วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มิงกาลาบา สักการะ 4 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า ตอน 3 แวะเที่ยวเมืองหงสาวดี ก่อนไปเขาไจทิโยจนครบ 4 มหาบูชา "เจดีย์ชเวมอดอ" + "พระธาตุอินทร์แขวน"


ตอนนี้เราจะกลับมาจากพุกามมายังย่างกุ่ง โดยรถบัสที่นั่งมาจากพุกามจะถึงที่สถานีรถบัสในย่างกุ้งช่วงเช้ามืดครับ แล้วแผนต่อไปก็คือทาง Mr.Ye จะเอารถมารับแล้วพาเราไปเที่ยวสักการะเจดีย์ระหว่างทางที่จะไปพระธาตุอินทร์แขวนในรัฐมอญ ซึ่งก็จะมีเจดีย์ไจ๊ปุ่น, พระนอนชเวตาเลียว, วัดไจ้คะวาย, เจดีย์ชเวมอว์ดอ และพระราชวังบุเรงนองในเมืองหงสาวดี แล้วสุดท้ายไปส่งเราที่คิมปุนแค้มป์ ทางขึ้นเขาไจทิโย เป็นอันสิ้นสุดภารกิจของ Mr. Ye ในวันนี้ครับ ต่อจากนั้นเราก็จะนั่งรถขนหมูขึ้นไปยังบนเขาไจทิโยสักการะพระธาตุอินทร์แขวนต่อไป


อย่างที่บอกไปว่าระยะของที่นั่งระหว่างแถวคันนี้แคบมาก เลยทำให้ผมปวดหัวเข่ามาก จนต้องเอายาพารามาทาน 2 เม็ดระหว่างอยู่บนรถ และสถานที่ที่แวะพักกลางทางก็ดูโลโซไม่เหมือนเที่ยวขามาครับ ครั้งนี้แย่ไปเลย จะแวะทานอาหารอะไรก็ไม่ได้เพราะมีแต่อาหารพื่นเมือง กลัวจะท้องเสียเอา เลยแค่ลงจากรถและมายืนๆนั่งๆรอ ครึ่งชั่วโมงได้
นอนๆ ตื่นๆ บนรถบัส รถก็เข้ามาจอดในสถานีขนส่งย่างกุ้งแล้ว แต่ดูแล้วคนที่จะมารับเราคงลำบากแน่เพราะไม่ใช่ที่เดิม คงหากันนานทีเดียว
รถจอดที่สถานีขนส่งเวลาประมาณ 4.20 น. ยังมืดๆอยู่ เดินลงมาและผมเข้าไปถามคนขับรถคันนี้ว่า ช่วยติดต่อ Mr. Ye ตามเบอร์โทรที่เขียนในกระดาษนี้หน่อย ซึ่งคนขับรถก็ให้ความร่วมมืออย่างดีครับ แต่กดเบอร์โทรช้าหน่อย ไปติดใครก็ไม่รู้ คิดว่าจะชวดซะแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมคุย เป็น Mr. Ye จริงๆด้วย ก็บอกไปว่าเรามาถึงสถานีขนส่งแล้ว ให้มารับด้วย บอกชื่อทัวร์ไปครับ และก็ขอนานถึง 15 นาที Mr. Ye ก็หาเราเจอจนได้ เฮ้อ....เกือบไป


หลังจาก Mr. Ye มารับเราแล้ว ก็พาไปที่บ้านของเจ้าของเอเย่นต์ที่เราติดต่อ เป็นแฟลต 4 ชั้น อยู่ชั้นบนสุด ไปอาบน้ำที่นี่ครับ อาบน้ำกันเสร็จก็งีบหลับที่เตียงที่เขาจัดให้ เรารู้สึกอบอุ่นและความเป็นมิตรไมตรีที่เอเย่นต์ชาวพม่านี้มอบให้เราครับ

