วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มิงกาลาบา สักการะ 4 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า ตอน 2 เพลิดเพลินกับทะเลเจดีย์ที่พุกามพร้อมเก็บอีกหนึ่งมหาบูชา "เจดีย์ชเวสิกอง"


ตอนนี้จะพาไปชมทะเลเจดีย์ที่พุกามตั้งแต่เช้ามืดกันเลยทีเดียว และสิ่งที่พลาดไม่ได้สำหรับวัตถุประสงค์หลักของทริปนี้คือ เก็บอีก 1 ใน 5 มหาบูชา นั่นคือ "เจดีย์ชเวสิกอง" ที่อยู่ในเมืองพุกามนี้ครับ พร้อมแล้วก็ตามไปด้วยกันเลย


หลังจากนั่งหลับบนรถบัสมาได้หลายชั่วโมง ก็มาสะดุดตื่นที่ประมาณเกือบตี 5 ได้ รถได้จอดและเปิดไฟ แต่ไม่มีใครมาบอกเราว่าถึงพุกามแล้ว แต่จากการมองดูคนอื่นๆในรถบัส พบว่าได้ทะยอยลงกันหลายคน รวมทั้ง 2 คนที่ถือกล้องนิคอนด้วย ซึ่งถ้าไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวคงไม่ลงเป็นแน่ เลยเดินไปถามคนขับด้านหน้าว่าที่นี่พุกามหรือยัง (Bagan) คนขับก็บอกว่านี่แหล่ะพุกาม อ้าว...อีกแล้ว ถึงแล้วยังไม่รู้ตัว ไม่มีใครมาบอกด้วยแฮะ
มืดๆอย่างนี้ เดินขนสัมภาระลงมาแบบงงๆ ว่าจะมีคนมารับเรามั้ย?


ลงจากรถที่สถานีขนส่งยองอู พุกาม นั่งรอที่ม้านั่งใกล้ๆ กันนั้นอยู่ไม่ถึง 5 นาทีได้ ก็มีคนพม่ามายืนโชว์ชื่อผม แต่มันกลับหัว! สุดท้ายก็คอนเฟิร์มกันเป็นที่เรียบร้อย ก็เลยพาไปยังรถม้าที่แจ้งไว้ล่วงหน้า โปรแกรมแรกที่เราจะไปกันคือ ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่เจดีย์ชเวสันดอ Shwesandaw
รถม้าพาเราสองค่อยๆแล่นไปเรื่อยๆ ย้อนทางจากรถบัสที่มาส่ง มืดๆ แต่ก็สามารถเห็นแสงตามเจดีย์ระหว่างทางได้

ไปถึงด้านหน้าเจดีย์ รถม้าก็จอดให้เราลงเพื่อเดินต่อขึ้นไปด้านบนของเจดีย์เพื่อรอชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นกัน
รูปนี้เป็นภาพอันสวยงามของเจดีย์อนันดา


ด้านข้างซ้าย เมื่อมองจากวิวด้านบน เป็นเจดีย์ Thatbyinnyu Phaya เป็นวัดที่สูงที่สุดในเมืองพุกาม(61 เมตร) ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงเมือง ถือเป็นแม่แบบของสถาปัตยกรรมพม่า


เวลาผ่านไป ฟ้าก็สว่างแล้ว แหงนมองขึ้นไปบนเจดีย์ชเวสันดอเอง

ขอเพิ่มข้อมูลครับ
เจดีย์ทั้งหมดในทุ่งเจดียนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ ดังนี้
1. สถูป หรือ เจดีย์  ที่พม่าเรียก Zedi เป็นเจดีย์ทึบตันเหมือนเจดีย์ในไทย
2. เจดีย์ที่สามารถเข้าไปทำศาสนกิจได้ เรียกว่า Zedi Phya คือเป็นทั้งทั้งเจดีย์และวัดสไปด้วยกันครับ
สังเกตจะไม่มีคำว่า temple เลย


ที่เห็นไกลๆ มีหลังคาเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งพุกาม


พระอาทิตย์ขึ้นแล้วครับ หลังจากรอคอยมาชั่วโมงกว่า ที่เห็นเจดีย์ตรงกลางคือ Dhammayangyi เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดมนพุกาม


