วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สะบายดีลาว...วังเวียง-หลวงพระบาง ตอน 1 เดินทางด้วยรถบัส VIP ไปหนองคาย แล้วข้ามพรมแดนไทย-ลาวสู่วังเวียง และหลวงพระบาง


หลังจากที่ผมเข้ามาเก็บข้อมูลการไปเที่ยวลาว ในเมืองวังเวียงและหลวงพระบางได้ 2-3 เดือน ก็ถึงเวลาจริงที่จะต้องออกเดินทางไปแล้ว จริงๆ ผมแพลนว่าจะไปหลวงพระบางเมื่อ 2-3 ปีมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปซะที ทั้งเลื่อนตั๋วและทิ้งตั๋วแอร์เอเชียไปก็แล้ว จนมาบัดนี้ได้เดินทางสมใจ

แพลนการเดินทางของผมตอนแรกเริ่มเดิมทีเลยจะเป็นการเดินทางโดยเรือช้าจากเชียงของไปค้างปากแบง 1 คืนแล้ววันรุ่งขึ้นไปถึงหลวงพระบาง แต่นึกไปนึกมา แก่แล้ว ครั้นจะไปนั่งแออัดอยู่ในเรือหลังขดหลังแข็ง ไม่ค่อยได้ทำอะไร และเสียเวลาไปอีก 1 วันเต็มๆ โดยที่ยังไม่ถึงหลวงพระบาง โดยที่ผมมีเวลาน้อยนั้น คงไม่ดีเป็นแน่ คนที่ไปด้วยก็จะไม่สบายตัวเช่นกัน เลยเปลี่ยนแผนเป็นไปทางบกโดยการนั่งรถไปแทนซึ่งก็ต้องไปจากหนองคายเข้าเวียงจันทน์ ค้างวังเวียง และไปหลวงพระบางต่อไป

และด้วยความที่เห็นเพื่อนๆบอกว่ามันใช้เวลาเดินทางนานมาก เพราะบนเขา และมีหลายโค้ง ผมเองไม่เท่าไหร่ แต่คนที่ไปด้วยสิ คนไม่ไหวแน่ๆ เดี๋ยวอะไรที่ทานมาจะออกมาหมดถึง 2 ครั้ง 2 ครา ทั้งไปและกลับ และด้วยเหตุผลที่ต้องการทำเวลาอันน้อยนิดด้วย ขากลับจึงแพลนการเดินทางด้วยเครื่องบิน 2 ต่อ ต่อแรกเป็นภายในประเทศ(ลาว)จากหลวงพระบางมาลงเวียงจันทน์ และข้ามฝั่งมาไทยไปสนามบินอุดรธานี เพื่อขึ้นเครื่องต่อที่ 2 ภายในประเทศ(ไทย)จากอุดรธานีกลับสุวรรณภูมิ

เหตุผลที่ว่าทำไมไม่กลับจากหลวงพระบางมาลงที่สุวรรณภูมิเลย จะได้ไม่เสียเวลาหลายต่อ คำตอบก็คือ ค่าตั๋วมันแพงกว่า 2 เท่าของค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับแบบที่กล่าวมานั่นเอง(รวมค่าตั๋วเครื่องบิน 2 ต่อ, ค่ารถจากสนามบินวัดไตมาตม.ลาว, ค่ารถเหมาจากตม.ไทยมาสนามบินอุดรฯ) คร่าวๆ แพลนการเดินทางก็เป็นดังที่กล่าวมาครับ

แต่ก่อนไปเพียง 1 สัปดาห์ดันโดนอาการเจ็บคอ และเป็นไข้เล่นงาน เอาหล่ะสิ ทำไงดีเนี่ย อุตส่าห์ไปหาหมอกินยา Amoxycilin ดักไว้ก่อนตอนวันจันทร์ แต่ก็เอาไม่อยู่ พี่ที่ทำงานเลยแนะนำให้ไปหาหมอแล้วขอฉีดยา พอเลิกงานก็ไปทันที ขอหมอฉีดยาและได้ยามาล็อตใหม่ คราวนี้ดีขึ้นอย่างเห็นผล เตรียมพร้อมลุยยย !



วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2553
วันนี้ขอลางานครึ่งวันบ่าย เพราะถ้าเลิกตามปกติ 5 โมงเย็น โดยออกก่อน 1 ชม. แล้วต้องขับรถจากสระบุรีมากทม.อีกชั่วโมงครึ่งแล้ว คงไม่ทันแน่ ไหนต้องจัดเสื้อผ้าอีก(ยังไม่ได้จัดเสื้อผ้ายัดใส่เป้เลย )

มาถึงกทม.ก็รีบจัดแจงจัดเสื้อผ้าที่จะไปค้างต่างประเทศถึง 4 คืน  555 แล้วให้ทางแม่แฟนขับรถไปส่งเราทั้งสองที่หมอชิต 2 โดยมีน้องนั่งไปด้วยอีกคน ดีที่ออกจากบ้านประมาณอีกสิบห้านาที 6 โมงเย็น วันนี้รถติดมากๆๆๆ เพราะหยุดยาว จากมอเตอร์เวย์เข้าด่วนพระราม 9 ก็ยังไม่ไหลลื่น รถสายกรุงเทพ-หนองคายที่จองไว้ผ่านเว็บ Thairoute บอกเวลาว่าออก 20.30 น. และให้ไปถึงก่อน 30 นาที นั่นหมาความว่าต้องไปถึง 2 ทุ่มที่หมอชิต