หลับไปสักครู่ใหญ่ๆ เขาก็มาปลุกว่ากลัวจะสาย เลยลุกและเคลียร์ค่าใช้จ่ายให้เขา เสร็จแล้ว Mr. Ye ก็พาไปทานอาหารเช้าครับ  Mr. Ye พามาทานร้านนี้ ร้าน Lucky Seven เพราะดังในละแวกนั้น เป็นอาหารแนวติ่มซำ มีคนมาทานเยอะ อาหารก็อร่อยดีครับ


หน้าตาอาหารมื้อเช้านี้ ทานกัน 3 คน


ทานอาหารเสร็จก็เริ่มบึ่งรถไปเมืองหงสาวดี หรือบาโก(Bago) ระหว่างทางในย่างกุ้ง รถแล่นผ่านสุสานสงครามโลกครั้งที่สอง มีหลุมศพทหารอังกฤษ(อินเดียและพม่า)เสียชีวิตจากการรบกว่า 27,000 คน สุสานจัดทำเหมือนที่เมืองกาญจนบุรีของไทย แต่จำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่า และทหารก็เสียชีวิตจากการรบเป็นส่วนใหญ่ส่วนที่เมืองกาญจน์ ผู้เสียชีวิตเป็นเชลยศึกที่ถูกจับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ


จากย่างกุ้งมาหงสาวดี จนถึง Kyaik Pun Pagoda หรือเจดีย์ไจ๊ปุ่น
โดยค่าเข้าชมนั้น เป็นค่าเข้าเมืองหงสาวดี คนละ 10 USD แล้วเข้าได้ทุกเจดีย์ ทุกวัดในเมืองหงสาวดีนี้ โดยต้องเก็บตั๋วไว้เพื่อแสดงเวลาเจ้าหน้าที่ขอดู


ที่นี่มีพระพุทธรูปปางประทับนั่งโดยรอบทั้ง 4 ทิศ ผมเรียกว่าพระประธานจตุรทิศ ประกอบด้วย พระสมณโคดม(ทิศเหนือ), พระโกนาคม(ทิศใต้), พระกกุสันโธ(ทิศตะวันออก) และพระมหากัสสปะ(ทิศตะวันตก) สร้างโดยสี่สาวพี่น้องที่อุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนาโดยสร้างพระพุทธรูปแทนตนเองและสาบานตนไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ แต่สุดท้าย น้องคนเล็กก็ผิดคำสาบานไปแต่งงานมีครอบครัว จึงทำให้พระพุทธรูปหน้าที่ 4 สร้างยังไงก็สร้างไม่เสร็จเรียบร้อยจนถึงปัจจุบัน


รวมรูปพระพุทธรูป 4 ทิศด้วยกัน


ออกมาก็อุดหนุนลูกตาลแม่ค้าหน่อย ราคาลูกละ 3 บาท มี 3 ลูก


แล้วก็ไปต่อที่มหาเจดีย์ Mahar Zedi Pagoda


กราบพระกันก่อนครับ


มหาเจดีย์สูงเหมือนกันครับ สามารถเดินขึ้นไปด้านบนได้ด้วย แต่เราไม่ขึ้นเพราะมีอีกหลายจุด กลัวจะเสียเวลา


เดินวนรอบๆ ก็จะเจอกับวิหารเจดีย์อีกจุดหนึ่ง


ไปต่อกันที่ Shwe Thar Lyaing หรือพระนอนชเวตาเลียว ทางเข้าใหญ๋และสูงทีเดียว


ชเวตาเลียว ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวพม่าทั่วประเทศ


อีกมุมหนึ่ง เก็บเต็มตัว


ลายบนฝ่าพระบาท


ด้านหลังพระนอนก็จะเป็นเรื่องราวการสร้างพระนอนแห่งนี้ครับ มีหลายตอนเลย ผมถ่ายมาตอนจบแล้ว


