เสาร์-อาทิตย์นี้ การจะกลับบ้านที่กรุงเทพก็ดูจะไม่ค่อยจะมีอะไรเท่าใดนัก คงกลับไปก็ได้แต่นั่งๆดูทีวี เล่นเน็ต หากาแฟสดทานตามห้างใกล้ๆบ้าน และวันรุ่งขึ้นก็คงตื่นสายอีกตามเคย เลยตัดสินใจหาเมืองเงียบสงบๆอีกเมืองหนึ่งทางภาคเหนือฝั่งที่ติดชายแดนลาว เชียงของนั่นไง เรียกได้ว่าเป็นประตูผ่านไปสู่ดินแดนมรดกโลก ประเทศลาวนั่นเอง
ก่อนไปก็ตามเคย หาข้อมูลเรื่องที่พักกับสถานที่ท่องเที่ยวในเว็บท่องเที่ยวและ google เรื่องที่พักคงไม่ยากมากนัก เพราะเคยไปพักมาแล้วครั้งหนึ่งที่ตำมิละ ครั้งนี้ก็ว่าจะไปพักอีกถ้ายังไม่มีที่ใหม่ที่น่าสนใจเท่า
การเดินทางคงเลือกเดินทางแบบง่ายๆและสะดวกที่สุดซึ่งก็คงไม่พ้นทางรถทัวร์ ตอนแรกตั้งใจจะลองสยามเฟิร์สทัวร์ตามที่ใครๆหลายคนได้เคยแนะนำไว้เมื่อไปเชียงราย แต่เสียดายที่รถออกจากหมอชิตเร็วเกินไปคือ ออกเดินทางเวลา 19.00 น. ขนาดผมออกจากบริษัท 17.00 น.ก็ยังไม่ทันอยู่ดี แต่ไม่เป็นไร ยังมีรถทัวร์เจ้าอื่นๆออกเวลาถัดๆไป หลังจากจอดรถก็รีบหอบหิ้วอุปกรณ์ทั้งเป้สัมภาระและกระเป้ากล้องเดินไปหาตั๋วรถ ครั้งนี้นำโน้ตบุคไปด้วยเพื่อจะทำงานบางอย่างที่ไม่เคยมาก่อนในชีวิต สุดท้ายก็มาลงเอยที่เจ้าเดิมคือสมบัติทัวร์ ราคาตั๋วป.1 660 บาท รถออกชานชาลา 93 เวลา 20:15 น.
ขึ้นรถได้ก็นำอะตอมเสียบหูฟังเพลง โฮสเตสแจกขนมและน้ำจนมือไม่ว่าง ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่ทราบ รู้สึกตัวมาอีกทีรอบๆข้างมืดไปหมดแล้ว มีเพียงแต่เสียงเพียงที่ดังอยู่จากหูหังที่เล่นไปเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังไม่ปิดมัน ฟังไปและหลับไปจนหมดแบตฯไปเองถึงจะหลับแบบเงียบๆได้ รถปลุกผู้โดยสารอีกทีตอนตีหนึ่งเพื่อแวะทานอาหารที่พิษณุโลก ยังคิดอยู่ในใจ น่าจะขับต่อไป หลายคนคงไม่อยากตื่นเวลานี้ แต่ก็ต้องจำใจตื่น จนเสร็จอาหารมื้อดึกและทะยอยกันขึ้นรถเดินทางต่อไป
หกโมงเช้าพร้อมๆกับอากาศหนาวเย็นของแอร์ที่พ่นมาจากด้านบน ผมตื่นขึ้นมาเนื่องจากรู้สกหนาวมาก เหลือบมองดูรอบข้างฟ้าเริ่มสางมาแล้ว ช่วงนี้จะจะถึงแถบๆพะเยาเข้าอ.เทิง หลายๆคนทะยอยลงจากรถไปตามจุดหมายปลายทางของแต่ละคน แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงนั่งอยู่เพื่อปลายทางต่อไปข้างหน้าคือเชียงของเช่นเดียวกับผม และแล้วแปดโมงกว่าๆ รถทัวร์ก็พาเราในที่นี่คือผู้โดยสารที่เหลือทั้ง 4 คนมาถึงเชียงของจนได้ รถจอดใกล้ร้านเซเว่นอีเลเว่น ร้านที่เมื่อปีที่แล้วผมยังมาซื้อยาให้คนข้างๆอยู่เลย ลงจากรถรีบยกกล้องมาเก็บภาพ พอถ่ายเสร็จมาดูถึงกับตกใจ ทำไมมันเหมือนกับภาพในฝันจัง ที่ไหนได้ไอน้ำเกาะที่เลนส์เมื่อโดนอากาศหนาวนั่นเอง
หลายที่ในภาคเหนือหรืออีสานก็คงต้องเจอกับรถบริการแบบสามล้อที่เรียกกันว่ารถสกายแล็บ ราคาไม่แพงและยังคงเป็นพาหนะที่เข้าถึงได้ทุกที่
ผมเริ่มหาอะไรรองท้องไปก่อน ร้านเซเว่นฯ ดูจะเป็นร้านสะดวกซื้อที่หาได้ไม่ยากเย็นนัก เพราะมีอยู่ร้านเดียวในละแวกนี้ ซาลาเปากับน้ำส้มสไปซ์ดูจะเข้ากันดีในเช้าวันใหม่ เสียดายที่ผมตั้งใจไว้คือกาแฟร้อนๆกับปาท่องโก๋ดันไม่มีร้านไหนเปิด หรือว่าผมหาไม่เจอเอง !?