รถค่อยๆเคลื่อนๆไปเรื่อยๆ ช่วงแรกๆ ก็ยังสบายๆ แต่มาติดที่ด่วนพระราม 9 แล้วไม่ไปไหนเริ่มใจไม่ดีแล้ว นาฬิกาก็บอกเวลา 19.20 น. ชั่วโมงกว่าๆ ยังไปไม่ถึงเลย ก็ลุ้นๆกันไป ลุ้นตอนที่ลงถนนกำแพงเพชรด้วย โดยทางลงก็ติดไฟแดงอยู่นานมากกก มีรถมอเตอร์ไซด์วินมาถามคนที่อยู่ในแท็กซี่ตลอดว่าจะไปมั้ย เห็นหลายคนลงจากแท็กซี่ไปขึ้นมอฯไซด์เหมือนกัน เพราะกลัวไม่ทัน เพราะมันก็ทุ่มครึ่งกว่าแล้ว

แต่สุดท้ายก็มาถึงหมอชิต 2 จนได้ เกือบๆ 2 ทุ่มพอดี เอาใบจองทางเน็ตไปที่เคาน์เตอร์รุ่งประเสริฐทัวร์แล้วรับตั๋ว 2 ใบ เป็นรถ VIP 24 ที่นั่ง เย้ๆ จะได้ไปแล้ว

หลังจากนั้นยังพอมีเวลาก็ไปหาอะไรทานกัน อาหารที่หมอชิต 2 แพงมาก 2 คนกินข้าวราดแกงธรรมดาๆ กับน้ำ 2 แก้ว 100 บาท  แล้วก็ลงมาที่ชานชะลาจอดรถช่องที่ 1 สายอิสาน รอสักครู่รถก็มา ผู้คนเพียบเลย พอรถเข้าเทียบช่องจอด ก็ขึ้นบนรถ ไม่นานผู้โดยสารก็ขึ้นมาหมด รู้สึกเที่ยวนี้จะไม่เต็มนะครับ มีโล่งๆหลายที่นั่ง

เพิ่งเคยได้ขึ้นรถ VIP 24 ที่นั่ง แต่ก่อนขึ้นอย่างมากก็ VIP 32 ที่นั่ง พบว่าแบบ 24 ที่นั่งสบายๆ สุดๆ เอนได้มากองศา โดยที่ไม่โดนคนอื่น และกว้างมาก ครั้งนี้เลยเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่สามารถนอนหลับได้บนรถทัวร์ โดยครั้งก่อนๆ หลับๆ ตื่นๆ


วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2553
ตี 5 หน่อยๆ รถก็มาจอดที่บขส.หนองคายแล้ว เคยมาหนองคายครั้งหนึ่งตอนมาดูบั้งไฟพญานาค เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่

จอดรถก็ลงมาจากรถ สิ่งที่สัมผัสได้คือ อากาศหนาวมากกกกก หนาวจริงๆ เลยเข้าห้องน้ำซะหน่อย แล้วกลับมาถามรถตุ๊กตุ๊กที่จอดอยู่ข้างๆว่าไปด่านตม.สะพานมิตรภาพเท่าไหร่ ได้ความว่า คนละ 50 บาท 2 คน 100 บาท ต่อเท่าไหร่ก็ไม่ลง เลยถามว่าราคามาตรฐานหรือเปล่า ก็ได้คำตอบว่ามาตรฐาน(ใครจะตอบว่าไม่มาตรฐาน) เลยเริ่มเดินทางไปด่านตม.กันครับ


รถตุ๊กๆพาเราสองคนฝ่าลมหนาวมาประมาณสิบนาทีก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง สะพานมิตรภาพไทย-ลาว จังหวัดหนองคาย ลงรถจ่ายเงินแล้วถามพี่คนขับเล็กน้อยว่าไปตรงไหน เขาก็ชี้ไปที่เคาน์เตอร์ เราหาใบ immigration ที่โต๊ะด้านหน้าก็ไม่เจอ เลยต้องไปขอใบ immigration ที่เคาน์เตอร์ก่อน

6.12 น. ก็เข้าตรวจเอกสาร ใช้เวลาไม่นานก็ผ่านมาได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพาสปอร์ตต้องพร้อม มีอายุใช้ได้เกินกว่า 6 เดือนนะครับ


ผ่านตม.ไทยมาก็เตรียมเงินคนละ 20 บาทเพื่อซื้อตั๋วรถโดยสารข้ามสะพานมิตรภาพไปตม.ฝั่งลาว


สงสัยยังเช้าตรู่อยู่ เราเป็นคนแรกๆที่มาเข้าด่านลาว เลยยังไม่มีรถบัสมารับที่ด่านไทย เจ้าหน้าที่เลยเอารถตู้ที่ใช้เองนั้นไปส่งที่ด่านลาวเพราะต้องไปทำธุระอยู่แล้วมั้ง เราเลยได้นั่งรถตู้แทน

ลงสะพานมิตรภาพมาก็ต้องติด เพราะยังไม่มีคนมาเปิดประตูด่าน  เวลา 6.18 น. มันยังเช้าอยู่แน่ๆ เจ้าหน้าที่เลยยังไมตื่น


กำลังจะเช็คอินที่ตม.ลาว ก็มีชายผู้หนึ่งมาชวนให้ใช้บริการรถตู้ของเขาไปวังเวียง แต่ต้องเหมาไปนะ ผมเองบอกมาแค่ 2 คน คงไม่ไปหรอก และไม่อยากเสียเวลาไปรอคนเพื่อแชร์กันด้วย เลยตอบปฏิเสธไป แล้วคอยดูว่าเราไปเจอเขาอีกที่ไหน


ตอนนี้เคาน์เตอร์ธนาคารก็ยังไม่เปิด แลกเงินกีบไม่ได้เลย ได้แต่ใช้เงินไทยเอา แต่ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด พอเช็คอินเสร็จต้องไปจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าประเทศอีกคนละ 40 บาท ก่อนที่จะเดินออกจากตม.ลาวไป

