วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2550

กลับไปทวนความทรงจำที่ดีครั้งก่อน ณ เกาะอาดัง ราวี หลีเป๊ะ ตอน 1 เดินทางเยือนเกาะอาดัง พร้อมดำน้ำในวันรุ่งขึ้น Part I


การมาเยือนทะเลอันดามันครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่ 5 ถ้านับจากการเปิดฤดูกาลท่องทะเลอันดามันในปีที่แล้ว แต่ถ้านับเฉพาะหมู่เกาะตะรุเตา อาดัง ราวี หลีเป๊ะ แล้วหล่ะก็ นับเป็นครั้งที่ 3 ในชีวิตผม 

ครั้งนี้ไปแบบไม่ได้แพลนล่วงหน้าไว้เท่าใดนัก พอเสร็จเรื่องราวต่างๆก็อยากที่จะกลับไปเยือนอีกครั้ง ผมจองตั๋วเครื่องบิน สายการ"บินใครๆก็บินได้' เมื่อคืนวันที่ 6 พฤศจิกายน เดือนที่ผ่านมา จอง 2 ที่นั่งแต่พอใกล้ถึงวันจริงๆ กลับกลายเป็นว่าผมต้องไปเพียงคนเดียว การกลับไปครั้งนี้ เลยกลายเป็นการไปทวนความทรงจำที่ดีที่เกิดขึ้นมาในชีวิตคนเดียว นับได้ว่าเป็นสิ่งที่เราๆต้องการอยู่สงบๆกับจิตของเราเพียงลำพังคนเดียวเหมือนกัน

ก่อนไปไม่กี่วัน ผมลังเลไม่น้อยที่จะซื้อกล้องคอมแพ็คอีกตัวเพื่อไปทดแทนตัวที่เสียไปจากทริปเลตรังที่ผ่านมา เพียงเพราะว่าอยากถ่ายรูปใต้น้ำมาอีกนั่นเอง จนสุดท้ายหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่ายังไงๆก็ต้องนำไปใช้อีกที่หมู่เกาะสุรินทร์ปีหน้าอยู่ดี เลยทำให้ไม่นึกเสียดายเงินเท่าใดนัก พอหาอยู่หลายร้านที่ราคาไม่แพง เป็น Canon เหมือนเดิม ท้ายสุดได้มาเป็นตัวสุดท้ายของร้าน IT City เซ็นทรัลบางนา คืนวันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม ก่อนออกเดินทางไม่ถึง 12 ชม.

อุปกรณ์ทุกๆอย่างพร้อมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากดำน้ำ กล้อง 2 ตัว ถุงกันน้ำ ยกเว้นฟิน แล้วจะรออะไรอีกหล่ะ ไปเที่ยวทะเลกันเลยยยย....


ผมออกจากบ้านย่านบางนา ใช้เวลาเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิไม่นานนักก็มาถึงยังอาคารผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ ซึ่งอยู่ชั้น 3 สีฟ้าของหลังคายังเป็นเสน่ห์ของที่นี่อยู่ตลอด ผมชอบจึงชักภาพเก็บไว้
ณ เวลานี้ หกโมงเช้ากว่าๆ ไปเช็คอินและเตรียมตัวเดินไปเข้าเกตที่ระบุไว้ตามใบ boarding pass


เครื่องบินแล่นผ่านน่านน้ำอ่าวไทยแถบสุราษฎร์ฯได้สักครู่ กัปตันก็บอกกับผู้โดยสารอย่างเป็นกันเองว่าอีกสักครู่เราจะลงจอดที่สนามบินหาดใหญ่ สภาพอากาศแปรปรวน มีฝนตก  เอาเข้าแล้วไง อากาศท่าจะไม่เป็นใจแล้วหล่ะมั้ง ?
ในที่สุดเครื่องก็ลงจอดอย่างปลอดภัยที่สนามบินนานาชาติหาดใหญ่เมื่อเวลาประมาณ 8:05 น. ฝนยังคงตกปรอยๆ แต่ก็ไม่แรงมากแล้ว ผมนึกในใจว่าสงสัยต้องรอฝนหยุดตกก่อนจะออกจากสนามบินไปขึ้นรถด้านนอก