ก่อนจากที่นี่ไป ขออีกสักรูป


ระหว่างทางบนท้องถนนเมืองหงสาวดี


ก่อนจะไปตามโปรแกรมที่ก๊อปๆ กันมาจากในเว็บ ทาง Mr. Ye ได้แนะนำให้มาที่นี่ครับ เป็นวัดไจ้คะวายที่จะมีพระเณรมาบิณฑบาตรประมาณ 400 รูป ในรูปกำลังเตรียมโต๊ะกันอยู่เพื่อรอฉันเพล


ทัวร์ไทยหลายทัวร์มาลงที่วัดนี้ คงจะเป็นโปรแกรมที่บรรจุไว้สำหรับวัดในเมืองหงสาวดี ระฆังเคาะดังในเวลา 11.00 น. พระเริ่มเดินตามทางมาแล้ว


ได้มีบุญได้ใส่บาตรพระเณรในพม่าแล้ว


เสร็จแล้วไปต่อ 1 ใน 5 มหาบูชาสถานในพม่ากันเลยครับ เจดีย์ชเวมอดอ หรือพระธาตุมุเตา เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในหงสาวดี สัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของกรุงหงสาวดีในอดีต

ประวัติ
เจดีย์ชเวมอดอ ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ใจกลางเมืองหงสาวดี พระเจดีย์องค์นี้ถือว่ามีความโดดเด่นในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และยังเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดของชาวพม่า นอกจากนี้มหาเจดีย์ชเวมอดอ ยังเคยผ่านการพังทลายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วถึง 4 ครั้ง โดยแผ่นดินไหวครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 ก.ค. พ.ศ. 2473 ได้ทำให้ปลียอดของเจดีย์องค์นี้หักพังลงมา แต่ว่าด้วยความศรัทธาที่ชาวเมืองมีต่อเจดีย์องค์นี้ พวกเขาได้ทำการสร้างเจดีย์ชเวมอดอขึ้นมาใหม่ในปีพ.ศ.2497 ด้วยความสูงถึง 374 ฟุต (ตอนแรกที่สร้างสูง 70 ฟุต) นับเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า ส่วนปลียอดที่พังลงมาก็ได้ตั้งไหว้ที่มุมหนึ่งขององค์เจดีย์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชาควบคู่ไปกับเจดีย์องค์ปัจจุบัน
สำหรับความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเจดีย์ชเวมอดอก็คือ เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแบบมอญอย่างเด่นชัด คือมีฉัตรแบบเรียบๆและมีองค์ระฆังของเจดีย์มีลักษณะแคบเรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้ ภายในเป็นอิฐกลวง แตกต่างจากเจดีย์ชเวดากองที่เป็นเจดีย์แบบพม่า(อย่างชัดเจน)


ปลียอดที่พังลงมาก็ได้ตั้งไหว้ที่มุมหนึ่งขององค์เจดีย์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชาควบคู่ไปกับเจดีย์องค์ปัจจุบัน


เข้าไปกราบพระกันก่อนครับ


อีกมุมหนึ่งของเจดีย์ชเวมอดอ


เราไปต่อที่พระราชวังบุเรงนองกัน


เข้าไปภายในกันครับ
ประวัติ
ปี พ.ศ. 2142 ในสมัยพระเจ้านันทบุเรง พระราชวังบุเรงนองได้ถูกทำลายด้วยฝีมือของพวกยะไข่กับตองอู ทิ้งให้พระราชวังแห่งนี้รกร้างลงเป็นเวลาร่วม 3 ศตวรรษ ซึ่งพระราชวังเดิมนั้นเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์และถูกจับเป็นตัวประกันอีกด้วย


บัลลังก์ของพระเจ้าบุเรงนอง


จำลองเครื่องใช้ไม้สอยในพระราชวังสมัยนั้น


ในปี พ.ศ. 2533 มีการค้นพบเสาและกำแพงเดิมที่ถูกฝังอยู่ในดิน รัฐบาลพม่าจึงได้ทำการขุดค้นและสร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยถอดแบบจากของเดิม ซึ่งบางส่วนได้สร้างแล้วเสร็จไป ส่วนอีกบางส่วนก็กำลังรอทุนในการก่อสร้างอยู่


