วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สะบายดีลาว...วังเวียง-หลวงพระบาง ตอน 3 ตื่นเช้ามืดตักบาตรข้าวเหนียว สายไปเที่ยวน้ำตกตาดกวางสี เย็นขึ้นพระธาตุพูสี



วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2553

วันนี้ตื่นแต่เช้ามืดเลย มาถึงหลวงพระบางก็ต้องมาตักบาตรข้าวเหนียว ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวลาวที่สืบทอดต่อกันมา

ตื่นมาประมาณตี 5 ยังมืดๆ อยู่ จัดการธุระส่วนตัวแล้วออกจากเกสเฮ้าส์มา เดินไปตามถนนด้านหน้าแล้วเจอกับสี่แยกตรงที่มีไปรษณีย์ พอดีเจอกับแม่ค้ากำลังยืนรอขายข้าวเหนียวอยู่พอดี สนนราคาก็กระติ๊บละ 10,000 กีบ ไม่ได้ต่อรองอะไรมากครับ ซื้อมา 2 กระติ๊บแล้วมุ่งหน้าไปทางพิพิธภัณฑ์ เพราะทราบมาว่าบริเวณนี้พระจะมาบิณฑบาตรเยอะ เดินผ่านมาทางซอยด้านซ้ายมือจะมีแม่ค้านำผักสดๆ มาขายกันเป็นแถว


เดินผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์ หอพระบางกำลังสว่างไสวเลย


มานั่งรอแล้ว ยังมืดตื๊ดตื๋ออยู่เลย เราซื้อกล้วยจากแม่ค้าอีก 1 ถาด ราคา 10,000 กีบ


6.13 น. เริ่มมีแสงออกมาบ้างแล้ว แต่พระท่านยังไม่มา


ตรงที่นั่งรออยู่ พระท่านยังเดินมาบิณฑบาตรไม่ถึง เลยเดินไปข้างหน้าเพื่อเก็บภาพก่อน

เรียงแถวยาวเลย คนดูก็ต่างตั้งกล้องถ่ายรูปกันอย่างใกล้ชิด


ไม่นานนัก พระท่านก็เดินมาถึงบริเวณที่เรารออยู่ ผมใส่บาตรข้าวเหนียวจนหมดกระติ๊บก่อน แล้วจึงหันมาจับกล้องถ่ายต่อ


อีกมุมหนึ่ง


เกือบๆ 7 โมงเช้า พระก็ทะยอยเดินกลับจนหมด


เดินผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง


แล้วก็มาถึงวัดใหม่สุวรรณภูมาราม วัดที่น้า Insight พูดถึง

งานจิตรกรรมจากผนังอุโบสถทำให้เราต้องรีบเดินเข้าไปเก็บภาพอย่างใกล้ชิด ไม่เพียงเดินผ่านไป


ที่เสาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม ผนังด้านหน้าพระอุโบสถตกแต่งด้วยภาพลงรักปิดทองดูเหลืองอร่ามงามตายาวตลอดผนัง เล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดก โดยฝีมือช่างหลวงประจำรัชกาลเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ด้านล่างเป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆ มีรูปช้างน้ำอยู่ด้านล่างขวาของภาพ ส่วนบานประตูแกะสลักเป็นรูปเทวดาศิลปะแบบเชียงขวาง


อีกรูปหนึ่ง ตรงบานประตูทางเข้าแบบใกล้ๆ


แล้วเราก็เดินต่อไปยังร้านกาแฟประซานิยม ไปถึงคนก็ยืนออกันล้นอย่างที่คิดๆไว้เลยครับ


นี่ครับ กาแฟร้อนกับโอวัลตินร้อน พร้อมกับปาท่องโก๋ หรือซาลาเปา ซึ่งใส่ในจานไว้ ใครจะทานก็หยิบไปทานได้แล้วมาบอกทีหลังว่าทานไปกี่ชิ้น ก็จะคิดตามนั้น