บอลลูนเริ่มปล่อยกันมากขึ้นแล้ว ทำให้ทัศนียภาพเช้าวันนี้สวยขึ้นไปอีก


ซูมไปดูใกล้ๆ พระอาทิตย์กลมดิ๊กเลย คล้ายไข่แดงยังไงยังงั้น


อีกมุมหนึ่งครับ นักท่องเที่ยวทั้งไทยทั้งฝรั่งทั้งจีน กดชัตเตอร์กันไม่ยั้งครับ คงรอเวลานี้มานาน


เช้านี้มีหมอกปกคลุมแต่ไม่มากนัก นกกำลังโบบินเริ่มต่นวันใหม่


ก่อนจะจากลาวิวทุ่งเจดีย์แห่งพุกามเช้านี้ ขอเก็บอีกภาพหนึ่งแล้วก็ลงไปด้านล่าง


ลงมาด้านล่างแล้ว กะจะกลับไปที่รถม้า แต่พอดีคนพม่าที่ขายรูปเขียนสีอยู่ได้บอกว่าให้เดินไปดูพระนอนที่อยู่ใกล้ๆกัน ชื่อชินปินตาเลียว ความยาว 18 เมตร


เดินไปตรงปลายฝ่าพระบาท ปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อเก็บภาพมุมนี้


คนขายภาพเขียนสียังมาบอกผมให้ถ่ายรูปเจดีย์ชเวสันดอในมุมนี้ด้วย
แหม...กำกับตลอดเลย แต่เป็นมุมที่สวยครับ มีกรอบรูปมาด้วย


นี่หล่ะครับ ยานพาหนะที่เป็นรถม้าที่พาเราเที่ยวทั้งวันนี้ จะว่าไปก็สงสารม้านะครับ เหนื่อยแทนจริงๆ


จากชเวสันดอ รถม้ากำลังพาเรามุ่งไปอีกที่หนึ่ง


จะว่าไป นั่งรถม้าแบบสมัยเก่ามันก็ได้บรรยากาศดีนะครับ นอกจากทุ่นในเรื่องค่าใช้จ่ายไปแล้วเมื่อเปรียบเทียบกัเช่ารถเก๋ง
แต่เวลานั่งก็จะเด้งๆ ไม่นุ่มแบบรถครับ สนุกดี


มาถึงแล้วครับ วัดอนันดา
“เพชรน้ำเอกของพุทธศิลป์สกุลช่างพุกาม” คือคำกล่าวขวัญถึงมหาวิหารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองพุกาม ประเทศพม่า เริ่มสร้างขึ้นในปี พ.ศ.1633 แล้วเสร็จในปีต่อมา ในรัชกาลพระเจ้าจานสิตา
เมื่อก่อนยอดพระเจดีย์ยังเป็นสีขาวเหมือนกับพระเจดีย์องค์อื่นๆ ของพุกาม แต่รัฐบาลพม่าได้มาทาสีทองทับเมื่อปี พ.ศ.2533 เพื่อสมโภชการสร้างอานันทวิหารครบรอบ 900 ปี อานันทวิหารเป็นพระเจดีย์ที่สามารถเดินเข้าไปข้างในได้ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสมีมุขยื่น 4 ทิศ


วัดอนันดาจะแบ่งเป็น 4 ทิศ ซึ่งจะมี 2 ทิศที่พระพุทธรูปเป็นของดั้งเดิม คือทิศใต้และทิศเหนือ นอกนั้นทำขึ้นมาใหม่
พระกกุสันโธพุทธเจ้า ประจำทิศเหนือ (องค์เดิม)
พระโกนาคมน์พุทธเจ้า ประจำทิศตะวันออก (สร้างใหม่)
พระกัสสปพุทธเจ้า ประจำทิศใต้ (องค์เดิม)
พระโคตมพุทธเจ้า ประจำทิศตะวันตก (สร้างใหม่)
ผนังภายในแต่ละทิศมีพระพุทธรูปปางต่างๆ รายล้อมกว่า 1,800 อง