ราชรถจำลอง


อีกฝั่งหนึ่งจะมี Bee Throne Hall หรือบัลลังก์ผึ้ง ซึ่งฐานของบังลังก์จะเป็นรูปผึ้ง


นี่หล่ะครับ บัลลังก์ผึ้งของพระเจ้าบุเรงนอง


ครบหมดที่เมืองหงสาวดีแล้ว ก็นั่งรถยาวไปต่อที่ไจ้ทิโยกันเลย


ระหว่างทางผ่านสะพานข้ามแม่น้ำสะโตง แม่น้ำที่พระนเรศวรทรงพระแสงปืน


มาแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านนี้ จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่ตั้งอยู่หลังจ่ายด่านนิดเดียว มีนักท่องเที่ยวแวะทานเยอะมาก  สั่งกับข้าวตามที่อยากกินกันเลยครับ


สั่งเสร็จมารอที่โต๊ะ และแล้วก็มาเสริฟ ทั้งหมดสั่งไปแค่ 3 อย่าง นอกนั้นเป็นเครื่องเคียงกับน้ำพริกเอามาเสริฟเต็มอัตรา พร้อมกับสั่งติ่มซำด้วย  จะทานหมดมั้ยเนี่ย??


บ่าย 2 ยี่สิบ รถก็มาส่งถึงคิมปุนแค้มป์แล้ว คราวนี้ Mr. Ye นัดแนะกับเราว่า พรุ่งนี้ให้ลงมาถึงที่นี่ไม่เกิน 10 โมงเช้า เพราะต้องไปเช็คอินให้ทันตอนเครื่องขึ้น บ่าย 3 โมงเย็นครับ


Mr. Ye ดีมากๆ เดินเข้าไปส่งเราพร้อมกับสอบถามเรื่องราคาค่ารถและแนะนำเราให้ขึ้นรถคันนี้ เพราะใกล้จะออกแล้ว  เรานั่งรอเป็น 20 นาที ร้อนก็ร้อน แต่ยังไม่ออกอีก เฮ้อ...เอาไงดีเนี่ย
แถมมีหลายคัน ออกไม่เป็นคิวกันอีกนะ แล้วแต่คนจะขึ้นคันไหน ผมว่าระบบจัดการยังไม่ดีครับ เหงื่อตกเลย ร้อนมากๆ แต่ในที่สุดก็ไปสักที


รถค่อยๆ ออกตัวไปตามทางที่ขึ้นเนิน แรกๆยังไม่มีอะไรมาก แต่สักพักความมันก็ค่อยๆ เริ่มแล้วครับ ขึ้นเขาเหวี่ยงไปมาซ้ายทีขวาที ราวก็ไม่มีจับ ก็ต้องเกร็งขาเกร็งก้นกันไปครับ แต่ด้วยความที่แต่ละแถวให้นั่ง 6 คนมันแน่นก็จริง แต่มันก็คงได้ประโยชน์ในเรื่องการเหวี่ยงนี่ละครับ จะได้ไม่มีช่องว่างในการเหวี่ยงมากนัก


แปลกแต่จริง รถใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็มาส่งที่จุดปลายทาง เสียค่ารถคนละ 2,500 แจ๊ด เราลงและเตรียมตัวเดินต่อเต็มที่


เริ่มเดินต่อกันครับ ในใจก็คิดว่าต้องไปต่อให้ได้


บางคนเดินไม่ไหวก็ใช้บริการเสลี่ยงกันครับ สังเกตคนแบก 4 คนเหงื่อท่วมตัวเลย ร้อนมากๆ


เดินไปไม่ถึง 5 นาทีก็ต้องเลี้ยวขวาเข้าห้องเพื่อจ่ายค่าเข้าพระธาตุอินทร์แขวน สำหรับชาวต่างชาติ คนละ 6 USD  แหม.....กลัวจะอ่านไม่รู้เรื่อง มีภาษาไทยด้วยครับ