เราหารถอยู่นานสองนานเพื่อไปตลาดเซ้า มีแต่คนมาถามว่าให้เหมาไป แต่พอต่อราคาก็ลดให้ จนโอเค แต่ดันให้ไปขึ้นรถใครก็ไม่รู้ ตัวเองไม่ได้ขับ บร๊ะ....มิน่า ต่อยังไงก็โอเคตลอดเลย ไม่ใช่รถตัวเองนี่หว่า

สุดท้ายก็ไปกับรถสองแถวที่จะไปตลาดเซ้าที่เคยถามตอนแรกๆที่ออกจากตม.มา คนจะเต็มแล้ว พ่วงเราสองคนก็พอดีเลย แต่ก่อนจะขึ้ันก็ต่อรองให้ไปส่งที่ขนส่งสายเหนือด้วย เห็นเขาบอกว่าย้ายสถานที่จากเดิม เตสอง T2 ไปไกลอีกแล้วนะครับ

เอ้า....ต่อไปต่อมา ยอมเลยไปส่งที่ขนส่งสายเหนือใหม่(ไกลกว่าเดิม)ในราคาเหมา 2 คน 120 บาท โอเค....ดีล !


6.48 น. รถสองแถวกำลังออกจากตม.ลาว


บรรยากาศยามเช้า ณ เวียงจันทน์ ถนนมีรถไม่มากนัก เริ่มเข้าสู่การขับรถแบบชิดขวาพวงมาลัยซ้ายกันแล้ว


พอรถสองแถวส่งผู้คนชาวลาวที่ตลาดเซ้าเสร็จ ก็เริ่มเดินทางต่อเพื่อไปส่งเราที่ขนส่งสายเหนือต่อ รถใช้เวลาพอควรเหมือนกัน รู้สึกจะอยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองพอดูเลย

7.47 น. ก็มาถึงขนส่งสายเหนือแห่งใหม่จริงๆ


พอเข้าไปข้างใน ใหม่เอี่ยมโล่งสบายเชียว


เหลือบดูเวลา อีก 10 นาที 8 โมงแล้ว จะทันเวลาเที่ยวรถออกรอบแรก 8 โมงมั้ย? เลยรีบเดินไปซื้อตั๋วกับคนขายตั๋ว ยังดีที่ยังทันรถรอบ 8 โมงอยู่

ราคาตั๋วไปวังเวียงคนละ 70,000 กีบ แล้วพร้อมกับแลกเงินกีบที่นี่ไปในตัวเลย ที่อัตรา 260 กีบ/บาท ก็โอเค เลยแลกครั้งแรกก่อนที่ 4,000 บาท เท่ากับ 1,040,000 กีบ กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านไปเลย 555

พอออกมาด้านนอกก็จะเจอรถบัสที่จอดเรียงราย มีเลขที่กำกับไว้ที่เสาอย่างชัดเจน ของเราคันไหนเนี่ย ??


พอเจอคันที่จะไปหลวงพระบางก็หาทางขึ้นอย่างงงๆ  อ้าว...ทางขึ้นมันอยู่ด้านขวามือนี่หว่า 555 ยังปรับตัวไม่ทัน หรือไม่ก็ยังไม่ตื่น อิอิ

ขึ้นไปก็ให้นั่งตามเลขที่ในตั๋วนะครับ จะมีเลขบอกไว้ ตอนแรกก็นั่งตามสบายแต่เจ้าหน้าที่ก็เดินมาตรวจแล้วบอกกับเรา กลายเป็นว่าต้องนั่งหลังสุดเลย...ไหวมั้ยเนี่ย

รถออกตรงเวลาอีกแล้ว 8.05 น. ก็เริ่มเคลื่อนตัว


ช่วงแรกๆ ถนนจะยังเป็นทางตรงตลอด แต่พอผ่านไปประมาณ 1ชม.(ไม่ได้จับเวลาครับ) ก็จะเริ่มขึ้นเขาแล้ว โค้งจะโค้งไม่หักศอกเหมือนในภาคเหนือบ้านเรา เพราะไม่งั้นรถบัสจะขับไปไม่ได้ ดังนั้นก็จะไม่เหวี่ยงมาก

แต่เมื่อเด็กรถเดินมาแจกถุงก็อปแก็ป ก็ไม่ลังเลที่จะยกมือขอเลย 555 ขอให้คนข้างๆครับ


นั่งชมวิวด้านข้างไปเรื่อยๆ บางครั้งก็งีบหลับ เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่เอ๊ะ...วิวข้างๆ เริ่มที่จะเป็นภูเขาหินปูนเหมือนอย่างที่ดูในรูปแล้วนี่ คุยกับคนข้างๆ สงสัยจะใกล้ถึงแล้วมั้ง คงอีกไม่นาน ซึ่งก็ไม่นานจริงๆ เพราะรถหยุดจอด อ้าว....เด็กรถเดินมาถามว่าใครลงวังเวียง

อ๋อ....เราเองนี่หว่า ยังนึกว่ายังไม่ถึงอยู่เลย เพราเพิ่วจะ 11 โมงนิดๆเอง (ไหนใครว่าใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงไงหล่ะ บ่นกับตัวเอง) แล้วก็รีบเดินลงไป แล้วรับกระเป๋าด้านข้างรถ แต่แปลก คิดว่าจะเวียนหัวบ้าง หรือคนข้างๆจะอ้วก กลับกลายเป็นว่าสบายๆ ครับ


เราลงรถด้านข้างๆร้านขายของที่เห็นอยู่ตรงข้างหน้าเมื่อเวลา 11.15 น. ใช้เวลาเดินทางจากขนส่งสายเหนือ เวียงจันทน์ สู่วังเวียง เพียงแค่ 3 ชั่วโมง 15 นาทีเอง

แล้วจำได้มั้ยว่า คนผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตที่ยืนอยู่ข้างๆซอยคือใคร?