ในรูปนี้เป็นพระพุทธรูปด้านทิศตะวันตก พระโคตมพุทธเจ้า


พอดีมีเด็กชาวพม่าที่พูดภาษอังกฤษได้เดินมาบรรยายเรื่องราวประวัติต่างๆของที่นี่ให้เราฟัง เรามองว่าเป็นประโยชน์ดีก็ให้เดินตามมา

เดินวนขวากัน ในรูปเป็นทิศเหนือ ซึ่งสังเกตให้ดีที่พระพุทธรูปจะมีรอยขีดที่หัวเข่า ซึ่งจะบ่งบอกว่าเป็นพระพุทธรูปดั้งเดิม

เด็กพม่าบรรยายให้เราฟังว่า ถ้ายืนอยู่ใกล้ๆพระพุทธรูปจะมองเห็นพระองค์ไม่ค่อยยิ้ม (แบบรูปในด้านซ้าย) แต่พอเดินออกไปอีก จะเห็นพระพุทธรูปยิ้มขึ้นมานิดหนึ่ง (แบบรูปในด้านขวา)


วนมาที่ทิศตะวันออกครับ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างใหม่ สังเกตไม่มีรอยที่หัวเข่า


เด็กพม่าพาเรามาดูภาพเขียนสีที่เป็นชุดดั้งเดิม ที่ยังสามารถเป็นรายละเอียดได้ทั้งหมด นอกนั้นจุดอื่นเลือนหายไปหมดแล้ว


วนมาทิศใต้ครับ จะเห็นพระพุทธรูปแบบดั้งเดิม ซึ่งเปรียบเทียบกันในระยะใกล้, กลาง และไกล จากซ้ายไปขวาจะเห็นท่านค่อยๆยิ้มเพิ่มมากขึ้น


พระพุทธรูปเล็กมีมากประมาณ 1,424 องค์ และมีหน้าต่างอยู่เป็นพันหน้าต่าง


วิวที่มองจากด้านนอก เห็นองค์วิหารอนันดาบนยอดเป็นสีทอง สวยงาม


จบจากอนันดา สถานที่ต่อไปคือ Mahabodhi หรือเจดีย์มหาบดี ซึ่งได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมมาจากอินเดีย ผมว่ารูปทรงคล้ายพุทธคยามากครับ


เข้าไปกราบพระประธานด้านในกันครับ


และแล้วก็ไปทานอาหารเช้ากัน เป็นร้านอาหารแบบพม่าใกล้ๆกับ Bupaya บูพญา หรือเจดีย์ริมแม่น้ำอิรวดีกันก่อน  อาหารคล้ายๆขนมจีน และมีน้ำแกงเพิ่มมา พอลองท้องไปได้


ทานเสร็จก็เดินไปชมเจดีย์บูพญา ติดริมแม่น้ำอิรวดี


จากบนเจดีย์มองลงมาด้านล่างเห็นร้านอาหารกับเรือท่องเที่ยวจอดเรียงรายอยู่


สถานที่ต่อไป ตามมาเลยครับ Gawdawpalin สร้างในยุคของ NARAPATHISITHU (1174-1211) แล้วเสร็จในสมัยของ htilominlo 1227 สูง60เมตร ที่นี่ด้านหน้าทางเข้าจะมีร้านค้าอยู่พอควร


พระประธานทางเข้า หรือพระหน้าเด็ก


และพระพุทธรูปรอบๆ 3 ทิศที่เหลือครับ
ที่นี่ผมซื้อเสื้อยืดมา 1 ตัวครับ ราคา 60 บาท


สถานที่ต่อไปคือ Nan Phaya หรือนันพญา สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1602
เป็นวัดสไตล์มอญ  สร้างโดยเชลยมอญที่พระเจ้าอโนรธากวาดต้อนมา   เสร็จแล้วก็ขังพระเจ้ามะนูฮาที่วัดนี้เสียเลย   ภายในมีภาพสลักหินที่ผนังดูสวยงามมาก   มองไม่เห็นพระประธานภายในพระอุโบสถ แต่ลักษณะคล้ายช่องว่างตรงกลาง เดิมอาจเป็นที่ประดิษฐานของพระประธานตรงนี้ก็ได้ วัดนี้ คาดว่าเป็นวัดแรกที่สร้างในพุกาม