ผมเสียเวลากับการรอรถสองแถวสีฟ้าหน้าสนามบินนานมาก สุดท้ายไม่มีผมเลยค่อยๆเดินไปถนนใหญ่ แต่เมื่อถึงเวลา 9:00 น. รถสองแถวที่จอดอยู่ก็ได้เวลาออกมาพอดี เลยได้ขึ้นรถไปขนส่งรถตู้แห่งใหม่ คือตลาดเกษตรนั่นเอง
ที่ขนส่งแห่งนี้นับว่าเป็นศุนย์รวมรถตู้ที่กระจายเดินทางข้ามจังหวัดไปตามที่ต่างๆในละแวกนี้แทบจะเกือบทุกสายเลย ใครจะไปไหนมาที่นี่แห่งเดียวไปได้หมด ยกตัวอย่างเช่น สุราษฎร์ ตรัง สตูล ละงู หรือที่ที่ผมจะไปคือ ท่าเรือปากบารา
ผมมาถึงก็รีบไปซื้อตั๋วจากช่อง 8 คนขายยังเป็นคนเดิมจากที่เคยซื่อที่ข้างสถานีรถไฟหาดใหญ่ แถมราคาก็ยังคงเดิมคือ 100 บาท ดีจริงๆเลย แต่น่าเสียดายที่ผมมาไม่ทันเที่ยว 9:30 น. เพราะคนเต็มแล้ว เลยได้แต่รอเพื่อไปออกอีกครั้งตอนเกือบๆ 10:00 น. คราวนี้ เที่ยวเรือเวลา 11:00 น. ยังไงก็ไปไม่ทัน เลยได้แต่หวังว่าอย่าออกช้าอีกเลย กลัวจะไปไม่ทันเที่ยวบ่ายโมงอีก


รถตู้ใช้เวลาเดินทางจากหาดใหญ่ไปท่าเรือปากบาราไม่ผิดเพี้ยนจากที่ประมาณไว้ครั้งก่อนคือ 2 ชม. เพราะคนขับจะต้องมีหน้าที่เพิ่มเติมอีกอย่างนอกจากขับรถแล้วคือ ต้องสามารถไปส่งพัสดุที่มีคนเขาฝากมากับรถคันที่ขับด้วย ! นี่แหล่ะที่เป็นตัวที่ทำให้เสียเวลาเป็นอย่างมาก แทนที่จะขับส่งผู้โดยสารอย่างเดียว
มาถึงปากบารา ในวันนี้ผู้คนบางตา แน่นอนว่าไม่ได้เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวทะเลอย่างเต็มขั้น เพราะผู้คนจะไปเที่ยวเหนือซะส่วนมาก ช่างเป็นสมดุลอะไรกับการไปเที่ยวของผมอย่างยิ่ง ! เพราะผมชอบเดินทางไปไหนที่คนไม่พลุกพล่านมากนัก คือตรงกันข้ามกับผู้คนส่วนใหญ่เขานั่นเอง ถ้าการเดินทางนั้นสามารถเลือกได้


ผมไปถึงที่ท่าเรือก็รีบไปจัดแจงเรื่องจ่ายค่าธรรมเนียมการเข้าพักที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ณ เกาะอาดัง ทางเข้าอุทยานก็มี 2 ทาง จะติดถนนใหญ่หรือเดินจากท่าเรือริมทะเลก็ได้ทั้งนั้น
คุณทวีศักดิ์ เจ้าหน้าที่อุทยานที่รับสายผมตอนที่ผมโทรเข้าไปจองที่พักเมื่อเดือนก่อนได้เทคแคร์ผมดีมากครับ โทรมาชี้แจงรายละเอียด และก่อนมา 1 วันก็โทรมาสอบถามการเดินทาง จนกระทั่งวันนี้วันเดินทาง เห็นผมยังไปไม่ถึงก็โทรมาสอบถามผมตลอด ขอบคุณมากๆครับ  ผมจ่ายค่าที่พักที่บ้านอาดังราคา 800 บาท/คืน พัก 1 คืน และค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานอีก 40 บาทสำหรับผู้ใหญ่คนไทยครับ


เกือบลืมไปว่าผมก็มีพาสปอร์ตอุทยานแห่งชาติเหมือนกัน เลยนำไปสแตมป์ตราประทับซะหน่อย เที่ยวอุทยานมาหลายสิบที่แล้ว ไม่เคยหาซื้อพาสปอร์ตฯได้เลย ต้องขอบคุณน้องนุช น้องที่เจอกันที่ทริปหลีเป๊ะครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วในความเอื้อเฟื้อส่งมาให้ถึง 2 เล่มครับ