ใช่แล้ว คือคนที่มาถามเราว่าจะเหมาไปวังเวียงหรือเปล่า พอลงจากรถก็มาเจอกันพอดี แถมยังมาคุยบอกว่า ถ้ามากับผมถึงก่อนด้วยเห็นมั้ย 555 เอาเหอะ ผมบอกไม่เป็นไร ผมชอบเดินทางแบบนี้ ได้ชมวิว และหาทางต่อรถเอง ฮ่วย!


เราเดินข้ามฝั่งมาก็ถามกับโชเฟอร์ว่าจะเข้าไปที่พักทวีสุขรีสอร์ตเท่าไหร่ โชเฟอร์ตอบกับมาว่า คนละ 10,000 กีบ เราก็ต่อรองอีกว่า 5,000 กีบได้เปล่า ก็ตอบกลับมาว่าไม่ได้ บลาๆๆ สุดท้ายก็ยอมตกลงที่ราคานี้


รถไปส่งที่ทวีสุขรีสอร์ท บอกกับโชเฟอร์ให้รอก่อน จะเข้าไปถามว่าว่างหรือไม่

วันนี้เต็ม.....โห....นึกในใจ ไหนใครบอกว่าไม่ต้องจอง เดินไปหาได้เลย เริ่มกลัวว่าจะต้องเดินหามากกว่าเดิมแล้ว มึนไปสักพัก...นึกที่พักไม่ออก เอาโพยที่ปริ๊นท์มาดู อ๋อ ลองดูที่พูบานให้หน่อย ผมบอกโชเฟอร์(ตอนหลังมานึกว่า น่าจะไปตามที่โชเฟอร์แนะนำมากกว่า) โชเฟอร์พามาส่งที่หน้าทางลงพูบาน แต่ดันไม่ยอมลงไป บอกว่าถึงแล้ว เดินลงไปด้านล่าง เฮ้อ...อะไรว่ะ ลงไปหน่อยก็ไม่ได้

ลงไปถามที่เคาน์เตอร์ว่ามีห้องว่างมั้ย ก็ตอบกลับมาว่ามี เป็นห้องพัดลมมีห้องน้ำในตัว 70,000 กีบ พร้อมกับพาไปดูห้อง ซึ่งก็อยู่ข้างๆ เป็นเรือนแถวโทรมๆ เข้าไปดูก็ไม่ประทับใจครับ เก่าและโทรมมาก จริงๆมันน่าจะดีกว่านี้เยอะ แต่มันเลือกไม่ได้แล้ว ก็ตอบตกลงไป นึกในใจว่าเดี๋ยวเดินไปหาอีกเพื่อไว้พักคืนที่สองต่อไป

หลังจากเอากระเป๋าสัมภาระเก็บในห้องพักแล้วก็ออกมาเดินถ่ายวิวแม่น้ำซอง พร้อมกับเดินดูที่พักอื่นๆ ไปด้วย วิวสะพานไม้ที่ใครๆ ที่มาที่นี่ก็มาถ่ายเก็บเอาไว้
ล. ไม่ได้ถ่ายที่พักมาครับ เพราะทำใจไม่ได้จริงๆ (ความคิดเห็นส่วนตัวทั้งสองคน)



เดินข้ามสะพานจะไปดูรีสอร์ทอีกฝั่งหนึ่ง เห็นเด็กแก้ผ้ากำลังสนุกสนาน แต่พอเห็นเรายกกล้องขึ้นเพื่อจะถ่าย เท่านั้นแหล่ะ รีบวิ่งจะลงน้ำทีเดียว


จริงๆมันมี 2 สะพาน ผมถ่ายจากสะพานด้านขวาที่จะไปรีสอร์ตที่อยู่ตรงแหลมของแม่น้ำซอง ตรงฝั่งโน้นของสะพานไปทางด้านขวามือที่เห็น ชื่อว่า Otherside Bungalows


เดินตรงมาสะพานด้านซ้ายบ้าง ถ่ายออกไปตรงรีสอร์ตที่อยู่ตรงแหลม จำไม่ได้ว่าชื่อรีสอร์ตอะไร คนเข้าไปพักเยอะดี และมีที่นั่งทานอาหารริมน้ำซองให้ด้วย สอบถามว่าห้องพักว่างมั้ย ได้ความว่าว่าง แต่คนข้างๆยังไม่ถูกใจ ก็เลยต้องเดินๆ ดูไปเรื่อยๆก่อน
ปล.เม็ดฝุ่นเข้า CCD เพียบเลย


แล้วก็เดินไป Otherside Bungalows


จะบ่ายโมงแล้ว รู้สึกหิวขึ้นมา ร้อนก็ร้อน อุตส่าห์หนาวตอนเช้าที่หนองคาย คิดว่าจะมาหนาวที่วังเวียง เฮ้อ...เลยเดินไปหาอะไรทานซะหน่อย

แต่ที่ไหนได้ มาลาวทั้งที ดันกินมื้อแรกเป็นอาหารฝรั่งทั้งสองคนซะงั้น 555


นึกขึ้นได้ กะจะลอง 3G ของลาวซะหน่อย เลยเดินไปหาซื้อซิมลาวมาใช้ ผ่านโรงพยาบาลวังเวียง

แต่ลองซื้อซิม Laotelecom มาใส่แล้ว(ราคา 40,000 กีบ) โทรออกรับสายได้อย่างเดียว ยังใช้ 3G ไม่ได้ซะที จนเซ็งเอามากๆ โทรเข้า Call Center ก็ต้องไปเซ็ทเครื่องที่ศูนย์บริการ แต่วันเสาร์ศูนย์ยังไม่เปิด ก็เลยไม่ได้ใช้ 3G ซะที ฮ่วย!