ภายในจะมีหินแกะสลักคล้ายๆในศาสนาฮินดู


และใกล้ๆกันเพียงเดินเท้าก็จะเป็น Manuha Phaya หรือมนุหพญา ด้านหน้ามีบตรใบใหญ่ตั้งวางอยู่

วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้ามนูหะ(King Manuha) กษัตริย์มอญที่ถูกจับตัวมาเป็นเชลยศักดิ์อยู่ที่พุกามพร้อมมเหสี และพลเมืองมอญอีกกว่า 30,000 คน ที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งที่พระเจ้าอโนรธาตีเมืองสะเทิมได้ในปีพ.ศ. 1600 แล้วยึดพระไตรปิฏก 30 ชุดมาไว้ที่พุกาม การที่พระเจ้ามนูหะทรงสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นก็เพื่อเป็นการถ่ายทอด และระบายให้รู้ถึงความอึดอัดใจ และความไม่สบายใจที่พระองค์ มีต่อการตกเป็นเชลยเช่นนี้


เข้าไปกราบพระธานด้านในครับ มีบางคนเรียกว่าพระอึดอัด
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่คับวิหาร ขนาบข้างด้วยพุทธสาวก ทั้งนี้เพื่อแสดงความอึดอัดคับข้องพระตาชหฤทัยที่ต้องถูกจองจำในฐานะเฉลยศึก


เสร็จแล้วก็ไปต่อที่ Mingalar Zedi หรือมิงกะลาเจดีย์  เป็นเจดีย์รูปทรงระฆังคว่ำใบใหญ่ อยู่ติดริมแม่น้ำอิรวดีที่สามารถเดินขึ้นไปข้างบนได้  มีทางเดินวนรอบหลายชั้น แต่ตอนนี้ เดินขึ้นไปได้แค่ชั้นเดียว ที่เหลือกั้นไม่ให้เข้าไปครับ


จิตรกรรมบางส่วนบนผนังเจดีย์ชั้นที่เดินขึ้นไปชมวิว มีสัตว์ปีกคล้ายๆเป็ดอยู่บนผนัง


เสร็จแล้วก็เดินทางต่อ เห็นฝรั่ง 2 คนกำลังขี่จักรยานกันอยู่ ถ้ามาหลายวันเราคงได้ใช้บริการบ้าง


มาถึงที่ Pahtothamma โดยที่นี่มืด จะต้องใช้ไฟฉายส่องดู


ชอบแสงที่ตกลงมาจากด้านบน ทำให้พระพุทธรูปประธานเด่น ส่วนจุดอื่นๆ ดูมืดออกไป


ภายในบนกำแพงที่ยังคงมีภาพเขียนสีปรากฎอยู่


ภาพเขียนพระโพธิสัตว์บนกำแพง ภาพเหล่านี้ได้รับการส่องด้วยไฟฉายของคนพม่าที่ดูและวิหารอยู่


สถานที่ต่อไปคือ Thatbyinnnyu Phaya หรือวัดสัพพัญญู

ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถัดจากวัดอนันดา มาทางตะวันตกเฉียงใต้ 500 เมตร เป็นที่รู้จักกันในนาม “ วัดสัพพัญญูู” จัดเป็นวัดที่สูงที่สุดในเมืองพุกาม(61 เมตร) ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงเมือง ถือเป็นแม่แบบของสถาปัตยกรรมพม่า
พระเจ้าอลองสิทธูทรงสร้างวัดนี้ขึ้นในกลางศตวรรษที่ 12 รูป ทรงคล้ายวัดอนันดา แต่แผนผัง ยาวกว่าด้านอื่นๆ ตัววิหารชั้นบนนั้นสร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยม ขนาดเล็ก ด้านใน “กลวง” ซ้อนอยู่ บนวิหารชั้นล่างที่มีขนาดใหญ่กว่า นับเป็นเอกลักษณ์ ของวัดพม่าโดยเฉพาะ ต่างจากวัดมอญที่นิยมสร้างเป็นวิหารชั้นเดียว แกนกลางชั้นล่างนั้นก่อเป็นแกนทึบ เพื่อเป็นฐานรากรองรับโครงสร้างของวิหารชั้นบนซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน องค์พระหันหน้าไปทางทิศตะวันออกวิหารแต่ละชั้นมีหน้าต่างสองแถวซ้อนกัน ทำเป็นซุ้มโค้ง ภายในจึงสว่าง และมีลมพัดผ่าน เข้ามาได้