เวลานี้การไปเยือนหลวงพระบางคงไม่ยากสำหรับคนไทยเราแล้ว หลายๆคนลงรถที่นี่ก็ขึ้นรถสกายแล็บต่อไปท่าเรือบั๊กเลย แต่สำหรับผมยังไม่ถึงเวลานั้น มาวันนี้แค่สำรวจเมืองริมโขงอีกเมืองหนึ่งที่ผมติดใจเมื่อครั้งที่มาเยือนปีที่แล้วนั่นเอง ผมเดินไปเรื่อยๆ เพื่อมองหาที่พัก วิวสายหมอกลอยเอื่อยๆเหนือลำน้ำโขงช่างดูแล้วสงบเยือกเย็นจริงๆ ขอบคุณสำหรับสามหมอกที่ยังไม่ทอดทิ้งกัน
ผมเดินไปเรื่อยๆ ผ่านตำมิละที่คิดว่าเป็นของตายสำหรับครั้งนี้ เลยเดินผ่านไปก่อน เดินไปจนถึงซอย 1 แวะสอบถามบ้านพักใหม่ที่ชื่อว่าบูมเฮ้าส์ ปรากฏว่าเต็มครับ
วิวติดริมน้ำโขงโดยมีทางเดินมาคั่นนิดเดียว
หลังจากที่ผิดหวังกับที่พักต่างๆไม่ว่าจะเป็นแบมบูริเวอร์ไซด์เกสเฮ้าส์ และอื่นๆที่อยู่รอบข้าง ผมเลยกลับมาหาอะไรทานอีกครั้ง เห็นร้านโจ๊กอยู่ไวๆ แวะเข้าไปเลย ใส่ทุกอย่างและใส่ไข่ด้วย
กลับไปแวะตำมิละเกสเฮ้าส์ที่สุดท้าย ที่ที่คิดว่ายังพอจะมีที่ว่างสำหรับผมในคืนนี้ ยังไม่ทันได้เข้าไปก็เห็นรถทะเบียนเชียงใหม่จอดอยู่หลายคัน บนรถมีจักรยานที่ติดมาด้วย นั่นไง ใจคอไม่ดีแล้ว สุดท้ายเข้าไปถามก็พบกับความผิดหวังอีกครั้ง เต็มครับ ! เสียงตอบมาจากพนักงานเสริฟอาหารที่ตำมิละ จากของตายเลยจะทำให้ผมตายซะแล้ว ผมครุ่นคิด ทำไมมันเป็นอย่างนี้เนี่ย อ้อ....อาทิตย์นี้มันมีงานแข่งขันจักรยานชิงแช้มประเทศไทยครั้งแรกของปีนั่นเอง คนเลยเยอะ ที่พักเต็มไปหมด
สุดท้ายเดินแบบคอตกไปๆมาๆ ผ่านบ้านพักนี้หน้าซอยตำมิละ มีหญิงสอบถามเป็นภาษาอังกฤษมาว่า กำลังมองหาที่พักอยู่ใช่มั้ย ที่นี่มีที่พักราคาถูก(ผมแปลมาอีกที) แต่พอผมตอบกลับเป็นภาษาไทยได้แกก็ยิ้มและบอกกลับมาว่าคิดว่าชาวต่างชาติ แกเชิญชวนเข้ามาดูภายในบ้านพัก เป็นแบบห้องน้ำรวม ราคา 150 บาท แกชื่อโสภาพรรณ มีเกสเฮ้าส์แถบนี้ 3 แห่ง และที่ดินอื่นๆด้วย บ้านเป็นไม้ทั้งหลังเช่นกัน สอบถามได้ความว่ามีอายุเกือบร้อยปี แกซื้อต่อมาอีกที
ได้ห้องพักหมายเลข 9 กว้างดีแฮะ แถมยังมี 2 เตียงด้วย ห้องน้ำก็อยู่เยื้องๆกันไม่ไกล มีห้องน้ำรวมแบบนี้ก็เหมือนห้องน้ำส่วนตัวเหมือนกัน ผมชักชอบที่นี่ขึ้นมาแล้วหล่ะ ยังคิดว่าคล้ายๆกับที่พักที่น่านที่มีชื่อว่าน่านฟ้าเลย
ด้วยความที่เพลียจากการเดินทางมาหรืออย่างไรไม่ทราบ พอล้มตัวลงนอนที่เตียงก็ไม่อยากลุกขึ้นมาอีกเลย อากาศเย็นสบายมากๆ นอนตอนสิบโมงกว่าๆจนตื่นเอาเกือบบ่ายสองโมง คิดว่าจะไม่ไปไหนแล้วเนี่ย