อ้าว...จากจุดจอดลงเพื่อลงเดินจนมาถึงโรงแรมไจทิโย(Kyaik Hto Hotel) ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เป็นอันว่าถึงแล้วครับ เพราะพระธาตุอินทร์แขวนเองก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมแล้ว

งงเลย...ทำไมไม่ได้เดินแบบที่คนอื่นเขาบอกไว้เป็นหลายกิโลเมตร ใช้เวลาเป็นชั่วโมง  แต่ก็ดีใจครับ จะได้ไม่เหนื่อยมาก เก็บแรงไปสักการะพระธาตุอินทร์อขวนต่อ


วิวเมื่อมองจากห้องพักครับ มีบ้านพักหลายหลังลดหลั่นกันไป ตรงหน้าเป็นทิศตะวันตกพอดี


เอาสภาพห้องพักมาฝากครับ เป็นแบบเรือนแถวถ้าเป็นห้อง Double Room เห็นแล้วให้คิดถึงที่พักที่พูนฮิลล์ เนปาลตอนเดินเทรคกิ้งจัง


ภายในห้องมี 2 เตียง สภาพสะอาดดีครับ แต่เสียดายมีปลั๊กไฟแค่อันเดียว ตั้องแย่งกันชาร์ตแบตมือถือ


อาบน้ำชำระร่างกายเสร็จก็ออกมาข้างนอกพร้อมสำหรับการสำรวจพระธาตุอินทร์แขวนที่เกือบจะไม่ได้มาเพราะกำลังบูรณะอยู่แล้วทีเดียว

ด้านหน้าทางไปชมพระธาตุอินทร์แขวน มีสิงห์คู่ขนาบอยู่ครับ


ด้านขวามือจะมีรอยพระบาทจำลองและนำน้ำมนต์จากรอยพระบาทมาแตะศรีษะเพื่อเป็นสิริมงคล คนเยอะไปหน่อยเลยถ่ายด้านในไม่ทัน


เดินต่อไป เจอแล้วครับ พระธาตุอินทร์แขวนแบบไกลๆ ตอนนี้ประมาณ 5 โมงเย็นได้


ประวัติ
พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ้ก์ทิโย (Kyaikhtiyo)
• สถานที่ตั้ง : พระธาตุอินทร์แขวน ตั้งอยู่ที่เมืองไจ้ก์โถ่ อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า บนยอดเขา Paung Laung เหนือระดับ น้ำทะเล 3,615 ฟุต ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวนคือ มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น 1ใน 5 มหาบูชาสถาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และตามความเชื่อล้านนาเชื่อว่าเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีจอ (ปีหมา) ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต

ไจ้ก์ทิโย (Kyaikhtiyo) ในภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี โดยมีตำนานเล่าขานกันในสมัยพุทธกาล
• ตำนานที่ 1 : เล่าว่า ฤาษีติสสะผู้หนึ่งได้รับพระเกศาจากพระพุทธเจ้าที่ได้มอบให้ไว้เป็นตัวแทนพระพุทธองค์ให้ประชาชนสักการะ เมื่อครั้นได้มาแสดงธรรมเทศนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ผู้ที่ได้รับมอบพระเกศาต่างก็นำไปบรรจุในสถูปเจดีย์ แต่ว่าฤๅษีติสสะกลับนำไปซ่อนไว้ในมวยผม พอเวลาล่วงเลยถึงคราวที่ฤๅษีติสสะจะต้องละสังขาร โดยมีความตั้งใจจะนำพระเกศาไปบรรจุไว้ในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายกับศีรษะของตน จึงให้พระอินทร์ช่วยหาก้อนหินที่มีลักษณะเหมือนกับศีรษะ ซึ่งได้มาจากใต้ท้องมหาสมุทร และก็ให้พระอินทร์นำมาวางหรือแขวนไว้บนภูเขาหิน จึงเป็นที่มาของชื่อ "พระธาตุอินทร์แขวน" แต่ชาวพม่าและชาวมอญจะเรียกพระธาตุอินทร์แขวนว่า "ไจก์ทิโย" ซึ่งเป็นภาษามอญ หมายถึง เจดีย์บนหินที่มีรูปร่างคล้ายศีรษะฤๅษี
• ตำนานที่ 2 : เล่าว่า มีฤๅษีองค์หนึ่งซ่อนพระเกศาที่ได้รับมาจากพระพุทธเจ้าเมื่อครั้นมาโปรดสัตว์ในถ้ำไว้ในมวยผมมาเป็นเวลานาน เมื่อใกล้ถึงวาระที่จะต้องละสังขารจึงตัดสินใจมอบพระเกศาให้กับพระเจ้าติสสะ กษัตริย์ผู้ครองนครแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของลูกศิษย์ที่นำมาฝากให้ฤๅษีช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก แต่ก่อนอื่นพระเจ้าติสสะต้องหาก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายศีรษะของฤๅษี โดยมีพระอินทร์เป็นผู้ช่วยค้นหาจากใต้สมุทรนำมาวางไว้ที่หน้าผา