เดินวนไปรอบๆภายในวิหาร เจอเด็กชาวพม่ากำลังเขียนภาพสีเพื่อนำมาขายเป็นรายได้ของครอบครัว ที่นี่คนขายของไม่ตื้อครับ สบายใจได้


แล้วก็ไปต่อที่ Shwegugyi
เป็นวัดสไตล์พม่าที่เก่าที่สุดในพุกาม สร้างเมื่อปี พ.ศ.๑๖๗๔ ในวัดมีพระประธานหันหน้าไปทางทิศเหนือ คือหันไปทางวังหลวง ซึ่งแตกต่างกับวัดพุทธโดยทั่วไปที่พระประธานจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก วัดนี้สร้างโดยพระเจ้า Alaungsithu ซึ่งท่านก็สิ้นพระชนม์ในวัดนี้เมื่ออายุ ๘๑ ชันษา


ที่นี่จะสามารถเดินขึ้นไปด้านบนได้ โดยบันไดจะแคบๆ และเตี้ยต้องระวังครับ
ด้านบนนี้สามารถมองเห็นวิววิหารอนันดาที่ยอดเป็นสีทองอยู่ห่างออกไป

ที่นี่มีสาวชาวพม่าตื้อให้ซ์้อภาพเขียนสีของพี่ชายเขา สุดท้ายก็ซื้อมาครับ ราคา 100 บาท เป็นพระกำลังหันหลังเดินบิณฑบาตร 4 รูป


ไปต่อกันที่ Dhammayangyi หรือวัดธรรมยางจี
เป็นวัดที่พระเจ้านะระตู่ได้สร้างขึ้นด้วยทรงปริวิตกว่าผลกรรมจากการกระทำปิตุฆาตจะติดตามพระองค์ไปในชาติภพหน้า พระองค์งสร้างวัด แห่งนี้ขึ้นเพื่อล้างบาป ปัจจุบัน วัดธรรมยางจี เป็นวัดที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้ดีที่สุดในพุกาม มีแผนผังคล้ายวัดอนันดา แต่ความประณีตกลมกลืนเทียบวัดอนันดาไม่ได้สะท้อนถึงบรรยากาศอันดำมืดมัวหม่นในยุคนั้น แต่ฝีมือการก่อศิลาต้องนับว่าเป็นเอกกล่าวกันว่าพระเจ้านะระตู่ทรงควบคุมดูแลการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ถ้าช่างวางเรียงศิลา ให้มีช่องพอให้สอดเข็มเข้าไปได้ แม้สักเล่มหนึ่ง ก็จะมีรับสั่งให้ประหารช่างผู้นั้นทันทีแต่วัดสร้างยังไม่ทันเสร็จ พระองค์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ลงเสียก่อน เหตุเพราะทรงรับเอาสนมในรัชกาลก่อน มาเป็นนางห้ามของพระองค์เองอีกต่อหนึ่ง แต่ไม่โปรดฯ พิธีแบบฮินดู ของชายาองค์หนึ่งซึ่งเป็นธิดามหาราชาแห่งแคว้นปะแทกกะยาในอินเดีย จึงสั่งประหารนางเสีย พระราชบิดาของนางทรงแค้นเคืองนักจึงส่งทหารมือดีแปดนายปลอมตัวเป็นพราหมณ์เดินทางไปเฝ้าพระเจ้านะระตู่ แล้วใช้ดาบปลงพระชนม์ขณะเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ก่อนฆ่าตัวตายเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด


