วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

หนาวนี้ ไปด้วยกัน ที่สิมิลัน วันฟ้าใส ตอน 1 เหินฟ้าสู่ภูเก็ต


สามอาทิตย์ก่อน ผมได้มีโอกาสขับรถเล่นช่วงเย็นๆของวันเสาร์ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี เลยหาเรื่องไปทานกาแฟสดที่สุวรรณภูมิก็แล้วกัน เพราะระยะทางจากบ้านผมไปสุวรรณภูมิอยู่กันไม่ไกลมากนัก สิบกว่ากิโลเมตรก็ถึงแล้ว
บวกกับการอยากลองเดินดูบริเวณอาคารผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออกเล่น ซึ่งก็น่าที่จะไม่มีคนพลุกพล่านมากแล้ว พอเข้าไปทำให้ผมตะลึงกับความอลังการกับสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลกที่นี่อย่างขนลุกทีเดียว ทั้งๆที่ผมเคยขับรถผ่านอาคารผู้โดยสารขาออกมาก็แล้ว แต่ก็ยังอดทึ่งไม่ได้ เสียดายที่วันนั้นผมไม่ได้นำกล้องมาด้วย ไม่งั้นคงไม่พลาดช็อตเด็ดๆตามมุมมองของผมเองแล้ว 
หลังจากใช้เวลาไปกับสุวรรณภูมิเกือบสองชั่วโมง ในใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่าทำอย่างไรดีถึงจะได้ลองใช้สนามบินใหม่แห่งนี้ได้ สิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจอันดับแรกคือ การจองตั๋วราคาถูกจากสายการบินที่มีสโลแกนว่า "ใครๆก็บินได้"  หรือ "Everyone can fly" นั่นเอง
ผมเข้าเน็ต เลือกเส้นทางอยู่นานพอควร บทสรุปเป็นที่ภาคใต้ นั่นคือภูเก็ต ไข่มุกแห่งอันดามัน ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คงมาพักผ่อนแถวชายทะเลแถบในทอนหรือในยางก็พอ แต่พอเห็นกระทู้กะรนบังกะโลก็เลยเปลี่ยนใจจะมาพักที่นี่ แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนใจมาที่เกาะพีพีอีก เพราะไม่ได้ไปนานมากแล้ว 
บทสรุปสุดท้าย ผมเปลี่ยนใจอีกครั้งเป็นสิมิลันดีกว่า เพราะยังไม่เคยไป อีกทั้งช่วงนี้เกาะก็เริ่มเปิดแล้ว คนคงมีไม่มาก คงเหมาะสำหรับการมาเยือนแบบเร่งรีบของเรา 3 วัน 2 คืน แต่จะค้างที่เกาะเพียง 1 คืนเท่านั้น การเดินทางล่องใต้เยือนอันดามันครั้งนี้จึงเริ่มต้นขึ้น


วันนี้ฉุกละหุกน่าดู ผมลาหยุดครึ่งวันบ่ายไว้ เพราะจองเที่ยวบินไว้ช่วงบ่ายของวันคือเวลาเครื่องออกประมาณ 15:55 น. แต่ยังไม่ถึง 11 โมงเช้า ผมก็ได้รับ SMS มาแจ้งว่าเครื่องดีเลย์ไปประมาณ 1 ชม.ซึ่งผมถือว่าปกติธรรมดา อาจดีด้วยซ้ำเพราะผมต้องเสียเวลากับงานที่ต้องเคลียร์จนถึงเที่ยงครึ่งที่สระบุรี

ก่อนไปสนามบิน ผมแวะซื้อถุงกันน้ำใส่กล้องตามที่ใครๆได้ทดลองใช้มาบ้างแล้วที่ซีคอนสแควร์ ถ่านอัลคาไลน์อีก 3 ชุดทั้งใส่กล้องและ GPS เสร็จแล้วจึงกลับไปบ้านเพื่อนำสัมภาระแล้วมุ่งไปสุวรรณภูมิอีกที

รีบออกจากบ้านแบบกลัวว่าจะตกเครื่อง แต่ที่ไหนได้ ขับรถมาไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว สงสัยในใจยังจำกับความรู้สึกว่าเป็นดอนเมืองที่อยู่ไกลแบบไม่คลาย  มาก่อนเวลาเลยอดไม่ได้ที่จะจอดรถถ่ายรูปภายนอกอาคารผู้โดยสารแบบคนอื่นๆเขา


ผมเอารถส่วนตัวมาจอด เพื่อที่ตอนกลับจะได้ไม่ต้องแย่งหาแท็กซี่ วันนี้ที่อาคารจอดรถทั้ง 2 และ 3 มีรถจอดอยู่เต็ม ผมเลยขับลงมาเพื่อมาจอดที่ลานจอดรถชั้นล่าง ที่นี่ว่างอยู่มากทีเดียว หาที่จอดเสร็จก็เดินไปเช็คอินด้วยกัน
เรามาถึงเคาน์เตอร์เช็คอินประมาณ 4 โมงครึ่ง ไฟล์ที่เราจะไปดีเลย์เลื่อนไปอีกเป็น 17:40 น.