เราทานกาแฟปาท่องโก๋เสร็จ ก็กลับไปนอนต่อที่เกสเฮ้าส์ ก่อนจะกลับมาหาอะไรทานอีกเกือบๆ 11 โมง

ซึ่งเราได้จองรถเพื่อไปน้ำตกตาดกวางสีกับทางน้องที่เกสเฮ้าส์แล้ว ราคา 2 คน 100,000 กีบ ในรูปกำลังย่างไก่ร้อนๆเลย


และส้มตำแบบลาว ซึ่งทานไปได้นิดเดียวเอง


ทานจนอิ่มเสร็จก็รอรถมินิแวนมารับไปน้ำตกตาดกวางสีต่อ

ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งเป็นอย่างต่ำไม่ว่าจะรอรับคนแต่ละจุดในหลวงพระบางอีก และถนนที่ไม่ดี จนประมาณ 12.44 น. ก็มาถึงยังประตูทางเข้าน้ำตก คนขับรถบอกให้มาเจอกันอีกที 14.30 น. ซึ่งน้อยมาก จะไปทันอะไรเนี่ย

ซื้อตั๋วเสร็จก็เดินตามเข้าไปเล้ยยย


ทางเดินเป็นถนนราดยาง ขึ้นเนินเล็กน้อย  ณ จุดนี้ ห่างจากตัวเมืองหลวงพระบาง 25 กม.


มาถึงแล้ว น้ำตกตาดกวางสี หรือ ตาดกวางซี น้ำตกสีเทอร์คอยซ์ที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง


ยอมรับว่าสวยจริงๆครับ คล้ายๆกับสระมรกต จ.กระบี่ บ้านเราเลย


เย้...ได้มาถึงแล้ว ( หลังจากอ้วกไปหลายครั้ง :P )


ดูน้ำตกยังไม่ทันไร เราสองคนจะขึ้นปีนเขาไปยังต้นน้ำข้างบนตามฝรั่งอีกแล้ว จะไปรอดมั้ยเนี่ย สูงเอาการอยู่นา


สุดท้ายก็ขึ้นไปถึงยอด เหนื่อยหอบแฮ่กๆ เลย

ด้านบนก็จะมีแอ่งน้ำครับ มีน้ำไหลมารวมกัน แล้วค่อยตกลงด้านล่างเป็นน้ำตกที่เราเห็นๆ กันอีกที

ฝรั่งขึ้นมาหลายคนเลย พวกเขาคงชอบเที่ยวแนวผจญภัยเป็นชีวิตจิตใจ อยู่เฉยๆ ชมวิวด้านล่างไม่ได้ (อ้าว เราก็เป็นด้วย)


หลังจากนั้นก็เดินลงมาจากเขาอย่างทุลักทุเล ชันจริงๆ เวลาลงนี่

เนื่องจากจะถึงเวลานัดหมายให้กลับแล้ว ก็เลยต้องทำเวลากันหน่อย เดินดูในส่วนที่ยังไม่ได้ไป  น้ำตกหลายๆจุดก็สวยงามเช่นกัน


ขากลับทางคนขับรถแวะที่หมู่บ้านม้ง เพื่อให้เราแวะเดินดูของที่ระลึก เผื่อจะอุดหนุนซื้อชาวบ้านมาบ้าง ซึ่งก็ไม่มีใครซื้อสักกะคนเลย

ในรูปเป็นผ้ากันเปื้อนลายสวยๆ เหมือนผนังของวัดเชียงทอง


ผ่านทางที่เป็นสะพานไม้แบบนี้หลายจุดทีเดียว


แล้วก็กลับมาถึงที่หลวงพระบางอีกครั้ง ประมาณบ่ายสามครึ่ง  เดินผ่าน เอ๊....เขาขายอะไรกัน

อ๋อ...ขายหวยนั่นเอง


กลับมาจากน้ำตกตาดกวางสีก็เข้าเกสเฮ้าส์พักผ่อนก่อน ต่อจากนั้น เย็นๆ ค่อยออกมาเพื่อเดินขึ้นพระธาตุพูสี

ตามมาเลยค่ะ....