หลังจากเซ็งๆจากซิม 3G ของลาวที่ยังใช้ 3G ไม่ได้ซะที ประกอบกับอากาศที่นี่ร้อนพอๆกับไทยเลยช่วงกลางวัน และที่พักไม่เวิร์คเอาซะเลย ซึ่งพอช่วงเย็นๆ ด้านหน้าห้องพักมีกลุ่มพี่ไทยที่ขี่รถช็อปเปอร์มากันหลายคัน แล่นไปแล่นมา สตาร์ทรถแต่ละทีเสียงดังสนั่นจริงๆ บวกกับกลุ่มที่ขับพวก 4WD มาจอดอีกครับ นอนพักไม่ค่อยจะได้จริงๆครับ เลยทำให้อะไรๆ เปลี่ยนไปทันที

ก็เลยคุยๆกันว่าเราเปลี่ยนแผนจากเดิมที่จะพักที่วังเวียง 2 คืน เปลี่ยนไปพักที่หลวงพระบาง 3 คืนที่เหลือเลยดีกว่ามั้ย จะได้มีเวลาทำอะไรที่หลวงพระบางได้เยอะหน่อย เพราะที่วังเวียงคงไม่เอาแล้วกับบรรยากาศแบบนี้ ก็เป็นอันตกลงว่าเดี๋ยวเดินออกไปหาอะไรทานตอนเย็น แล้วจะไปหาซื้อตั๋วรถไปหลวงพระบางทีเดียวเลย จะได้ออกแต่เช้าเพื่อถึงหลวงพระบางเร็วๆ

ตอนแรกกะจะเดินไปที่ขนสนของวังเวียง แต่ดูแล้วมันไกลมากๆ เลยไปซื้อตั๋วที่เอเย่นท์ร้านหนึ่งข้างๆถนนละกัน เป็นรถมินิแวน จุุได้ 11 คน ยังมีที่นั่งเหลืออยู่ สนนราคาคนละ 100,000 กีบ แพงกว่าข้อมูลที่ได้คือ 90,000 กีบ แต่ไม่เป็นไร เพราะแถมมาด้วยรถไปรับที่รีสอร์ตหรือที่พักเลย ถือซะว่าที่บวกมา 10,000 กีบ เป็นค่าไปรับละกัน

ก็เป็นอันว่าจบสำหรับหนึ่งวันที่วังเวียง ที่เราเฉยๆ ไม่ประทับใจ แต่ออกผิดหวังเล็กๆว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ โดยคืนนี้ต้องนอนหลับพักผ่อนเยอะๆ เพื่อตื่นเช้ารีบเตรียมตัวไปหลวงพระบางต่อไป


วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2553
วันนี้ตื่นสายนิดๆ 7 โมงกว่าๆ รีบอาบน้ำแล้วรีบเก็บข้าวของเช็คเอ้าท์เพื่อไปทานอาหารเช้าก่อน เพราะรถจะมารับที่รีสอร์ตประมาณ 8 โมงครึ่ง เดี๋ยวพลาดไม่ได้ทานอาหารเช้าแล้วจะยาวววเลย เพราะกว่าจะถึงหลวงพระบางก็คงต้องใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ก็คงถึงประมาณ 3-4 โมงเย็นโน่นเลย

เก็บข้าวของเสร็จก็ไปบอกพี่ที่เคาน์เตอร์ว่า ถ้ามีคนมาเรียกผมที่ห้องช่วยบอกให้ด้วยว่าไปทานอาหารเช้าด้านหน้าอยู่

วิวบรรยากาศยามเช้า ตื่นไม่เช้ามากเลยอดดูหมอก


มีผู้คนบางส่วนทะยอยเดินออกมาจากริเวอร์ไซด์รีสอร์ตด้านหน้ากันบ้างแล้ว


ซูมเข้าไปดู บรรยากาศริมแม่น้ำซองน่านั่งอ่านหนังสือชิวๆ จริงๆ เสียดายไม่ได้จองที่นี่ไว้


สะพาน ... แม่น้ำ ... ภูเขา


โอ้ว....อาหารเช้ามาเสริฟแล้ว เป็น American Breakfast ง่ายและเร็วดี พร้อมกับกาแฟลาวร้อนๆ 1 ถ้วย กับโอวัลติน 1 ถ้วย แบ่งกันกิน


ทานอย่างเร่งด่วน เพราะมันเลย 8 โมงครึ่งไปแล้ว และแล้วก็ทานหมดก่อนที่จะมีคนมารับพอดี

รถตู้มารับประมาณ 8.50 น. แล้วก็ตระเวนรับอีก 2-3 จุดละแวกใกล้เคียง สุดท้ายก็มาส่งที่ขนส่งวังเวียงซึ่งไกลจากจุดที่ลงรถเมื่อวานอย่างมาก ใครคิดจะไปซื้อตั๋วที่ขนส่งเอง เลิกคิดได้เลยครับ

ในรูปสภาพรถตู้ที่มารับ แต่ไม่ใช่คันนี้ที่จะขับไปหลวงพระบางครับ


9.22 น. รถพามาส่งที่ขนส่งวังเวียง มินิแวนคันนี้แหล่ะที่จะพาเรา 12 ชีวิต(รวมคนขับด้วย)ไปหลวงพระบางกัน สังเกตรถส่วนใหญ่ที่นี่จะใช้ของเกาหลี อย่างคันนี้ฮุนได


ตามระเบียบ เราได้นั่งหลังสุดอีกแล้ว  ลองดูนะจะอ้วกมั้ย ฮึๆ

ขอบ่นหน่อยครับ พี่แว่นนั่งหน้าคนไทยคนนี้แกขี้หนาวหรืออย่างไร ลมแอร์ที่เห็นปุ่มอยู่ตรงกลางเขาตั้งไว้เบอร์ 2(max เบอร์ 3) พี่แกปรับลดมาเบอร์ 1 ตลอด แม้ว่าจะจอดพักรถ แล้วเราลงไปยืดเส้นยืดสาย ผมก็แอบบิดไปเบอร์ 2 ก่อนลงทุกครั้ง พอขึ้นรถได้แกก็บิดกลับไปเบอร์ 1 ตลอด ขี้หนาวก็น่าจะเปลี่ยนหน้าต่างลมแอร์ให้พัดไปด้านหลังหรือจุดอื่นก็ได้ ไม่ใช่หรี่แอร์ คนนั่งหลัง 2 แถวเขาร้อนกัน