เสร็จจากเรื่องบ้านพักอุทยานแล้วต่อไปก็เป็นการไปซื้อตั๋วเรือไป-กลับ ปากบารา-หลีเป๊ะ(อาดัง) ณ วันที่ผมไปมีเรืออยู่เพียง 2 เจ้าคือ หลีเป๊ะสปีดโบ้ท กับอาดังซีทัวร์ซึ่งเป็นเรือเฟอรี่ คลื่นแรงอย่างนี้เลือกเฟอรี่อยู่แล้ว แต่ถึงยังไงผมก็เลือกเฟอรรี่อยู่ดีเพราะแพลนว่าพักถึง 3 คืน ไม่อยากเร่งรีบอยู่แล้ว อยากเดินทางไปเรื่อยๆ สบายๆ คงถึง 5 โมงเย็นตามที่กำหนดไว้คร่าวๆ
ผมเดินไปหน้าออฟฟิศอาดังซีทัวร์ ไม่ทันไร น้องสุ ไกด์ของอาดังซีก็ไหว้ผมมาก่อนแล้ว ผมก็รับไหว้ ซึ่งก้คือน้องยังจำผมได้ตลอดเลย คุณอินก็จำได้ ยังพูดกับผมว่าอาทิตย์ที่แล้วจ๋า(noo_jar)ก็มาเที่ยว ผมเลยได้ทีต่อราคาตั๋วเรือ สุดท้ายใจอ่อนลดให้ผม ต้องขอบคุณมาก แต่ราคาเท่าไหร่นั้น ไม่ขอบอกละกันนะครับ
รอเรืออยู่นาน เลยไปหาข้าวทานก่อน สักพักก็กลับมาทักทายคุณทวีศักดิ์ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ คุยกันสนุก พอได้เวลาผมก็ขอตัวลงเรือเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไป เรือออกจริงเกือบ 14:20 น. ทั้งลำมีคนไปไม่มาก มีผมที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยเพียงเดียวเองมั้ง ถ้าไม่นับสาวไทยที่มากับฝรั่งหนึ่งคน


เรือทุกลำบริเวณท่าเรือปากบาราโดยรอบติดธงไตรรงค์ แสดงถึงความเป็นไทยของเรา


ในที่สุดเรือก็เริ่มเดินทางออกจากท่าเรือปากบารา คลื่นลมไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่สำหรับวันนี้และคงช่วงนี้ไป


มีเรื่องน่าตลกที่ว่า เรือแล่นไปในทะเลได้ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็ดันมาดับเครื่องจอดซะแล้ว ใจก็ไม่ดี แต่กัปตันคงเห็นว่าผมเป็นคนไทยเลยตะโกนมาบอกว่า "เปลี่ยนสายพาน" ซึ่งก็ทำให้โล่งอกไปได้ระดับหนึ่งว่ามีสาเหตุการจอด แต่เอ...มีอะไหล่หรือเปล่าเนี่ย ? ไม่มีหล่ะ ลอยอยู่กลางทะเลนานๆคงไม่ดีแน่นอนเลย  โดยรวมแล้วจอดลอยอยู่ประมาณ 10-15 นาทีแล้วก็เดินทางต่อไปได้ ตอนช่วงกลางๆทาง ฝนก็ตกลงมา เลยทำให้ผู้โดยสารทุกคนที่นั่งอยู่ชั้นบนต้องอพยพมานั่งชั้นล่างกันทั้งหมด ด้วยความที่วันนี้ต้องตื่นเช้า เลยทำให้ผมผลอยหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาก็เลยเกาะไข่ไปแล้ว สักพักใหญ่ๆก็เข้าใกล้เกาะหลีเป๊ะเข้าไปทุกที
นั่นไง...ชายหาดฝั่งพระอาทิตย์ขึ้น ด้านขวาเป็นเกาะกระที่เคยมาเมื่อครั้งล่าสุด ดูรูปก็รู้ว่าวันนี้คลื่นแรงขนาดไหน ใกล้ถึงแล้วทำให้ดีใจไม่น้อย


ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เรือมาจอดหน้าหาดพัทยา แทนที่จะเป็นกึ่งกลางระหว่างหลีเป๊ะกับอาดัง คงเพราะหนีคลื่นลมที่แรงกระมัง
ดูนาฬิกาได้เวลาประมาณห้าโมงครึ่ง แสงอาทิตย์ไม่ค่อยจะมีให้เห็นแล้ว