ขึ้นไปถึงยอดแล้ว มุมพระธาตุพูสีแบบสวยๆ ถ่ายยากมากๆ เพราะมีแต่มุมเงยอย่างเดียว ที่ก็แคบๆ


วิวหลวงพระบางที่มีแม่น้ำคานแบ่งเป็น 2 ฝั่ง

ด้านไกลๆ ไม่ทราบว่าเป็นวัดอะไร เหลืองอร่ามสะท้อนแสงออกมาทีเดียว


ซูมเข้าไปด้านซ้ายของภาพบนจะเป็นรันเวย์ของสนามบินหลวงพระบาง ซึ่งเราจะกลับด้วยเครื่องบินในวันพรุ่งนี้


ในที่สุดก็ได้เวลาพระอาทิตย์ตกดิน แต่ครั้งนี้ขี้อายเล็กน้อย ปล่อยให้เมฆมาบัง เลยได้ภาพเท่าที่เห็น  มีคนร่วมสังเกตการณ์เพียบ


พระธาตุพูสีอีกมุมหนึ่งครับ


รูปวิวสุดท้ายบนพระธาตุพูสี แสงใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว


เดินลงจากพระธาตุมาก็เข้าไปกราบพระในอุโบสถด้านล่างนี้ครับ


ลงมาถึงด้านล่างก็ค่ำพอดี เลยหาอะไรทานกัน มาแวะทานกาแฟและขนมเล็กๆ น้อยๆ ที่ร้าน Ancient Luang Prabang


แล้วก็เดินมาทาน Nasi Lamak ที่โรงแรมดาราเพชร วิลล่า เพราะเมื่อวานมาดูแล้วน่าทานมากๆ

พอได้ลองรสชาติก็ชอบยิ่งขึ้นไปใหญ่ ทำรสชาติออกมาเหมือนเจ้าของถิ่นทำเองคือมาเลเซีย รสชาติเผ็ด จัดจ้าน ฝรั่งโต๊ะข้างๆที่สั่งมาถึงกับทานไม่หมด ทานไปได้ไม่กี่คำเอง ส่วนผมเรียบร้อย อร่อยมากๆ

แต่พอทานเสร็จดันปวดท้องขึ้นมาทันที แต่คงไม่ใช่อาหารที่กำลังทานอยู่แน่ เลยรีบกลับที่พัก แล้วเข้านอน เพื่อเดินทางขากลับในวันรุ่งขึ้นต่อไป


วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2553

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง นั่นคือเราต้องเดินทางกลับกันแล้ว 1 คืนในวังเวียง และ 3 คืนในหลวงพระบางช่างเร็วจริงๆ เราประทับใจหลวงพระบางมากเป็นพิเศษ ยังนึกดีใจที่ได้ตัดสินใจถูกที่ยกเลิกค้างที่วังเวียงอีก 1 คืนแล้วเดินทางเข้ามาหลวงพระบางเลย ซึ่งทำให้เรามีเวลาที่หลวงพระบางมากถึง 4 วัน 3 คืน เก็บเกี่ยวบรรยากาศสบายๆ ได้เป็นอย่างดี

หลังจากตื่นนอนเกือบๆ 9 โมงเช้า ก็เดินออกมาหารถตุ๊กๆเพื่อจะให้ไปส่งที่สนามบิน จริงๆแล้วก็ให้น้องที่เกสเฮ้าส์หาให้ แต่คิดว่าแพงไปเลยออกมาหาเองดีกว่า ซึ่งก็ได้ต่อรองจนได้ราคาที่พอใจ

