วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2550

กลับไปทวนความทรงจำที่ดีครั้งก่อน ณ เกาะอาดัง ราวี หลีเป๊ะ ตอน 4 เดินสำรวจรอบเกาะหลีเป๊ะ พร้อมเก็บบรรยากาศถ่ายรูปไปเรื่อยๆ(ต่อ) ก่อนจะบินกลับกทม.ในวันรุ่งขึ้น Part IV


ผมเดินไปเรื่อยๆตามชายหาดฝั่งพระอาทิตย์ขึ้น ที่ฝั่งนี้คนไม่พลุกพล่าน สามารถเดินดูอะไรต่อมิอะไรได้สะดวก หามุมถ่ายรูปไปได้เรื่อยๆ หวังว่าจะเดินไปสำรวจรีสอร์ทให้ครบถ้าทำได้


รีสอร์ทที่ตั้งอยู่ต่อจากเอเซียรีสอร์ทก็คือตะรุเตา คาบาน่า ถ้าจำไม่ผิดเจ้าของเดียวกับ tigerlinetravel ทัวร์ที่มีปัญหาพอดู


ถัดจากนั้นก็จะเป็น Forra Dive and Resort


และแล้วก็มาถึงรีสอร์ทที่คุณดวงดาวฯ ขอให้ถ่ายรูปมาด้วย คือ Castaway นั่นเอง
ผมจำได้ว่า ครั้งแรกที่ไปหลีเป๊ะ ก็มีคุณแมวน้อยขอให้ผมถ่ายรูปวารินทร์รีสอร์ทมา


ที่พักก็เป็นอย่างที่เห็น ผมว่าคล้ายๆบ้านใต้ถุนสูงสมัยก่อนของไทยเราซึ่งตามต่างจังหวัดก็มีให้เห็นบ่อยๆ ไม่ได้ขอเข้าไปถ่ายข้างในเพราะแต่ละหลังดูเหมือนจะมีแขกอยู่ทุกหลังแล้ว


เรื่อยๆไม่รีบร้อน ก็มาสะดุดกับเรือที่มีสีสันเหลืองสด สภาพยังใหม่อยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นของใครกัน ท่าทางจะเตรียมเอาเรือออกไปกลางทะเลในอีกไม่กี่วัน


ในที่สุดก็เดินมาสุดปลายแห่งชายหาดแห่งนี้จนได้ เงียบๆเหงาๆดีจัง เลยมองย้อนกลับไปในเส้นทางที่ได้เดินผ่านมา



ใครชอบรีสอร์ทที่มีคนไม่พลุกพล่าน หลบอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นมะพร้าว และแมกไม้ และอยู่ปลายสุดของชายหาดแห่งนี้ รับรองว่าไม่ควรพลาดที่นี่ View Point bungalows


บ่ายสี่โมงแล้ว คงได้เวลาเดินย้อนกลับทางเก่าเพื่อไปยังที่พักก่อน เพราะแบตกล้องแจ้งเตือนเหลือเพียง 1 ขีด ยังไงก็ต้องกลับไปชาร์จสักเล็กน้อยก่อนจะเดินทางต่อไปสำรวจที่หาดพัทยา


ขากลับก็ต้องเจอวิวธงสีเหลืองปลิวไสวสวยๆของ Castaway Resort อีกครั้ง ยามเย็นนี้ท้องฟ้าขมุกขมัวอีกเช่นเคย


เลยมาจาก Castaway ก็จะเป็น บังกะโลแบบไม้ไผ่ที่มีชื่อว่า Coco Bungalows แบบเรียบง่ายแทรกอยู่ตามต้นไม้เช่นเคย


ก่อนจะกลับที่พักที่เม้าเท่น ก็ต้องเดินผ่านอันดามันรีสอร์ท สิ่งที่คนที่จะมาพักที่นี่ต้องคำนึงด้วยก็คือ ด้านหลังรีสอร์ทนี้จะมีสุสานของชาวบ้านสร้างไว้ ใครเดินผ่านตอนค่ำๆคงสยิวน่าดู



ผมเข้าที่พักเพื่อดื่มน้ำและชาร์จแบตกล้องไปในตัว สักประมาณ 15 นาทีก็เดินทางต่อ โดยครั้งนี้ขึ้นไปด้านหลังรีสอร์ทเพื่อไปตามทางลัดอีกเส้นหนึ่ง ผ่านร้านค้าและร้านอาหารต่างๆมากมายสองข้างทาง สิ่งนี้แหล่ะที่เพิ่งสร้างมาใหม่ ซึ่งดูจะขัดๆตานักท่องเที่ยวแบบเราๆอยู่ไม่น้อย เพราะมันเป็นปูนเหมือนกับตึกแถวชั้นเดียวขัดๆกับสภาพบ้านเรือนของเกาะแห่งนี้


สักพักก็มาถึงยังหาดพัทยา ครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชม. แต่มาถึงแล้ว แสงอาทิตย์ก็ใกล้จะหมดลงเรื่อยๆ