ที่เห็นรีสอร์ทไกลออกไปนั้น น่าจะเป็นดาย๋ารีสอร์ทบนหาดพัทยา


ตอนแรกผมก็บอกกับเด็กเรือว่าผมจะไปเกาะอาดัง เพราะคิดว่าฝรั่งส่วนใหญ่คงไปค้างหลีเป๊ะกันทั้งนั้น แต่เด็กเรือก็บอกให้ผมลงเรือหางได้ ไปส่งทุกที่ พอไปๆมาๆ กลายเป็นคนเต็มเรือหาง คนเรือหางเลยกลัวว่าจะไปส่งผมที่อาดังค่ำ เลยโอนให้ผมไปลงเรือหางอีกลำ เลยทุลักทุเลน่าดูชม
แสงสุดท้ายของวัน ณ อาดัง-หลีเป๊ะ


ถ้าใครรู้ภูมิศาสตร์ของเกาะหลีเป๊ะ จากหาดพัทยา เรือจะต้องแล่นอ้อมวนตามเข็มนาฬิกาผ่านหาดชาวประมง(Sunset beach) แล้วผ่านหน้าเม้าเท่นรีสอร์ท ค่อยจะตัดขวางทะเลไปเกาะอาดัง
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้หายเหนื่อยไปเหมือนกัน เพราะเมฆหมอกตอนเย็นๆที่ลอยต่ำเหนือภูเขาบนเกาะอาดัง ทำให้มองดูคล้ายๆ ยอดเขาที่สูงตระหง่านแบบภาคเหนือหรือต่างประเทศได้เช่นกัน
เรือมาส่งผมคนเดียวที่อาดัง เขาคิดผม 100 บาทแทนที่จะราคา 50 บาท/คน จริงๆผมไม่อยากยอมเท่าไหร่ เพราะราคาก็ติดป้ายที่แน่นอนที่เรือเฟอรี่แล้ว แต่เห็นว่ามาไกลสงสัยคิดว่าไม่คุ้มเลยเรียกซะ 2 เท่า หยวนๆกันไป


ถึงเกาะอาดัง 6 โมงเย็นหน่อยๆ ช่างเป็นการเดินทางที่เนิ่นนานเสียจริงๆ ผมเดินไปติดต่อเรื่องที่พักกับเจ้าหน้าที่ ให้หลักฐานที่เป็นใบเสร็จรับเงินจากอช.ที่ฝั่งมาแสดงที่นี่ แล้วเจ้าหน้าที่จะให้กุญแจบ้านพักเรามา เจ้าหน้าที่แซวเล็กน้อยว่าทำไมมาถึงเย็นจัง
บ้านนี้แหล่ะ อาดัง 1


ภายในห้องใหม่ สะอาด สภาพดี จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นบ้านพักของอุทยานแห่งชาติ ที่นี่ต้องให้ 5 ดาวครับ แถมอยู่ริมสุดอีกด้วย


ต่อจากนั้นก็ออกมาทานอาหารที่ร้านค้าสวัสดิการ ที่นี่ร้านอาหารเปิด-ปิดตามเวลา รอบเย็นน่าจะเป็น 17:00 น. - 23:00 น. ผมไปทานเวลาประมาณ 19:00 น. เพื่อเอาแรงก่อนจะกลับมาอาบน้ำและอ่านหนังสือที่เตรียมไปด้วย ราตรีสวัสดิ์สำหรับวันแรกของการเดินทางมาเยือนอาดัง หลีเป๊ะ


อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่ ณ เกาะอาดัง
บรรยากาศบ้านพักยามเช้าที่นอนมาทั้งคืน บ้านจัดทำได้ดีทีเดียวสำหรับอุทยานแห่งชาติ


วันนี้ต้องไปลงชื่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อจะขอไปแจมทริปดำน้ำกับคนอื่นเขา ผมไปคนแรกที่แจ้งความจำนงอีกตามเคย ระหว่างทานอาหารเห็นหลายกรุ๊ปอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าคงเหมาเรือไปดำเองแน่นอน สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือ อาหารกล่องเพื่อนำไปทานตอนกลางวันเวลาไปดำน้ำเพราะไม่มีใครจะเตรียมไปให้ เราต้องเตรียมเอง น้ำดื่มด้วย ที่อช.มีเสื้อชูชีพกับหน้ากากดำน้ำให้เช่า อย่างละ 50 บาท ผมเอาหน้ากากไปเลยเสียแค่ 50 บาทสำหรับเสื้อชูชีพ
ราคาเหมาเรือหางไปดำแบบโปรแกรมไกล(โปรแกรม 2)คือไปหมู่เกาะดง หินซ้อน ราคา 2000 บาท ผมมองว่าแพงไป เพราะถ้าครั้งก่อนที่เหมาจากหลีเป๊ะมันราคา 1800 บาท รวมอุปกรณ์ดำน้ำทุกอย่างไว้แล้วด้วย