รถเคลื่อนตัวเวลาประมาณ 9.30 น. ช้ากว่าเวลาระบุไว้ครึ่งชั่วโมง ยังถือว่าใช้ได้อยู่ มานั่งท้าย ก็ต้องถ่ายด้านท้ายผ่านกระจกท้ายอันหมองมัวด้วยฝุ่นจากถนน หนทางอีกยาวไกลครับ


1 ชั่วโมงผ่านไป เวลา 10.31 น. รถก็มาจอดแวะที่แรก ให้ยืดเส้นยืดสายกัน ณ จุดนี้ ผมซื้อซิม Unitel เพื่อทดลอง 3G อีกครั้ง   ครั้งนี้ราคาเบาๆ 10,000 กีบเอง ใส่ซิมก็ลองโทรออก มีสัญญาณใช้ได้ แต่ยังใช้ 3G ไม่ได่อีกแล้ว 555 สงสัยต้องเซ็ทอัพเครื่องก่อนใช้หล่ะม้างง

รถจอดให้พัก 10 นาทีเห็นจะได้ แล้วก็เดินทางต่อ


อีก 1 ชม. ผ่านไป เวลา 11.34 น. รถก็มาจอดแวะพักที่จุดชมวิวบนลานจอดรถที่ทำไว้อย่างดี ไม่แน่ใจว่าชื่อว่าอะไร แต่มีรถตู้ รถเก๋ง ขบวนคาราวาน(พี่ไทยเรา) เยอะพอควร เรียกได้ว่าเป็นจุดที่ชมวิวได้รอบทิศทีเดียว


วิวเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ


เส้นทางที่เราผ่านกันมา คดโค้ง ถนนขรุขระบ้าง เขาบอกมาที่ลาวมีแค่ 3 โค้งเท่านั้น คือ
1.โค้งซ้าย
2.โค้งขวา และ
3.โค้งอันตราย 

ณ เวลานี้ คนข้างๆ เริ่มออกอาการแล้วครับ ผมเองก็เวียนหัวเหมือนกัน ร้อนก็ร้อนแถมยังปิดแอร์อีก ให้เหตุผลว่าถ้าเปิดแอร์แล้วรถจะไม่มีกำลัง โธ่.....ไปดูรถตู้เปรมประชาสายเชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน เลย เขาก็บรรทุกคนเต็มทุกที่นั่ง ขึ้นเขาเหมือนกัน ยังไม่ปิดแอร์เลย รู้งี้นั่งรถเปิดกระจกซะดีกว่า เสียเงินแพงกว่านะเนี่ย


พักชมวิวเสร็จก็เริ่มเดินทางกันต่อ คราวนี้หนักหนาสาหัสกว่าที่ผ่านมา ลำพังโค้งไม่เท่าไหร่แต่ถนนขรุขระมาก เด้งไปเด้งมาตลอด ระหว่างทางนี้คนนั่งข้างๆ เริ่มขอบริการถุงอ้วกแล้วครับ ก่อนขึ้นรถก็ดันลืมกินยาแก้เมารถอีก โห...น่าเห็นใจมากๆเลย

เวลา 13.30 น. รถก็มาจอดแวะพักอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะพักข้างทางแล้ว เราทั้ง 2 คนอ่วมเลย ผมปวดเข่าสุดๆจากการนั่งท่าเดิมตลอด ใช้กินยาพาราแก้ปวดเหมือนกัน อีกคนก็อ้วกแตกอ้วกแตน สภาพทั้งสองแย่พอๆกัน

เริ่มหิวเข้ามาแล้วครับ หันไปดูมีแซนวิชทูนาแบบใช้ขนมปังยาวๆแบบฝรั่งเศสเลยสั่งมา 1 ชิ้น ราคา 10,000 กีบ ก็พอทานได้ครับ ประคองท้องไปได้มื้อนึง

ส่วนห้องน้ำที่นี่สงสัยค่าเข้าตามระดับความสูงมั้ง คนละ 2,000 กีบ หรือ 8 บาทกันเลยทีเดียว


อีกครั้ง ระหว่างทางหลังจากพักทานอาหาร คนข้างๆ ก็ใช้บริการถุงอ้วกเป็นถุงที่ 2 แล้ว  เพราะนั่งหลังสุดด้วย เลยไปกันใหญ่ ผมได้แต่ภาวนาว่าขอให้ถึงทางตรงซะทีเถอะ ความทรมานจะได้สิ้นสุดลง

ในที่สุด การภาวนาก็เป็นผล รถมินิแวนมาจอดที่ขนส่งหลวงพระบาง เวลา 15.37 น. รวมใช้เวลาเดินทางจากวังเวียงมาหลวงพระบาง(นับเวลาจอดพักด้วย) ทั้งสิ้น 6 ชั่วโมงเต็มๆ คราวนี้เวลาตรงกับที่เพื่อนๆบอกไว้ครับ

หลังจากลงจากรถก็ทิ้งถุงอ้วกเป็นที่เรียบร้อย มองหารถตุ๊กๆ หรือจัมโบ้ หรือสองแถว แล้วแต่จะเรียกกัน ถามค่ารถ ได้ความว่าคนละ 10,000 กีบ ซึ่งเท่ากับรถที่วังเวียงเลย ก็ขึ้นรถไปกัน โดยให้จอดที่ร้านโจมา จุดตั้งหลักยอดฮิตถ้ามาที่หลวงพระบางนี้ รถใช้เวลาแล่นมาไกลกว่าที่วังเวียงเยอะเลย ถือว่าคุ้มกับค่ารถที่เสียไป