ไม่แน่ใจว่าที่นี่เรียกว่าอะไร แต่ก็น่าจะเป็นบาร์ที่เปิดบริการนักท่องเที่ยวยามค่ำคืน ทางเข้าเป็นเสาไม้หลากหลายดีจัง ไม่รู้ไปเอาไม้มาจากไหน


อ้าววว....ยังมีเรือเที่ยวบ่ายที่เพิ่งมาส่งนักท่องเที่ยวจากปากบาราอยู่อีกเหรอ กำลังเคลื่นคนลงเรือหางกันอยู่เลย มาถึงก็ค่ำพอดี เหมือนกับที่ผมมาเมื่อสองวันก่อน


ยามเย็นแบบนี้ หาดพัทยาคราคร่ำได้ด้วยผู้คนทั้งชาวไทยและเทศ สมกับชื่อหาดเขาหล่ะ ฝรั่งบางคู่ถึงกับเข็นรถให้ลูกน้อยชมธรรมชาติหาดทรายละเอียดอย่างกับแป้งไปในตัว บางคนก็มาเพื่อถ่ายรูป ซึ่งก็รวมผมด้วย หลากหลายกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่หาดแห่งนี้


มาที่นี่ก็เพื่อจะทานอาหารโต๊ะจีนหน้าชายหาดแบบนี้แหล่ะ แต่เสียดายที่วารินทร์ไม่ได้ตั้งโต๊ะแบบนี้แล้ว สงสัยต้องรอฤดูที่ผู้คนมากันเยอะๆ


ระหว่างทางก็ยังมีดอกไม้สวยๆร่วงหล่นจากต้นลงมากระทบผืนทรายให้เราได้ชื่นชม


บางครั้งการมาคนเดียวก็ทำให้เราคิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาได้ดีเหมือนกันนะ


มาถึงหลีเป๊ะรีสอร์ท บ้านพักดูดีเหมือนกัน แต่การบริการต้องค้นข้อมูลเก่าๆเอาเอง


หยุดพักและยืนดูผู้คนเดินผ่านไปมาก็ดีเหมือนกัน ครั้งนี้ชีวิตไม่เร่งรีบ


ช่วงนี้หลายๆร้านและหลายรีสอร์ทเริ่มวางเสื่อและโต๊ะกันแล้ว เสียดายมาคนเดียวเลยไม่ได้นั่งทานอาหารทะเลที่ใครๆเขาแนะนำพร้อมกับกินบรรยากาศริมทะเล ณ หาดพัทยาแห่งนี้


ในความเหงาก็ยังมีความสว่างของความคิดเช่นกัน


ผมไม่แน่ใจว่าหาดทรายแถบนี้มีริ้วรอยเป็นทางยาวสีออกเขียวๆได้เนื่องจากอะไร แปลกจัง


ร้านบาร์ Peace & Love


เดินจนสุดหาดพัทยาทางตะวันตก แต่คงไม่เดินไปด้านตะวันออกแล้วเพราะไม่มีแสง เลยเข้าทานอาหารที่ร้านอาหารของวารินทร์รีสอร์ท อาหารอร่อยใช้ได้เลย และราคาก็ไม่แพงจนเกินไปนัก 


พอทานอาหารเสร็จก็ต้องเดินกลับทางเดิม ร้านรวงต่างๆเปิดไฟเรียกลูกค้าแล้ว ใครจะใช้บริการสักผิวหนังก็เชิญเลย


ใครอยากซื้อโปสการ์ดเพื่อส่งให้เพื่อนหรือคนรู้จักก็เชิญเลือกซื้อภาพสวยๆกันได้ ส่วนผมเตรียมมาจากบ้านแล้ว ถ่ายเองพิมพ์เอง ไม่ต้องมาเสียเงินแพงๆซื้อที่นี่


ร้านอีกร้านหนึ่งระหว่างทางคือ Pooh Bungalows และ Lotus Dive เสียดายอีกเช่นกันที่ไม่ได้แวะทานอย่างที่เคยตั้งใจไว้ครั้งก่อนๆ มาคนเดียวนี่ทำอะไรก็ไม่สะดวกเลย


กว่าจะออกมาที่หาดพระอาทิตย์ขึ้นเล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน เพราะหลงทาง มา 3 ครั้งก็หลงมันทั้ง 3 ครั้ง ใจไม่ดีเลย... แต่สุดท้ายก็กลับมาทางขึ้นเม้าเท่นรีสอร์ทจนได้ วันนี้นอนหลับฝันดีเพื่อพรุ่งนี้ตื่นเช้ามารอเรือเพื่อเดินทางกลับกทม.ต่อไป


