วันนี้ตื่นสายกันหน่อย เกือบๆ 9 โมงเห็นจะได้ คงเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาจากวังเวียงยาวนานถึง 6 ชั่วโมงมั้ง พอทำอะไรเสร็จก็สอบถามน้องที่หน้าเกสท์เฮ้าส์ว่าเช่ารถจักรยานที่ไหน และราคาเท่าไหร่ ได้ความก็เดินตรงไปจากเกสท์เฮ้าส์ที่พักอยู่นิดเดียวจริงๆ ราคาเช่าถูกกว่าน้องที่บอกมาด้วย คือ จริงๆเขาคิดแค่คันละ 15,000 กีบต่อวัน น้องบอกเรามา 20,000 กีบ พอไปถึงร้านก็มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติลองรถกันอยู่ เราก็คิวต่อไป ลองและให้เขาปรับความสูงของอานจนเป็นที่พอใจแล้วก็เริ่มขี่ไปกัน แต่ช้าก่อน...รถผมยางมันออกแบนๆ เลยให้เขาสูบให้ แต่เล่นสูบให้ซะแข็งปั๋งเชียว
แล้วเราก้ขี่กันออกไป เริ่มไปหาศุนย์ลาวเทเลคอมกันเพื่อจะปรับตั้ง 3G แต่ที่เราเข้าไปมันแค่ศุนย์ส่งสัญญาณไม่ใช่ shop ก็เลยไปต่อ แต่พอเลี้ยวซ้ายที่แยกเพื่อจะไปทางที่จะผ่านพิพิธภัณท์ยางก็แตกจนได้ เสียงดัง "ปังงงง !" คิดว่าโดนยิงซะอีก 555 ดีที่ไปได้ไม่ไกล เลยกลับมาเปลี่ยนจักรยานคันใหม่ แล้วไปต่อ คราวนี้บ่มีปัญหาแล้ว
ปั่นกันมาเรื่อยๆ เกือบๆ 11 โมงก็มาถึงหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ หลวงพระบาง หาที่จอดจักรยานและล็อคโซ่ไว้ แล้วเข้าไปดูกันเลย
เดินผ่านประตูเข้ามาตรงขวามือจะมีหอพระบาง แต่ไม่ได้เดินเข้าไปดูครับ
ทางเดินเข้าไปยังตัวอาคารพิพิธภัณฑ์จะโอบกอดด้วยต้นตาลสูงชะลูด 2 ข้างทาง ดูสวยมากๆ
พอเดินเข้าไปถึง ภายในห้ามถ่ายรูป และถ้าจะเข้าไปชมต้องวกกลับมาซื้อตั๋วเข้าชม เราเลยเดินไปไหว้พระพุทธรูปที่อยู่ด้านขวาแทน
แล้วเราก็ปั่นมาตามถนนศรีสว่างวงต่อไป
พอเจอตึกอาคาร หรือร้านอาหารสวยๆ ก็แวะจอดถ่ายรูปซะหน่อย ในรูปเป็นร้านอาหารตำหนักลาว
ปั่นต่อมาอีกนิดก็เป็นอาคารสีครีมตัดกับประตูและหน้าต่างสีแดงเข้มสด แถมมีโต๊ะให้นั่งทานอาหารชมวิวผู้คนไปมาด้านนอกอีก 3 ตัว จนต้องหยุดเก็บภาพอีกแล้ว
ฝั่งตรงกันข้ามก็จะมีรถโบราณจอดโชว์อยู่ 2 คัน ชวนให้นึกย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีจริงเชียว ตามละครสมัยก่อนที่เราดูๆกัน
แล้วก็มาตามลายแทงของหลายๆคน นั่นคือวัดแสน แต่จะมาทำอะไรหล่ะ ? ให้เดา 1 วินาที เพราะเฉลยอยู่ด้านล่างแล้ว
ก็มากินเฝอกันนั่นเอง
หม้อต้มน้ำซุปควันฉุยเชียว ยังใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงอยู่ หม้อเลยดำปิ๊ดปี๋เชียว
แล้วที่สั่งก็มาเสริฟ เฝอเนื้อ 1 ชาม, หมู 1 ชาม ชามละ 15,000 กีบ แพงนะเนี่ย !