แล้วก็มาส่งโปสการ์ดในส่วนที่เหลือก่อนให้เรียบร้อย ส่งแล้วก็ขอถ่ายรูปซะหน่อย


เดินผ่านตลาดเช้า


ก่อนจะมาแวะทานกาแฟและปาท่องโก๋ที่ร้านกาแฟประซานิยมอีกครั้งในเช้าวันกลับ


แล้วก็เดินเล่นซะหน่อย เพราะยังไม่ถึงเวลาที่รถจะมารับที่เกสเฮ้าส์

ในรูปเป็นท่าเรือที่จะนำเที่ยวไปถ้ำติ่ง หรือจุดท่องเที่ยวต่างๆ โดยทางเรือ มาครั้งนี้เราไม่ได้ใช้บริการ


เดินมาทางซอยข้างร้านโจมา เห็นโรงแรมใหม่เอี่ยมเลยขอเข้าไปชมห้องข้างใน พนักงานก็ใจดีพาเข้าไปชม และให้ถ่ายรูปด้วย ราคาถ้าจำไม่ผิดจะประมาณ 1,500 บาท


หิวๆ ขึ้นมาก็ขอลองท้องด้วยเฝอครับ คนที่ไปด้วยทานส่วนผมนั่งดูเฉยๆ


ในที่สุดก็ถึงเวลาอำลาหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกแล้วหล่ะครับ

11.30 น. เราเอาสัมภาระเตรียมมารอที่ถนนด้านหน้าเกสเฮ้าส์ รถตุ๊กๆ ก็มาตามนัดหมายพอดี แต่ก่อนจะไป เราได้ฝากทิปเล็กๆ น้อยๆ ให้น้องลาวที่เป็นรีเซฟชั่นของเกสเฮ้าส์นี้ เนื่องจากเราประทับใจในเรื่องบริการและอัธยาสัยมากๆ พร้อมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับหลวงพระบางกับเราหลายอย่างทีเดียว

พร้อมกันแล้วก็เริ่มออกเดินทางกัน


น้องผู้หญิงลาวแต่งตัวใส่ผ้าซิ่นไปเรียนกันทั้งหมด ดูแล้วน่ารักดี


มาถึงแล้วครับ สนามบินหลวงพระบาง


เข้าไปเช็คอินที่สายการบินลาวเลยครับ

ปล. ผมจองไฟล์ทขากลับทางเน็ตมาก่อนหน้าที่จะเดินทาง ที่เว็บนี้ครับ http://www.laoairlines.com/


ได้ Boarding pass ตามนี้

ลืมบอกไปว่าเราไม่ได้บินตรงกลับกรุงเทพ เพราะมันจะราคาแพงมาก เราเลยเลือกที่จะบินภายในประเทศลาวเพื่อไปลงสนามบินเวียงจันทน์(วัดไต) แล้วผ่านด่านที่หนองคายไปต่อเครื่องอีกครั้งที่สนามบินอุดรธานีเพื่อมาลงที่กรุงเทพ สุวรรณภูมิต่อไป โดยค่าใช้จ่ายเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ถูกกว่าครึ่ง! เวลาไม่ใช่ปัญหา เราเลยเลือกแบบนี้ดีกว่า