เพียง 8 นาที รถตุ๊กๆก็มาจอดที่หน้าร้านโจมา ตามที่แจ้งไว้ ฝาหร่งฝาหรั่งก็ลงหมดตามเราไป

คราวนี้ก็เตรียมหาที่พักตามที่ได้ข้อมูลมาคือ ซอยข้างๆร้านโจมาเนี่ยแหล่ะ ที่พักที่จดไว้ก็จะมี เรือนพักพาโชค, เรือนพักสุขสวัสดิ์ เดินเร็วมากเพราะกลัวโดนคนอื่นมาแย่งที่พักไป จนทำให้เดินเลยที่พักดังกล่าวซะงั้น ทั้งๆที่มันอยู่ต้นซอยทางด้านขวามือเลยนะเนี่ย


เดินไปถามแต่ละที่ก็เต็มหมดแล้วครับ ไม่ใช่เต็มแค่วันนี้(5 ธันวาคม 53) แต่เต็มยาวไปถึงวันจันทร์เลย สงสัยเพราะนักท่องเที่ยวชาวไทยนั่นเอง เดินสอบถามหลายที่มาก บางที่ก็บอกว่ามี แต่ราคา 1,000 บาท โอ้ว...อะไรจะแพงขนาดนั้น บอกเป็นห้อง VIP โห....ไม่เอาๆ เอาแบบธรรมดา ก็ไม่มี เลยเดินเข้าทางลัดโน้น ออกทางลัดนี้ จนมาเจอน้องที่กำลังซักผ้าบอกว่ายังมีที่ว่างอยู่ในเกสท์เฮ้าส์ใกล้ๆ

เดินเข้าไปถาม น้องผู้ชายชาวลาวกำลังนอนอยู่พอดี เห็นเราเข้าไปก็ตกใจลุกขึ้นมา พร้อมกับบอกว่า ยังมีที่พักว่างอยู่ เหลืออยู่ 2 ห้อง เราก็ขอเข้าไปดู เป็นเฮือนพักศิริกาญจน์(ผมเขียนชื่อภาษาไทยเอง)


ที่นี่จะมี 2 ชั้น รวมมีห้องพักทั้งหมด 8 หรือ 10 ห้องมั้งครับ  ราคาห้องพักคืนละ 400 บาท หรือ 100,000 กีบ เดินเข้าไปดูห้องที่จะพักก็จะเป็นดังภาพ มีทีวีสี 21 นิ้ว ภาพชัดเจน


เป็นแบบเตียงเดียว มีพัดลมและแอร์ในห้องเดียวกัน แอร์สภาพดี เย็นฉ่ำครับ แต่ด้านข้างติดกับซอยที่เดินผ่านมา อาจจะมีเสียงบ้างเล็กน้อย ตอนเช้าแล้ว ส่วนตอนดึกไม่มีครับ


ห้องน้ำ มีน้ำอุ่น น้ำไหลแรง สะอาดสะอ้าน ไปดูอีกห้องหนึ่ง แต่เราตกลงเอาห้องนี้ แล้วเอาสัมภาระเก็บเข้าที่ ขอนอนพักเอาแรงก่อน เพราะเหนื่อยกับการนั่งรถถึง 6 ชั่วโมงมากๆ ตื่นมาคงได้ไปเดินดูเขาขายของและหาอะไรทานที่ตลาดมืดกัน


นอนพักไปชั่วโมงนึง ตื่นมาก็เริ่มสดชื่น ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่า
เดินออกมาจากซอย ก็จะเจอกับตลาดเซ้าฝั่งตรงกันข้าม และตลาดมืดที่อยู่เยื้องออกไปสะดวกดี
เราเดินย้อนขึ้นไปจากริมน้ำโขงเพื่อไปสี่แยกที่มีตลาดมืดทางด้านซ้ายมือและไปรษณีย์ทางด้านขวามือ


มีร้านออกมาขายขิงข้างทางเยอะแยะ อันนี้เป็นร้านขายหมูย่าง น่ากินจัง


เดินถัดมาเป็นร้านผลไม้และร้านน้ำค่า...


และก็เดินเลี้ยวซ้ายมาเพื่อจะเข้าตลาดมืด เรามาหยุดที่ร้านน้ำปั่นครับ กำลังอยากทานอะไรที่สดชื่นอยู่พอดีเลย สั่งแอปเปิ้ลปั่นไปและผลไม้รวมคนละแก้วๆ ละ 5,000 กีบ


ถัดไปก็จะเป็น Ancient Luang Prabang Hotel โดยนำเบเกอรี่ออกมาขายเด้านนอกเลย


อ้าว....ช่วงนี้เป็นเทศกาลงานแสดงหนังนานาชาติของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Luang Prabang Film Festival) ด้วยนะเนี่ย ได้มาทันดูหนังสะบายดีหลวงพระบางที่อนันดาแสดงในวันนี้ด้วยครับ แต่เอ....คนจะเยอะมั้ยเนี่ย ที่นั่งยังว่างอยู่เลย


เดินไปพอดีมีจุดแลกเงินอยู่ ก็เลยแลกเงินเพิ่มอีก 2,000 บาท แล้วไปเดินช็อปปิ้งกัน

เสื้อยืดหลวงพระบางหลากสีใส่สบายๆมีให้เลือกเยอะแยะ ราคาตัวละ 60 บาท สำหรับ XL ขึ้นไป แต่ถ้าต่ำกว่านั้น ต่อรองเหลือ 55 บาทได้ ดูๆไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยมาซื้อในวันรุ่งขึ้น เพราะมีเวลาอยู่ที่นี่ถึง 3 คืนด้วยกัน (คุยกันสองคน ดีแล้วที่ตัดสินใจมาที่หลวงพระบางเลย จะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ)