แต่ตอบตามความคิดตัวเอง น้ำซุปหวานเพราะผงชูรส แล้วรสชาติก็ไม่ได้ถูกปากครับ หรือเราอาจจะไม่ชอบทานก๋วยเตี๋ยวรสชาติแบบนี้ก็เป็นได้
ทานเสร็จก็ปั่นต่อไปเรื่อยๆครับ ลืมบอกไปว่าตอนที่กำลังทานอยู่ มีทัวร์คนไทยปั่นผ่านมาเช่นกัน ล้งเล้งเชียว เลยรีบทานและไปต่อ
มาเจอหัวโค้งที่เป็นจุดที่แม่น้ำคานตัดกับแม่น้ำโขง ต้องแวะเก็บภาพซะแล้ว
ซูมเข้าไปหน่อย เห็นเรือแจวกำลังพานักท่องเที่ยวเก็บภาพอยู่หรือเปล่า
แล้วก็ถึงวัดเชียงทอง จอดจักรยานแล้วเดินเข้าไปประตูข้าง ค่าเข้าชมคนละ 20,000 กีบ
ประวัติ : สร้างขึ้นก่อนหน้าที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์ไม่นานนัก และยังได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชาติศรีสว่างวงศ์ และเจ้ามหาชาติศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของประเทศลาว
เข้าไปก็เจอกับนี่เลยครับ วิหารน้อย มีการตกแต่งด้วยกระจกสีตามเรื่องราวพื้นบ้านของลาวลงบนพื้นปูนสีชมพู สวยงามมากๆ
ประวัติ : วิหารน้อย ด้านข้างและด้านหลังของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของวิหารสองหลังนี้ จุดเด่นของวิหารนี้คือผนังด้านนอกมีการตกแต่งด้วยกระจกสี ตัดเป็นชิ้นเล็กๆและนำมาต่อเป็นรูปต่างๆเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน บนพื้นสีชมพู ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพุทธรูปนี้เคยถูกนำไปจักแสดงที่กรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2474 และนำไปประดิษฐานที่นครเวียงจันทน์หลายสิบปี ก่อนจะนำมายังหลวงพระบางในปี พ.ศ.2507
เข้ามาดูใกล้ๆกัน ในรูปจะเป็นภาพชาวบ้านช่วยกันแบกปลาหลังจากจับมาได้ ปลาตัวใหญ่เชียว
เดินมาดูด้านหลังสิม หรือพระอุโบสถกันก่อนครับ ตกแต่งด้วยกระจกสีเช่นกัน เป็นรูปต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาไกลออกไป พร้อมกับมีนกยูงสวยๆ 2 ตัวด้วยครับ
ประวัติ : ผนังด้านหลังของพระอุโบสถเป็นภาพที่เกิดจากการใช้กระจกสีตัด ติดต่อกันเป็นรูปต้นทองขนาดใหญ่ ซึ่งเคยมีในเมืองหลวงพระบางลักษณะคล้ายต้นโพธิ์ ด้านข้างต้นทองเป็นรูปสัตว์ในวรรคดียามใดที่แสงแดดสดส่องสะท้อนดูงดงาม
พระอุโบสถหลังงามของวัดเชียงทอง
ประวัติ : พระอุโบสถ ภาษาลาวเรียกว่า สิม เป็นพระอุโบสถหลังไม่ใหญ่โตมากนักหลังคาพระอุโบสถมีหลังคาแอ่นโค้ง ลาดต่ำลงมาซ้อนกันอยู่สามชั้น กล่าวกันว่านี่คือศิลปะแห่งหลวงพระบาง ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองชาวลาวเรียกว่าช่อฟ้า ประกอบด้วย 17 ช่อเป็นข้อสังเกตุว่าวัดที่พระมหากษัตริย์สร้าง จะมีช่อฟ้า 17 ช่อ ส่วนคนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้า 1- 7 ช่อเท่านั้น เชื่อว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆตรงกลางช่อฟ้าจะมีของมีค่าบรรจุอยู่ ส่วนที่ประดับที่ยอดหน้าบันชาวลาวเรียกว่าโหง่ มีรูปร่างเป็นเศียรนาคและมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับศาสนาพุทธ ประตูพระอุโบสถแกะสลักสวยงามเช่นเดียวกับหน้าต่างภายในพระอุโบสถมีภาพสวยงามที่ผนัง มีลักษณะลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ ส่วนใหญ่เป็นภาพพุทธประวัติเรื่องพระสุธน – มโนราห์ และเรื่องพระเจ้าสิบชาติ