ก่อนจะขึ้นเครื่อง เข้าไปเช็คพ้อยท์ก่อนครับ


ได้เวลาบอร์ดดิ้งแล้ว เครื่องบินแบบใบพัดใหม่เอี่ยม สวยทีเดียว


ภายในเครื่อง ใหม่ สีสันสดใส น่านั่งจริงๆ


แอร์โฮสเตสกำลังสาธิตเกี่ยวกับความปลอดภัยก่อนจะนำเครื่องขึ้น ตั้งใจฟังๆ


เครื่องกำลังไต่ระดับแล้ว ด้านขวาที่เห็นเป็นแม่น้ำโขง


ได้ระดับเพดานบินแล้ว  ฟ้าสีครามกับเมฆที่เป็นปุยนุ่น ชอบๆ


อาหารว่างกับน้ำดื่มที่เสริฟบนเครื่อง ก็อร่อยดีครับ


เพียง 40 นาทีก็มาถึงเวียงจันทน์แล้ว สนามบินวัดไต


เข้าอาคารผู้โดยสารก็มารอรับกระเป๋าที่โหลดไว้


ตอนแรกกะจะมองๆหาผู้โดยสารที่จะไปด่านที่สะพานมิตรภาพเหมือนกันซะหน่อย จะได้ขอแชร์ค่ารถ แต่ดูๆแล้วไม่มีแฮะ จึงเดินกลับเข้าข้างในเพื่อไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ สอบถามว่าไปด่านตม.ที่สะพานมิตรภาพเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่า 400 บาท ซึ่งเป็นราคามาตรฐานต่อรองไม่ได้ งั้นก็ไป


รถแล่นผ่านอนุสาวรีย์อะไรสักอย่าง จำไม่ได้แล้วครับ คนสำคัญของลาวเขา


เกือบบ่าย 3 โมงเย็น แท็กซี่ก็มาส่งที่ด่านตม.สะพานมิตรภาพไทย-ลาว จนได้  เข้าแถวกันก่อนครับ แถวขวามือสุดน่าจะเร็วกว่า


พอผ่านด่านตม.เสร็จก็จ่ายค่ารถข้ามสะพานมิตรภาพ รถก็พร้อมที่จะพาเราไปส่งยังดินแดนไทยแล้ว

ตอนนี้กำลังจะออกจากประเทศลาวแล้ว ยังมีธงชาติลาวสะบัดอยู่


ชั่วอึดใจก็มาถึงยังด่านตม.ฝั่งไทย สำหรับคนไทยจะมีช่องพิเศษให้ไปเช็คนะครับ แป๊บเดียว

พอออกมาเสร็จก็หารถที่จะไปที่สนามบินอุดรก่อนเลย ปรากฎว่าไม่มีรถเฉพาะ ต้องเหมาไปเหมือนกับที่หาข้อมูลมา แต่คนที่จะไปยังมีไม่ครบครับ เพราะมีแค่เรา 2 คนกับฝรั่งอีก 1 คน เลยยังไปไม่ได้ รถกระบะที่มาขับแท็กซี่เถื่อนเขาก็รอคนเพิ่มอยู่ เลยต้องนั่งรอกันต่อไป

แต่พอรอไปรอมาก็ไม่มีคนเพิ่มแล้ว เป็นอันว่า ราคาเหมา 800 บาท ทางเรา 2 คนจ่ายแค่ 500 บาท(เหมือนคนละ 250 บาท) และฝรั่งจ่าย 300 บาท ก็โอเคกันทุกคน รถจึงออกไปสนามบินอุดรกันได้


รถใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงดี ก็มาถึงสนามบินอุดรธานีแล้ว แต่ก่อนจะมาส่งเรา รถไปส่งฝรั่งที่บขส.อุดรธานีก่อน

เข้าไปสนามบินได้ก็เช็คอินที่เคาน์เตอร์แอร์เอเชียก่อนเลย


เช็คอินเสร็จก็มาทานอาหารที่ร้านอาหารชั้น 2 โดยผมเลือกสั่งแบบบุฟเฟ่ต์ และคนข้างๆสั่งแบบอาหารจานเดียว  ก็อิ่มกันทั้งคู่ครับ สำหรับผมคุ้มมากๆครับ เติมไม่อั้น แถมมีของหวานด้วยสิ


ขึ้นเครื่องแล้วครับ ไฟล์ทนี้ก็ดีเลย์เช่นเดิมสำหรับแอร์เอเชีย จากหมายกำหนดเดิมจะออก 18.10 น. เปลี่ยนเป็น 19.20 น. แต่แค่ 1 ชม.ผมว่าเฉยๆนะ


เครื่องใช้เวลาบินชั่วโมงนิดๆ ก็พาเรามาถึงสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัยแล้ว

เป็นอันว่าจบทริปวังเวียง-หลวงพระบาง ตลอดทั้ง 5 วัน 4 คืนแบบประทับใจกับหลวงพระบางเต็มๆครับ  สวัสดี...


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น