ผมออกจากสระบุรีตอนเกือบบ่ายสองโมง ทำให้มาถึงเขตจังหวัดเพชรบูรณ์เกือบหกโมงเย็นแล้ว
6 โมง 17 นาที ผมก็ขับมาถึงเขตอ.วิเชียรบุรี ซึ่งหลายๆคนก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าที่นี่ดังในเรื่องไก่ย่าง มาทุกครั้งต้องลงแวะซื้ออยู่ทุกครั้งไป ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็กลับมาซื้อร้านเดิมที่ปีที่แล้วเคยมาซื้อตอนมาเที่ยวเขาค้อ-ล่องแก่งน้ำเข็ก-ภูหินร่องกล้า ที่นี่ขายตัวละ 100 บาท
หลังจากหลังขดหลังแข็งมาตลอดทั้งวันกับการนั่งขับรถ พอถึงที่พักก็เลยหัวถึงหมอน ตื่นเช้ามาในวันรุ่งขึ้นไม่เช้ามากนักเนื่องจากพิธีการจะเริ่มประมาณ 10 โมง จึงยังพอมีเวลา อาหารเช้ามื้อนี้ฝากท้องไว้กับที่รีสอร์ท เนื่องจากเขาเก็บค่าอาหารเพิ่มจากค่าที่พักคนละ 120 บาท ซึ่งพอรวมค่าที่พักที่ลดราคา 50% แล้วก็ถือว่ายังโอเคอยู่
วิวรีสอร์ทที่ผมไปพัก ซึ่งอยู่อ.ด่านซ้ายแต่ที่ตั้งจวนเจียนจะอยู่ในเขตอ.ภูเรืออยู่แล้ว
เกือบ 10 โมงผมมาถึงบริเวณงาน ค่อนข้างจะมีรถเยอะ แน่หล่ะ ต่างคนต่างพร้อมใจกันมางานผีที่ทะเล้นที่สุดก็ว่าได้
เสร็จจากการดูประเพณีการละเล่นผีตาโขนที่ว่าการอ.ด่านซ้าย กะว่าจะไปไหว้พระธาตุศรีสองรักและเข้าไปชมวัดเนรมิตรวิปัสนา แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเนื่องจากรถเยอะมากก เส้นทางที่จะไปภูเรือรถติดไม่ขยับเลย ผมจึงเปลี่ยนใจขับรถไปทางเส้นที่จะไปอ.นาแห้ว ลองไปดูอุทยานแห่งชาตินาแห้วว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง เพื่อเป็นการฆ่าเวลารถติดที่ด่านซ้ายไปพลางๆ ขับไปจนถึงชายแดนระหว่างไทยกับลาวที่บ้านเหมืองแพร่ อ.นาแห้ว
ส่วนอช.นาแห้วนั้น ขับรถต่อไปอีกประมาณ 30 กม.ได้ มาถึงแล้วก็สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ว่าที่นี่มีอะไรบ้าง เสร็จแล้วจึงตัดสินใจเข้าไปด้านในเพื่อจะดูน้ำตกตากเหือง จุดชมวิวลาว และกลับอีกเส้นทางหนึ่ง
เส้นทางภายในอช.ชันและคดโค้งพอประมาณครับ แต่มีจุดนี้ที่ชันที่สุด แต่ก็เอาตัวรอดมาได้
มาถึงแล้วครับ น้ำตกตาดเหือง น้ำตกมิตรภาพไทย-ลาว ได้ชื่อนี้เนื่องจากมีเขตติดต่อระหว่างไทยกับลาวนั่นเอง
ชมวิวที่น้ำตกสักพัก ก็ขับต่อมาที่จุดชมวิวลาวครับ
ศาลาไว้สำหรับพักผ่อนเมื่อมาถึง ช่วงที่ไปมีฝนตกพรำๆ บรรยากาศจึงเป็นอย่างที่เห็น
เดินเข้าไปตรงจุดชมวิว ที่นี่จะมีแผนที่และตำแหน่งของยอดภูเขาต่างๆที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนี้ ซึ่งที่จุดนี้ก็ยังสามารถมองเห็นภูสอยดาวที่อยู่สูงสุดทางด้านขวามือด้วย
สักพัก จึงได้เวลากลับมาที่อ.ด่านซ้ายอีกครั้ง คราวนี้รถไม่ติดแล้ว สามารถเที่ยวชมพระธาตุได้ ผมจึงเริ่มที่พระธาตุศรีสองรัก ที่นี่ห้ามสวมใส่เครื่องแต่งกายที่มีสีแดงเพราะองค์พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อสัจจะและไมตรี สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของเลือดและความรุนแรง
องค์พระธาตุศรีสองรัก
==========
ประวัติความเป็นมาอย่างคร่าวๆ
พระเจดีย์องค์นี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอุเทสิกเจดีย์ (ซึ่งหมายถึงเจดีย์ที่สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศให้พระศาสนา โดยไม่กำหนดว่าต้องเก็บรักษาสิ่งใด) สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา พ.ศ.2103 เพื่อเป็นสักขีพยานในการทำสัญญาพระราชไมตรีระหว่างสมเด็จพระมหาจักรดิแห่งอาณาจักรอยุธยา และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช มหาราชองค์หนึ่งแห่งอาณาจักรล้านช้าง ด้วยในระยะนั้นกรุงศรีอยุธยาอยู่ในภาวะไม่สู้ปลอดภัย ทัพพม่ายกมารุกรานบ่อยครั้ง หวังที่จะแผ่ขยายอิทธิพลมายังลุ่มน้ำเจ้าพระยาและน้ำโขง กษัตริย์ทั้งสองอาณาจักรต่างทรงเห็นว่าควรรวมกำลังเพื่อความมั่นคง จึงทรงกระทำสัตยาธิษฐานว่าจะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกัน เหตุที่เลือกเนินริมน้ำหมันก็เพราะเป็นจุดสมมติว่าเป็นด่านเขตแดน ซึ่งเป็นรอยต่อของเขตอิทธิพลอาณาจักรทั้งสอง