ประตูพระอุโบสถลงรักปิดทองสวยงามจริงๆ
เข้าไปกราบพระประทานเพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อนนะครับ
ประวัติ : พระประธาน หรือชาวลาวเรียกว่าพระองค์หลวง ภายในพระอุโบสถเป็นสีทองงดงามอร่ามตาด้านข้างพระองค์หลวงมีพระบางจำลอง
และก็เดินมาที่โรงเมี้ยนโกศ หรือโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา
ประวัติ : โรงเมี้ยนโกศ หรือโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2505 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ลักษณะเป็นโถงกว้าง ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกได้เพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้
กลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน มีพระโกศสามองค์ตรงกลางเป็นองค์ใหญ่ของเจ้าสว่างศรีวัฒนา ด้านหลังเป็นของพระราชมารดา ส่วนด้านหน้าเป็นของพระเจ้าอา โรงเก็บราชรถนี้ออกแบบโดยเจ้ามณีวงศ์ และใช้ช่างชาวหลวงพระบางชื่อ เพียตัน นับว่าเป็นช่างฝีมือดีประจำพระองค์ มีความชำนาญทั้งด้านงานเขียนและงานแกะสลัก
เดินเข้าไปด้านในก็จะเจอกับราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน
หลังจากเดินชมความงามของวัดเชียงทองอยู่พอควร ก็ได้เวลาลาจากไปที่อื่นๆกันต่อ อากาศร้อนๆแบบนี้ขอแวะพักที่ร้าน Saffron Espresso Caffe ดื่มกาแฟและน้ำผลไม้ เบ็ดเสร็จ 37,000 กีบ สบายกระเป๋าอีกแล้ว
ตรงเยื้องๆกันกับร้านกาแฟที่เข้าไป มีต้นไม้ที่ใหญ่มากๆ มีมอสหรือพืชตระกูลกาฝากปกคลุมทั้งตัวลำต้นเลย
แล้วเราก็ขี่เป็นวงกลมกลับไปยังที่พัก และปั่นต่อไปยังศูนย์บริการลาวเทเลคอม เพื่อกะจะเอาเครื่องไปเซ็ท 3G ศูนย์ออกไปไกลพอควรแต่ก็ปั่นไปจนเจอ เข้าไปนั่งให้เจ้าหน้าที่เซ็ทตัวเครื่องให้ เกือบๆชั่วโมงก็ยังใช้ไม่ได้ เลยยกเลิกไป แล้วกลับมาตามเส้นทางที่จะผ่านพระธาตุหมากโม แดดกำลังเปรี้ยงๆเลย
วัดนี้คือวัดวิชุนราช
ประวัติ : วัดวิชุนราช ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ถนนวิชุนราช สร้างขึ้นเมื่อ ปีพ.ศ. 2046 ในสมัยพระเจ้าวิชุนราช ในบรรดาวัดทั้งหมดในเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกนิ้วให้วัดวิชุนในเรื่องมีความแปลกที่พระธาตุรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโม และเจดีย์รูปทรงแปลกตานี้เอง ที่กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมของลาวยกให้มีความสำคัญและความโดดเด่นของวัดวิชุน