โคมไฟสวยๆ


กระเป๋าหลายสีสัน คล้ายกับภาคเหนือของไทยเรา


เดินไปเรื่อยๆ มีโคมดาวด้วยนะ


และหุ่นตุ๊กตาแบบนี้ คล้ายๆกับของไทยเรา


มาหยุดเอาตรงร้านขายกระเป๋าที่ข้างในเป็นผงกาแฟลาว พอดีเป็นคนชอบทานกาแฟอยู่แล้วเลยเลือกดูที่ลายปักสวยๆ แล้วหยิบมา 1 อัน ราคา 10,000 กีบ



เดินมาตามถนนศรีสว่างวงต่อกับถนนสักกะลินเรื่อยๆ ก็จะเข้าเขตย่านที่พักที่มีแต่ฝรั่งซะส่วนใหญ่ ร้านนี้เปิดไฟซะสวยทีเดียว


ร้านนี้ออกโปรโมชั่น เบียร์ลาวขวดใหญ่ 10,000 กีบ แถมฟรีถั่วลิสง น่าสนมั้ย ??


เราเดินจนเมื่อย เห็นว่าข้างหน้าไม่ค่อยมีอะไรแล้ว เลยเลี้ยวซ้ายที่แยกด้านหน้า  เพื่อจะกลับมาหาบุฟเฟ่ต์ดังที่เพื่อนๆได้บอกไว้ซะหน่อย เริ่มหิวแล้ว

เดินไปเดินมา หาไม่เจอซะที สงสัยจะไม่ได้กิน แต่สุดท้ายก็หาเจอจนได้ เห็นซอยเล็กๆ มีแสงไฟอยู่ ผู้คนขวักไขว่ ท่าจะใช่ งั้นเราเดินไปกัน


ได้สั่งบุฟเฟต์มังสวิรัตมา 1 จาน + ไก่ทอด 1 ชิ้น และที่ขาดไม่ได้คือ เบียร์ลาวนั่นเอง สนนราคา 10,000 + 15,000 + 10,000 = 35,000 กีบ จร้าาา


ทานเสร็จพร้อมๆกับมึนๆเล็กน้อยก็เดินออกมาตรงซอยที่อยู่ข้างๆโรงแรม Ancient Luang Prabang ก็ได้เจอกับหนังสะบายดีหลวงพระบางที่กำลังฉายอยู่พอดี คนลาวมาดูกันเต็มจนต้องยืนกันทีเดียว แถมยังหัวเราะสนุกสนานไปตามตัวละครที่แสดงด้วยนะ แต่ถ้าใครได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าสนุกดีครับ เป็นธรรมชาติดี


มีออกร้านอาหารนานาชาติด้วยนะ ในรูปเป็นร้านจากประเทศสิงคโปร์ แต่คนลาวมาขายครับ


อากาศเย็นๆ บวกกับงานออกร้านต่างๆ ทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่ไปเที่ยวงานวัด สนุกดีครับ

เดินไปทางถนนที่จะไปดารามาร์เก็ตก็เจอร้านโรตีขายข้างทาง อยากทานอยู่พอดี ราคา 5,000 กีบ เลยสั่งมา 1 อัน ทานด้วยกัน แล้วก็ไปซื้อกาแฟลาวเย็น ที่ร้านที่เคยซื้อน้ำผลไม้ปั่นมาอีก 1 แก้ว 10,000 กีบ อิ่มท้อง พร้อมกับยืนดูหนังสะบายหลวงพระบางจนจบ


พอหนังจบ คนก็เริ่มทะยอยเดินกันออกมา เราไม่รู้จะไปไหนต่อ ก็เลยเดินข้ามฝั่งไปแถวๆร้านโจมาละกัน ลองดูราคาก่อนซิว่าแพงมากน้อยเพียงใด เผื่อจะได้มาใช้บริการ ร้านมีคนพอประมาณ แต่วันนี้ยังไม่อยากนั่ง ทำได้เพียงเก็บภาพจากหน้าต่างซุมเข้าไปด้านในร้าน


เดินถัดไปอีกก็จะเจอกับร้านขนมจีน ขนาด 2 ทุ่ม คนยังเยอะอยู่เลย


แล้วเราก็กลับไปที่พัก ระหว่างทางก็อยากที่จะหาที่พักทั้ง 2 ที่ที่เราจดกันมาแต่ทำไมหาไม่เจอกัน ก็เลยเดินเข้าไปซอยข้างร้านโจมาเหมือนเดิม คราวนี้เดินช้าๆ ดูซ้ายและขวา ก็ถึงบางอ้อว่า โธ่...มันอยู่ตรงนี้นี่เอง แต่ป้ายบอกชื่อที่พักดันอยู่ข้างในเข้าไป เลยมองไม่เห็น ทั้งเรือนพักพาโชค และสุขสวัสดิ์ ก็อยู่ติดกัน 555 แต่ถึงเราเจอตอนมาครั้งแรกก็คงไม่ได้พักอยู่ดีเพราะเต็มไปเรียบร้อยแล้ว อิอิ


สุดท้ายสำหรับคืนแรกในหลวงพระบาง เมืองมรดกโลก เราเดินออกไปที่ถนนริมแม่น้ำโขง หรือแคมโขง เพื่อเดินเข้าไปยังที่พักต่อไป แต่เรายังไม่หลับ ได้พูดคุยเรื่องต่างๆกับน้องลาวที่เป็นพนักงานต้อนรับที่เกสท์เฮ้าส์ที่เราอยู่เกือบๆชั่วโมง ได้รับรู้อะไรหลายๆ ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเยอะเชียว เพื่อจะได้นำไปเป็นแผนที่การท่องเที่ยวของเราในวันรุ่งขึ้นต่อไป

แล้วเจอกันในวันรุ่งขึ้น กับการขี่จักรยานตระเวนรอบหลวงพระบางครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น