ตื่นเช้ามาในวันสุดท้ายของทริปนี้ 
ก่อนหน้านี้ สอบถามทางอาดังซีเรื่องเที่ยงเรือกลับเข้าฝั่ง ทั้ง 2 ที่ คือทั้งบนฝั่งและออฟฟิศที่เกาะหลีเป๊ะก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าออกสิบโมงเช้า แต่พอสั่งอาหารเช้ามาทาน ยังทานได้ไม่ทันไร เด็กเสร็จก็เข้ามาบอกว่าเรือของผมนั้นจะออกเก้าโมงเช้า อ้าว....เฮ้ย.....ไหงเป็นงั้นหล่ะ ผมรีบโทรหาอาดังซีที่ฝั่งและสอบถามเวลา ทางนั้นก็ไม่รู้ว่ากี่โมงจริงๆ ผมเลยรีบทานและเช็คบิล สุดท้ายต้องอาศัยเรือจากทัวร์ที่จะเดินทางกลับฝั่งเช่นกันขึ้นเพื่อไปยังเรือเฟอรี่ แต่พอไปถึง สุดท้ายเรือก็รอคนจนออกจริงๆก็สิบโมงห้านาที น่าเจ็บใจมาก โดนใครก็ไม่รู้หลอก


ผมรีบลงเรือหางของทัวร์เขา ซึ่งตอนนั้น 9:10 น. เอง ไปถึงเรือเฟอรี่จริงก็โดนหลอกให้รีบขึ้นเรือจนได้ อันนี้ต้องร้องเรียน


เรือแล่นมาเรื่อยๆ อาจจะขรุขระเล็กน้อยช่วงแรกที่เรือโคลงไปมาเพราะไม่ balance เลยต้องหยุดและช่วยกันบอกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซึ่งก็ไม่เชื่อกันเท่าไหร่หรอก
ตอนแรกยังคิดกันว่าเรือคงไม่จอดที่เกาะไข่แน่นอนเลย แต่สุกท้ายได้จอดเพราะวันนี้มีทัวร์กลับนั่นเอง แต่น่าเสียดายเขาให้เฉพาะลูกทัวร์ลงไปถ่ายรูปเท่านั้น ผมเลยทำเพียงแค่นำเลบส์เทเลมาถ่ายเก็บภาพจากบนเรือแทน ได้แค่นี้ก็โอเคแล้ว


ในที่สุดเรือก็มาถึงปากบาราประมาณบ่ายโมงนิดๆ ซึ่งก็ทำเวลาได้ดีพอควร คนมาเที่ยงนี้เยอะไม่ใช่น้อย ผมเลยรีบเดินไปหารถตู้เพื่อกลับหาดใหญ่ ปรากฏว่าได้รถตู้ของอาดังซีที่ราคา 150 บาท/คน หารถตู้สายปกติไม่ได้จริงๆ เลยเอาตามนั้น ต่อจากนั้นก็รีบนำโปสการ์ดที่เขียนไว้ไปประทับตราอุทยานแห่งชาติตะรุเตาที่ที่ทำการ ได้เจอคุณทวีศักดิ์อีกแล้ว เลยฝากไว้และเขาจะส่งให้ด้วย ต้องขอขอบคุณในน้ำใจมากๆครับ
ในรถตู้ทั้งคันมีผมเป็นคนไทยคนเดียวเอง นักท่องเที่ยวไทยหายไปไหนหมดนะ ไปๆมาๆ รถเลี้ยวไปส่งที่สนามบินหาดใหญ่ก่อน ผมเลยลงที่สนามบินแทนที่จะเป็นตัวเมืองหาดใหญ่ แต่ถ้าซื้อตั๋วลงสนามบินต้องเจอชาร์จ 300 บาท ผมยังไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมถึงแพงกว่าลงตัวเมืองหาดใหญ่ถึง 2 เท่า ! เฮ้อ....ทำธุรกิจกันอย่างนี้
พอเข้าสนามบินหาดใหญ่ ก็เช่นเคย หากาแฟสดกับบลูเบอรี่ชีสเค้กทาน อร่อยเหมือนเดิม ผมมาที่สนามบินนี้ก็จะมาทานร้านนี้และเมนูแบบนี้ตลอดเลย แล้วที่ขาดไม่ได้คือ Report online ไปพลางๆด้วย ก่อนจะถึงเวลาเครื่องออก


บนเครื่องผมนั่งอ่านหนังสือที่นำไปด้วยตลอดเวลา เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน ได้ข้อคิดและอะไรหลายๆอย่างดีทีเดียว พอดีผมเชื่อเรื่องแบบนี้อยู่แล้วเลยเข้าใจได้ไม่ยาก 
เกือบๆทุ่มครึ่งเครื่องบินแอร์เอเชียก็พาเรามายังสนามบินสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย เป็นอันว่าจบทริปทะเลอันดามัน อาดัง-ราวี-หลีเป๊ะ ช่วงเปิดฤดูกาลอย่างเหงาๆไปแล้ว คงเหลือความทรงจำเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ 
ขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่ติดตามนะครับ ทริปนี้หลายกระทู้หน่อย ตามจนเหนื่อยเลย ขอให้เพื่อนๆนักเดินทางมีความสุขกับทุกย่างก้าวที่เดินทางนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)

Original Published on www.pantip.com at [ 16 ธ.ค. 50 22:51:43 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2007/12/E6136862/E6136862.html


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น