• วัดวิชุนราชนี้สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน พระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ ภายในวัดวิชุนราชมีปทุมเจดีย์หรือพระธาตุดอกบัวใหญ่ ซึ่งพระนางพันตีนเชียง พระอัครมเหสีของพระเจ้าวิชุนราชโปรดฯให้สร้างขึ้นในพ.ศ. 2057 หลังจากสร้างวัดแล้ว 11 ปี ด้วยรูปทรงของเจดีย์มีลักษณะคล้ายแตงโมผ่าครึ่งทำให้ชาวเมืองหลวงพระบางเรียกว่า พระธาตุหมากโม เป็นทรงโอคว่ำ ยอดพระธาตุมีลักษณะคล้ายรัศมีแบบเปลวไฟของพระพุทธรูปแบบลังกาหรือสุโขทัย บริเวณมุมฐานชั้นกลางและชั้นบนมีเจดีย์ทิศทรงบัวตูมทั่งสี่มุม พระธาตุหมากโมนี้มีสีดำเก่าๆ แม้จะเคยผ่านการบูรณะปฎิสังขรมาแล้วสองครั้ง ในปีพ.ศ.2402 รัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินทร์(คำสุก) ซึ่งเป็นพระราชบิดาของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ อีก 19 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2457 ในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์มีการปฎิสังขรอีกครั้ง ซึ่งการบูรณะครั้งนี้พบโบราณวัตถุมากมาย เช่น เจดีย์ทองคำ พระพุทธรูปหล่อสำริด พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน โดยเฉพาะพระพุทธรูปที่แกะสลักจากแก้วซึ่งคล้ายกับพระแก้วมรกต โบราณวัตถุเหล่านี้ได้นำถวายเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และเก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวงพระบางในปัจจุบัน
ณ จุดนี้ สามารถมองเห็นพระธาตุพูสีได้เหมือนกัน สูงจัง สงสัยเดินขาลากเลยนะเนี่ย
แล้วก็มาซื้อโปสการ์ดกัน จดไว้แล้วจำนวนเพื่อนที่จะต้องส่งไปให้ รวมแล้ว 8 คน 8 ใบๆละ 2,000 กีบ ต่อลงเหลือ 15,000 กีบ ส่วนพระประธานในโบสถ์ไม่ได้เข้าไปกราบเพราะเสียเงินเลยได้แต่ถ่ายรูปเพียงด้านนอก
และก็ไปวัดอาฮามซึ่งอยู่ติดกัน ได้แต่ถ่ายรูปพระประธานจากข้างนอก(อีกแย้ววว)
ประวัติ : วัดอาฮาม เป็นวัดเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บชุด "ปู่เยอย่าเยอ" อยู่ติดกับวัดวิชุน สร้างโดยพระเจ้ามันธาตุราชเมื่อประมาณ พ.ศ.2361 ตรงบริเวณที่เจ้าฟ้างุ้มตั้งหอเสื้อเมือง เมื่อครั้งสถาปนานครศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาว จุดที่ตั้งวัดจึงถือว่าเป็นสะดือเมืองของเมืองหลวงพระบาง เดิมชื่อว่าบ้านหอเสื้อเมือง มาสมัยพระเจ้าโพธิสะราชได้รื้อศาลพีทั้งหลายในเมืองหลวงพระบางจนหมดสิ้น เพื่อให้คนลาวเลิกนับถือผี ภายหลังจึงสร้างขึ้นใหม่ที่ด้านข้างสิมเพื่อเป็นที่เก็บชุดปู่เยอย่าเยอ (จะนำออกมาเฉพาะช่วงงานบุญเดือนห้าหรือปีใหม่ลาวเท่านั้น) เมื่อสร้างวัดอาฮามขึ้นแล้วจึงเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านอาฮาม
ข้างๆวัดมีร้านขายของที่ระลึก ตุ๊กตานี้ชื่อว่า "ปู่เยอ ย่าเยอ" โดยที่ปู่เยอ จะมีหนวด ย่าเยอไม่มีหนวดครับ
ประวัติ : มีเรื่องเล่าอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งเมืองหลวงพระบางมีต้นไม้ใหญ่ ชื่อต้น เครือเขากาด ขึ้นปกคลุม ทั่วทั้งเมืองหลวงพระบาง ทำให้ชาวบ้านไม่มีแสงแดดที่จะทำการ เพาะปลูกได้ จึง ร้องขอ เจ้ามหาชีวิต (กษัตริย์) ให้ช่วยหาคนอาสาตัดต้นไม้นี้ แต่ไม่มีใครอาสาตัดต้นเครือเขากาดเลย