พระพุทธรูปภายในวัดครับ


พระพุทธรูปที่หน้าตาแปลกออกไป


เรายังอยู่ที่ Dhammayangyi ครับ


ภาพเขียนสีบนผนัง


จุดเด่นอีกจุดหนึ่งของที่ Dhammayangyi ก็คือ มีพระพุทธรูป 2 องค์อยู่ใกล้กัน


แล้วก็ไปต่อกันที่ Sulamani Kyaung


พระพุทธรูปหลับตา


ภาพเขียนสีบนกำแพง


อีกฝั่งหนึ่ง เป็นรูปพระพุทธเจ้าปางไสยาสน์


ไหว้พระกันครับ


พระพุทธรูปองค์นี้มีที่ครอบด้วยครับ ไม่รู้เรียกว่าอะไร องค์อื่นๆที่ผ่านมาไม่มี


มาอีกองค์หนึ่ง ศรีษะเป็นทองรวมทั้งหูทั้งสองข้างด้วย แปลกดีครับ


เหลือบดูนาฬิกา บ่ายโมงนิดๆ บวกกับร้อนด้วย เลยขอให้คนขับม้าพากลับไปชมเจดีย์ชเวสิกอง แล้วส่งเราที่โรงแรมอ่องมิงกาลา เพื่ออาบน้ำอาบท่า พักผ่อนก่อนจะเช็คอินที่สถานีขนส่งยองอูเพื่อกลับย่างกุ้งต่อไปครับ


พระมหาธาตุเจดีย์ชเวสิกอง Shwezigon Pagoda เป็นเจดีย์ใหญ่ สวยงาม ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศพม่า เป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวพม่าและชาวไทย โดยชื่อ “ชเวสิกอง” มีความหมายว่า เจดีย์ทองแห่งชัยชนะ (ชเว = ทอง)

สร้างโดย พระเจ้าอโนรธามังช่อ แต่แล้วเสร็จในรัชกาลพระเจ้าจานสิตาแห่งอาณาจักรพุกาม ราว 960 ปีก่อน ภายในเจดีย์เชื่อว่าบรรจุพระเขี้ยวแก้วและพระสารีริกธาตุ โดยอัญเชิญมาจากลังกา บนหลังช้างเผือก พระเจ้าอโนรธามังช่อได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าช้างเผือกคุกเข่าลงที่ใด จะสร้างเจดีย์ไว้ที่นั่น


หลังจากสักการะเจดีย์ชเวสิกองเสร็จแล้ว คนขับม้าก็มาส่งที่โรงแรมครับ บริการโดยรวมไม่ดีครับ ไวไฟต้องเสียเงิน และที่น่าโมโหคือ บอกเวลาเช็คอิน 14.00 น. เราไปเช็คอิน 14.30 น. ยังต้องรอแขกห้องเดิมที่พักก่อนหน้านี้ออก และค่อยไปทำความสะอาด เสียเวลาไป 15-20 นาที น่าโมโหมากครับ ทั้งที่เวลาเช็คเอ้าท์ก็บอกไว้ว่า 12.00 น.

อาบน้ำครั้งแรกในพม่าเสร็จ ก็นอนหลับ


ตั้งปลุกที่มือถือไว้ 16.45 น. เพราะจะได้มีเวลาไปหาอะไรทานก่อนขึ้นรถกลับย่างกุ้งที่เวลา 17.30 น. แต่ที่ปลุกดันไม่ดัง ตื่นมาอีกที 17.16 น.  โอ้ย....รีบเก็บของและเดินไปที่ท่ารถเลย จากโรงแรมไปท่ารถใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการเดิน ไปถึงก็ไปถามว่ารถออกกี่โมง เจ้าหน้าที่ก็ชี้ให้ไปนั่งรอก่อน จะออก 6 โมงเย็น
สุดท้ายพอรถมาก็ขึ้น และรอจนรถออก รถเจ้านี้คนละเจ้ากับขามาครับ สภาพคล้ายๆ ป.2 บ้านเรา ระยะขาก็ด้านหน้าก็แคบ ปวดขาหมด แถมจอดหาผู้โดยสารหลายครั้งด้วย สรุปคือไม่ค่อยดี เจ้าขามาจากย่างกุ้งดีกว่าครับ
รออีก 11 ชั่วโมงครับ ก็จะถึงย่างกุ้ง งั้นขอตัวไปหลับบนรถก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเจอกันที่ย่างกุ้งครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น