อีก 15 นาทีจะทุ่มนึงแล้ว คนก็ทะยอยกันออกไปด้านนอก แต่เจ้าหน้าที่พูดเป็นภาษาพม่าเลยไม่รู้เรื่อง ผมเลยไปถามว่าถึงคิวไปพุกามยัง เขาก็เลยบอกว่าถึงคิวแล้ว อ้าวเฮ้ย ไม่ถามนี่ไม่รู้เลยนัเนี่ย เตรียมตัวขึ้นรถกันได้แล้ว

จะบอกว่าทัวร์เจ้านี้ดีมากๆครับ รถใหม่สะอาด พวงมาลัยด้านซ้ายตรงกับการขับแบบชิดขวาครับ รถยี่ห้อ SCAVIA


ข้างในรถมีผ้าห่มใหม่ๆ พร้อมน้ำเปล่าคนละขวด แอร์เย็นเจี๊ยบ ไม่นานก็ถึงเวลารถออกแล้ว รถออกตรงเวลาครับ 1 ทุ่มก็ออกแล้ว

งั้นของรบนอนก่อนครับ ยังอีกยาวนานคืนนี้ zzz...zzzzz......zz..zz.zzzzz


หลับไปสักพัก รถก็มาถึงจุดจอดพักกลางทาง ต้องลงจากรถทุกคนครับ ที่นี่ที่ไหนหว่า งั้นลงไปสำรวจกันครับ


ที่จอดรถของทัวร์เจ้านี้กว้างมากๆ มีร้านที่เด่นๆคือ ร้าน Feel Express เป็นร้านประจำของทัวร์เจ้านี้ หรูหราดีครับ ดีกว่าจุดจอดพักรถทัวร์ของไทยเราอีก นั่งรถทัวร์ไทยไปเชียงใหม่ จอดพิษณุโลกมีแต่ข้าวต้มห่วยๆ ทาน 555 แต่นี่ต้องซื้อเองไม่มีทานฟรีครับ


เข้าห้องน้ำห้องท่าเสร็จก็มองๆว่ามีอะไรทานได้บ้าง ปรากฎว่าเจอซุ้มนี้ครับ สุรพลฟู๊ด ติ่มซำครับ เข้าทางเลย งั้นสั่งทานกันครับ ราคาก็คุ้มนะครับ ไม่ถูกไม่แพงมาก อิ่มไปอีกหลายชั่วโมงก่อนจะถึงพุกามตอนตี 5

งั้นขอตัวขึ้นรถต่องีบหลับเพื่อรอไปถึงพุกามในเช้ามืดวันรุ่งขึ้นก่อนครับ แล้วพบกันพรุ่งนี้เช้า ทุ่งเจดีย์ที่พุกาม


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น