ไกลออกไป มีตายายคู่หนึ่ง มี ชื่อว่า "เยอ" เหมือนกันทั้งคู่ ได้ทราบข่าวว่า ชาวหลวงพระบาง เดือดร้อน จึง อาสาที่จะตัด ต้นไม้นี้ ใช้เวลา ตัดอยู่ 3 เดือน 3 วัน ต้นไม้จึงได้โค่น ลงทับ ตา และ ยาย เสียชีวิต จากนั้น ชาวหลวงพระบางก็มีแสงแดด สามารถเพาะปลูก พืชผักได้ และได้ทำตุ๊กตา ปู่เยอ ย่าเยอ เพื่อ เป็นตัวแทน ระลึกถึงบรรพบุรุษ ผู้ให้ชีวิต และ ความเจริญ เราอาจเห็น ตุ๊กตา ปู่เยอ ย่าเยอ วางขายอยุ่บ้าง แต่ถ้าท่านใดจะซื้อ ก็ตามอัธยาศัยครับ
ออกจากวัดอาฮามก็มุ่งหน้าวัดพระธาตุพูสี พอเจอสามแยกก็บังคับเลี้ยวขวาไปตามเส้นที่ขนานกับแม่น้ำคาน หยุดพักสักนิดเพื่อถ่ายรูป ไกลออกไปจะเป็นสะพานปูนเพื่อข้ามไปยังฝั่งตรงกันข้าม สะพานนี้จะพาไปสนามบินหลวงพระบางที่อยู่อีกฝั่งด้วยในวันกลับของเรา
พอปั่นมาอีกนิดก็เจอกับสะพานไม้ไผ่ที่ข้ามไปอีกฟากของแม่น้ำคาน เห็นมีรีสอร์ทและร้านอาหารซ่อนอยู่ด้วยจากกระทู้คุณ Bottle
วันนี้ร้อนและเหนื่อย เลยยกเลิกการเดินขึ้นพระธาตุพูสีไปโดยปริยาย เรากลับไปคืนรถจักรยานที่เช่ามา แล้วกลับไปนอนเอาแรง 1 ชั่วโมงก่อน เสร็จแล้วสดชื่นก็ออกมาเดินที่ตลาดมืดอีกครั้ง
ในรูปตรงซอยนี้จะเป็นซอยที่มีบุฟเฟต์ราคาไม่แพงขายอยู่ อยู่ข้างๆ โรงแรม Ancient Luang Prabang เผื่อใครจะไปจะได้หาเจอ
วันนี้ ณ ตลาดมืด เราเริ่มซื้อของกันแล้ว โดยซื้อเสื้อยืดหลวงพระบางกัน 3-4 ตัวเพื่อไปฝากคนที่บ้านด้วย
แล้วก็เดินทะลุไปเพื่อไปซื้อเครปมาทาน เป็นเครปกล้วยหอมกับช็อคโกแล็ต
อร่อยนะ...ขอโบก
และก็เดินกลับมาด้านหน้า คนเยอะเชียว
วันนี้ยังมีหนังไทยฉายในงานหลวงพระบาง ฟิล์ม เฟสติวัล วันนี้ฉายเรื่อง หลวงพระบาง 2 คนดูก็ตรึมเช่นเคย
อากาศเย็นๆ วันนี้ได้ฤกษ์แวะร้านโจมากันแล้ว
ดูราคาแล้ว ตอนแรกเลยสั่งเพียงคาปูชิโนกับชี๊สพายมาทานกัน
นั่งอยู่จนถึง 2 ทุ่มครึ่ง เดินไปดูเค้กอีกที ปรากฎว่า ราคาเค้กและอาหารหลายอย่างลดราคาเหลือครึ่งนึง ! เข้าทางเราเลยสั่งลาซานญ่าผักโขม 1 ถาด จากเดิมราคา 30,000 กีบ หรือ 120 บาท ลดลงเหลือ 15,000 กีบ หรือเพียง 60 บาทเท่านั้น !
ทานเสร็จ 3 ทุ่มพอดี เดินกลับทางซอยข้างๆร้านโจมานี่แหล่ะ เจอร้านอาหารของดาราเทวีรีสอร์ท อาหารเป็นแบบนานาชาติ มีอาหารมาเลเซียด้วย เช่น นาซีลามัก Nasi Lamak ราคาก็ไม่แพง เลยคุยกันว่าจะเก็บไว้มาทานพรุ่งนี้ตอนค่ำกัน
เป็นอันจบวันที่ 2 ในหลวงพระบาง แบบปั่นจักรยานเที่ยวเกือบรอบเมือง(มั้ง)
พรุ่งนี้มีโปรแกรมตอนเช้ามืดไปตักบาตรข้าวเหนียว ช่วงสายๆจะไปน้ำตกตาดกวางสี ว่ากันว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง แล้วช่วงเย็นก็จะขึ้นพระธาตุพูสี หลังจากที่เลื่อนมา 2 วันแล้ว อิอิ ราตรีสวัสดี์ทุกท่านครับ
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น