เพื่อเป็นการฆ่าเวลา จึงเดินหามุมถ่ายรูปไปเรื่อยๆ


ฝั่งขาออกระหว่างประเทศก็จะมีสวนหย่อมให้นักเดินทางชมวิวระหว่างรอเครื่องไปพลางๆ



เริ่มเปิดแสงสีฟ้าแล้วนะ


ด้านล่างคนเดินไปมา บ้างก็ยืนดูเที่ยวบินของญาติที่ตัวเองมารับ


ออกมาข้างนอกบ้างดีกว่า มุมแบบนี้นึกถึง อินชอน หรือไม่ก็ KLIA จัง


เครื่องใกล้จะออกแล้ว เข้ามาข้างในดีกว่า


เดี๋ยวนี้ที่ไหนๆ การตกแต่งภายในก็เป็นปูนขัดมันกันหมดแล้ว ไม่ค่อยมีใครทาสีกันอีกแล้ว ไอ้เรามันก็ตามไม่ทันซะจริงๆ ทั้งที่ทำงานโรงปูนแท้ๆ


เกต A1C มันเป็นเช่นนี้นั่นเอง


เจ้าหน้าที่เรียกแล้ว นั่งรถบัสเพื่อไปขึ้นเครื่อง ณ หลุมจอดที่จอดอยู่ข้างนอก ตอนนี้ฝนที่ตกลงมาซาลงไปมากคงเหลือแต่หยดน้ำเล็กๆน้อยๆที่เกาะตามกระจกรถ


ห่างหายไปนานกับโลว์คอสต์เจ้าเก่า ไทยแอร์เอเชีย มาวันนี้ได้บินอีกครั้งแล้ว


ตอนแรกผมกะจะเช่ารถมอเตอร์ไซด์ตามที่เคยสอบถามไป แต่ด้วยเวลาที่มาถึงสนามบินภูเก็ตทุ่มครึ่งแล้ว การเช่าขี่ไปทับละมุจึงยกเลิกโดยปริยาย แต่ก็มีโชคที่แฟนผมนั้นมีคนรู้จักที่นี้มาช่วยรับไปส่งที่ที่พักศูนย์อนุรักษ์อุทยานใต้ทะเลจุฬาภรณ์ ใกล้ๆกับท่าเรือทับละมุ ตามคำแนะนำของป้านิดครับ


เข้าไปแล้วติดต่อกับทหารที่ประจำอยู่เคานเตอร์ อาคาร 1 แจ้งชื่อผู้มาพักและชำระเงินตามอัตรา ซึ่งราคาเพียง 500 บาท แต่ห้องที่ได้นั้นดีมากๆ สะอาดสุดๆ กว้างขวาง มีตู้เย็น แอร์ น้ำอุ่น ทีวี(Cable) ใครที่จะมาขึ้นเรือไปสิมิลันผมขอแนะนำอีกแรงว่าดีมากๆครับ ความปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วงเพราะอยู่ในเขตทหารเรือ ทหารที่นี่น่ารักมากครับ ผมมาอีกก็คงจะมาพักที่นี่


เก็บเสื้อผ้าเสร็จก็คงต้องออกมาหาอะไรทานแล้วหล่ะ ผมไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวันเลย ยกเว้นแต่กาแฟสดที่บริษัทเท่านั้น
พี่ทหารแนะนำมาทานที่สโมสรทหารเรือพังงา Navy Club เชิญแวะเข้ามาทานเลยครับผ้ม


ณ ที่แห่งนี้ริมทะเลอันดามัน คงมีแต่เพียงเราสองคน มองออกไปด้านขวาก็เป็นเรือรบของทหารเรือซึ่งคงกำลังซ้อมอยู่พอดี เพราะเราได้ยินเสียงแตรดังมาแต่ไกลเป็นจังหวะ ทำให้นึกถึงหนังไทยสักเรื่องในอดีตที่เกี่ยวกับทหารเรือ


เนื่องจากตั้งแต่เช้ายังไม่มีอาหารใดตกถึงท้องผม เมนูไหนที่ทางร้านแนะนำจึงถูกสั่งออกมาเต็มโต๊ะ ทั้งที่มากันเพียงสองคน เริ่มจากผัดหน่อไม้ กับของทานเล่นอย่างหอยจ๊อปูกับเปาะเป๊ยะทอด


อาหารที่ทางร้าน recommend อย่างปลาเก๋าสามรสกับยำไข่แมงดาพร้อมกะดองมัน ขอบอกว่าสุดยอดมากๆ ใครมาต้องลองให้ได้
ทานแบบอดมื้อกินมื้อมาหลายทริปแล้ว มื้อนี้ขอทานแบบอวดร่ำอวดรวยกับเขามั่ง


มื้อนี้ช่างสวีทจริงๆ ขนาดข้าวสวยที่มาเสริฟยังทำเป็นรูปหัวใจเลย


เรามาดูแมงดาทะเลชัดๆว่าใหญ่ขนาดไหน เห็นแล้วน่ากลัวเหมือนกัน แต่ก็ทานไข่มันไปแล้ว อิอิ
แล้วรอชมทะเลใสๆในวันรุ่งขึ้นที่สิมิลันนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาติดตามชมครับ _/\_

Original Published on www.pantip.com at [ 27 พ.ย. 49 22:34:38 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น