ปรากฏว่ามีคนมาเพิ่มอีก 4 คนหรือ 2 คู่ รวมผมด้วยก็เป็น 5 คนด้วยกัน งั้นราคาเหมาเรือต่อคนก็ 400 บาท ซึ่งก็ไม่แพงหรอก คนไม่เยอะด้วย
ระหว่างรอคนอื่นเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ผมก็เดินหามุมถ่ายรูปไปเรื่อย ณ จุดนี้บนเกาะอาดัง มองเห็นเกาะหลีเป๊ะที่อยู่ตรงข้างหน้า


น้ำทะเลไล่สีกัน สีเขียวมรกตคือสิ่งที่ผมหลงไหลจนถึงปัจจุบันนี้


ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว.....
ก็ไปกันเลยคร้าบบบบบ


เลยมาที่จุดดำน้ำด้านข้างๆเกาะหินงาม น้ำใสสสสสสจริงๆ


ที่จุดนี้ไม่ค่อยมีอะไรเช่นเคย มีแต่หินและปะการังแข็ง และหนอนภูฉัตรหลากสีที่เกาะหินอยู่


แต่อย่างน้อยก็มีปลาการ์ตูนกับปลาบางพันธุ์ที่แอบพลางตัวกับทรายขาวๆ


ดำได้ไม่นานก็ขึ้นเรือมาเพื่ออ้อมไปหน้าเกาะหินงาม กิจกรรมหลักของที่นี่ก็คือตั้งหินกัน


ที่เกาะหินงามนี้ หินจะงามสวยได้ต้องเจอกระแสน้ำทะเลกระทบเข้า หินจะต้องแสงสวยงามมาก


เดินเล่นถ่ายรูปจนหนำใจก็ลงเรือไปจุดอื่นต่อ


จุดที่จะมาดำต่อคือ เกาะหินซ้อน แต่เหมือนเดิมคือคลื่นแรงมากๆ เลยลงดำไม่ได้ เลยขับเรืออ้อมรอบๆเกาะหินซ้อนเพื่อถ่ายรูป มุมนี้ทราบดีว่าไม่สวยเพราะย้อนแสง เลยบอกให้พี่คนเรืออ้อมไปอีกด้านหนึ่ง


มุมนี้ค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไกลอยู่ดี


อ่า...ใช่แล้ว จุดนี้


หลังจากที่พลาดหวังไม่ได้ลงกับจุดดำน้ำที่หินซ้อน(มีปะการัง 7 สีเป็นผืนใหญ่ สวยมากๆ)แล้ว เราก็ไปต่อที่เกาะไผ่ ที่นี้ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะมีเขามาบังคลื่นลม สามารถดำได้ปกติ


ปลาอะไร จำไม่ได้แล้ว


ครั้งนี้โชคดีได้เจอหมึกกระดองด้วย รู้สึกมันจะมองค้อนๆนะ


มาเป็นคู่ อีกตัวกำลังดูดกินอะไรอยู่ งับๆ


ว่าไง...หนวดผมยาวมั้ยครับ


มาดูหอยมือเสือกันบ้าง


ปลาปักเป้าอีกแย้ววว


จบจากดำน้ำที่เกาะไผ่ ก็ไปขึ้นเกาะที่ใครๆหลงรักเอามากๆ นั่นคือ เกาะรอกลอย มาที่นี่เพื่อจะพักผ่อนและทานอาหารกลางวันที่เตรียมมากันไว้


ที่นี่เปลี่ยนไปในทางที่ดี(ผมคิดนะ) เพราะมีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแล มีบริการน้ำดื่มขาย และก้มีชิงช้าให้นั่งด้วย อิอิ


จุดชมวิวที่ทำเพิ่มเติมขึ้นมา นั่งชิวๆได้ตามสบายไม่มีใครมาไล่


ที่แปลกหลายๆอย่างคือ เรือหางเวลามาส่งคนแล้วจะไม่จอดชิดชายหาดเหมือนเดิม แต่จะไปจอดเรือกับทุ่นที่เตรียมไว้เลยไปในน้ำหน่อย


ฝากภาพสุดท้ายของ Part I ไว้ที่เกาะรอกลอยแห่งนี้ เกาะสวรรค์ของใครหลายๆคนในห้องนี้  แล้วเจอกันใน Part II ไปตามหาปะการัง 7 สีด้วยกัน

ขอบขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาชมภาพและทักทายกันนะครับ วันนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)

Original Published on www.pantip.com at [ 12 ธ.ค. 50 21:08:39 ] as below link

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น