เดินต่อเข้าไปใกล้ๆ ขอไปสักการะปิดทองที่พระธาตุด้วยคนครับ


บริเวณด้านในนี้ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาครับ ทำได้เพียงอยู่รอบนอก ส่วนใหญ่ก็จะนั่งบูชากันสวดมนต์กัน


แสงพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว


ขยับออกมาอีกมุมหนึ่งบ้าง แสงอาทิตย์กับพระธาตุอินทร์แขวน


เดินวนมาฝั่งตรงกันข้ามเพื่อเก็บพระธาตุอินทร์แขวนอีกมุมหนึ่ง


เดินลงไปด้านล่างและแหงนมององค์พระธาตุขึ้นมาครับ ความรู้สึกตอนนั้นอิ่มอกอิ่มใจยังไงไม่รู้


แสงสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ณ พระธาตุอินทร์แขวน เมืองไจ้ก์โถ่ เขตรัฐมอญของประเทศพม่า


ลองแอบแคนดิดแม่ชีที่กำลังใช้ Ipad ถ่ายพระธาตุอินทร์แขวนครับ สังเกตว่าได้จังหวะกดชัตเตอร์พอดีเลย


อีกรูปครับ กำลังตื่นเต้นกับการถ่ายพระธาตุอินทร์แขวนด้วยมือถือซัมซุง


อีกฟากหนึ่งซึ่งเป็นทิศตะวันออก พระจันทร์กำลังขึ้นเต็มดวงทีเดียว เนื่องจากวันนี้เป็นวันมาฆบูชาพอดี ชาวบ้านที่มาก็ทำบุญด้วยการทำความสะอาดลานพระธาตุบริเวณรอบๆ


พระจันทร์ดวงจะสีส้มแล้วครับ


บรรยากาศลานหน้าพระธาตุ ตกเย็นแล้ว ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวทะยอยกันมามากขึ้น


เดินไปอีกฝั่งหนึ่ง มีทางเดินลงไปด้วย ร้านค้าเปิดกันเรียงราย ไปสำรวจกันครับ


เดินผ่านร้านนี้ได้กลิ่นทอดขนมเตะจมูก เลยทนไม่ไหวสั่งมา 1 อัน คล้ายๆขนมเบื้องแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว อร่อยด้วยครับ


ค่ำแล้ว ได้เวลากลับที่พัก ยิ่งนานอากาศยิ่งเย็นมากขึ้น พระธาตุอินทร์แขวนที่เปิดไฟส่งที่หินก็ยิ่งสวยไปอีกแบบ กับฟากฟ้าที่แทบจะไม่มีแสงอะไรแล้ว


วันนี้บนพระธาตุอินทร์แขวนก็ใกล้จะหมดลงแล้ว ขอจบบันทึกเดินทางไปด้วยภาพนี้ครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น