องค์พระธาตุศรีสองรักอีกมุมหนึ่ง
==========
ประวัติความเป็นมาอย่างคร่าวๆ(ต่อ)
จากประวัติการก่อสร้าง มาถึงรูปแบบศิลปะการก่อสร้างองค์พระธาตุ มีลักษณะศิลปกรรมแบบล้านช้าง พระเจดีย์ก่ออิฐถือปูน สูงประมาณ 30 เมตร ฐานสีเหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง องค์ระฆังทรง "บัวเหลี่ยม" สัณฐานคล้ายคลึงกับพระธาตุพนม พระธาตุหลวง (เวียงจันทร์) พระธาตุศรีโคตรบอง(แขวงคำม่วน) และพระธาตุองค์อื่นๆ แถบลุ่มน้ำโขง ผิดกันที่ทรงชะลูดหรือป้อมกว่า
ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี ชาวด่านซ้ายหรือลูกผึ้งลูกเทียน จะร่วมกันจัดงานสมโภชน์พระธาตุศรีสองรักขึ้น โดยจะนำต้นผึ้ง (ผูกเป็นโครงรูปสามเหลี่ยมพีระมิด ประดับด้วยขี้ผึ้งรูปดอกไม้) เทียนเวียนหัว (เทียนแ่ท่งที่ฟั่นยาวพอคาดได้รอบศรีษะ) และเทียนเซ่นคนเซ่นสัตว์ (เทียนแท่งเล็กๆ จำนวนเท่ากับสมาชิกในครอบครัวและสัตว์ใหญ่ในบ้าน) มาถวายองค์พระธาตุ ถือเป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี
ประตูทางเข้าไปยังพระธาตุ
ต่อจากนั้นจะเป็นที่อื่นไปไม่ได้นอกจากวัดป่าเนรมิตรวิปัสนา ซึ่งทำด้วยศิลาแลงทั้งหมด (เสียดายไม่น่ามีเสาและสายไฟฟ้ามาบดบังทัศนียภาพอันสวยงานของทางเข้าวัด)
โบสถ์และวิหารก่อสร้างขึ้นจากศิลาแลงทั้งหลัง มีความสวยงามมากครับ ภายในโบสถ์มีหุ่นขี้ผึ้งของพระอาจารย์มหาพันธ์ และภายในโบสถ์มีการตกแต่งได้อย่างวิจิตรงดงามมาก ด้วยมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท
ภายในวัดจัดแต่งสวนด้วยบอนไซสวยงามมากๆ
ภายในมณฑปมีจิตรกรรมบนฝาผนังและด้านบนสวยงามมาก
มณฑป
ในโบสถ์มีพระประธานองค์จำลองจากพระพุทธชินราชประดิษฐานอยู่เด่นเป็นสง่า
ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังวิจิตรพิศดารเกินคำบรรยายจริงๆครับ
วันสุดท้ายของทริปนี้คือวันอาทิตย์ที่ 10 ก.ค. 48 ผมเลือกเส้นทางผ่านภูเรือแล้วไปออกทางกิ่งอ.หนองหิน ที่ภูเรือนี้ สามารถแวะซื้อของฝากซึ่งก็จะเป็นน้ำเต้าหลากหลายขนาดวางขายอยู่ริมถนน
แวะสถานที่ที่ทัวร์ส่วนใหญ่เขาแวะมาทานอาหารเย็นที่นี่กัน ใช่แล้วครับ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำหมานตอนบนซึ่งจะมีบริการล่องแพเพื่อไปทานอาหารกลางน้ำได้ครับ
สถานที่สุดท้ายของทริปนี้คือสวนหินผางามหรือคุณหมิงเมืองไทยที่กิ่งอ.หนองหิน มาถึงประมาณบ่ายโมงได้ แวะที่จุดชมวิวเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถและทานกาแฟสดก่อน
ลองเอสเปรสโซ่เย็นก่อนมั๊ยครับ ?
มาถึงแล้วครับสวนหินผางามหรือคุณหมิงเมืองไทย
อีกมุมหนึ่ง
ที่นี่จะเดินเข้าไปชมภายในได้เขาบังคับให้ต้องใช้ไกด์นะครับ สอบถามราคาถ้าไม่เกิน 10 คนก็ 100 บาท
...
ใกล้ๆกันจะมีน้ำตกเล็กๆให้ไปเที่ยวชมกันได้
===========
ขอขอบคุณทุกท่านที่คลิกเข้ามาชมครับ อาจจะโหลดช้าไปนิดหนึ่งเนื่องจากมีหลายรูป แล้วไว้เจอกันใหม่ทริปต่อไป นอกเมือง...เมืองนอก บาหลี
Original Publish on www.pantip.com at [ 12 ก.ค. 48 23:34:05 ]
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น