ผมตื่นมางัวเงียก่อนจะออกไปอาบน้ำเพื่อจะออกไปเช่ารถมอเตอรไซด์ที่วางแพลนไว้คร่าวๆ ทางเดินมีชาวบ้านเริ่มนำของออกมาขายกันแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นพืชผักผลไม้ ผมเลือกหาร้านที่ให้เช่ามอเตอร์ไซด์ ไปได้อยู่ร้านหนึ่งซึ่งพี่โสภาพรรณแนะนำมา ราคา 200 บาท ผมมองว่าแพงเล็กน้อย ต่อก็ไม่ให้ แถมพูดจาไม่ค่อยจะเอาลูกค้าเท่าไหร่ เลยไม่อยากแนะนำร้านนี้
ได้รถเสร็จก็บึ่งไปวัดที่แรกเลยคือวัดหาดไคร้ อยู่บ้านหาดไคร้ซึ่งเป็นชุมชนที่จับปลาบึกกัน แต่ ณ ช่วงเวลานี้ยังไม่มี ต้องรอให้ถึงเดือนเมษายนก่อน ที่นี่จะมีประเพณีที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว
ชอบเชือกสีขาวที่ขึงไปมาเหนือศรีษะในอุโบสถ ใครทราบว่าคืออะไรช่วยบอกทีครับ เคยเห็นมาก่อนตอนไปวัดมิ่งเมืองที่น่านครับ
มาที่บ้านไคร้ก็ต้องมาเจอสัญลักษณ์ปลาบึกที่นี่ เป็นแหล่งแพร่พันธุ์แห่งแรกในโลกเชียวนะเนี่ย ข้างๆก็จะมีพิพิธภัณฑ์ปลาบึกให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาแต่ดูโทรมมากๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้
ต่อจากนั้นผมมุ่งหน้าไปบ้านหาดบ้ายตามเส้นที่ไปเชียงแสน แต่หาดบ้ายจะอยู่กลางทางระหว่างเชียงแสนและเชียงของ ระหว่างทางก็จะเจอกับนักปั่นน่องเหล็กสปีดแข่งกัน
ดอกไม้ริมทางก็สวยไปอีกแบบ ใครว่าไม่ดีก็ช่างแต่เรารู้สึกดีซะอย่าง
แวะพักเหนื่อยที่จุดชมวิวห้วยทรายมาน มองน้ำโขงแล้วเหงาๆจัง
พอขี่มาถึงสามแยกทีมีแยกไปทางขวา ให้เลี้ยวขวาเพื่อไปบ้านหาดบ้าย เพราะถ้าตรงไปจะเป็นเส้นบายพาสไปเชียงแสนไม่ผ่านบ้านเมืองกาญจน์ พบเห็นหลายๆบ้านมีตุงห้อยกันทุกๆบ้าน
ขี่แมงกะไซด์แล้วเห็นวิวน้ำโขงแบบนี้ถึงกับต้องจอดถ่ายรูปอีกครั้ง อากาศก็แสนจะเย็นเหลือเกิน
อ๊ะ....เจอไร่แสงอรุณรีสอร์ทระหว่างทางนี่เอง คิดว่าอยู่ที่ไหนซะอีก มาหลบมุมหลบความวุ่นวายที่เส้นเลียบลำโขงนี้เอง บรรยากาศดีมากๆครับ รับรอง แต่แพงไปมาก
เกือบถึงบ้านหาดบ้ายแล้ว ผมแวะที่วัดแห่งหนึ่ง ต้องขอโทษด้วยจำชื่อวัดไม่ได้ครับ
สี่โมงห้าสิบก็เข้าเขตบ้านหาดบ้ายแล้ว บ้านหาดบ้ายมีอะไร เดี๋ยวมาดูกัน
และก็แวะถ่ายรูปอุโบสถที่วัดในบ้านหาดบ้าย
ที่บ้านหาดบ้ายนี้เป็นหมู่บ้านของชาวไทยลื้อมีขนบธรรมเนียมประเพณีงดงามน่าสนใจตามข้อมูลที่ได้มา ชาวบ้านมีฝีมือในการทอผ้าพื้นเมืองที่มีชื่อเสียง
ด้ายแต่ละเส้นถูกถักทอรวมกันกว่าจะมาเป็นผ้าหนึ่งผืน ไม่ใช่เรื่องงายๆเลยนะครับ ใช้เวลานานร่วมเดือน
ผมอุดหนุนซื้อผ้าพันคอมา 2 ผืนเพื่อนำมาฝากเพื่อนร่วมงานที่บริษัท เงินจะได้กระจายสู่ชุมชนโดยตรงโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
แม่อุ๊ยอีกท่านที่กำลังทอผ้าอย่างขมักเขม้น แม่อุ๊ยคนนี้เล่าให้ผมฟังว่าบรรพบุรุษได้มาจากสิบสองปันนา ประเทศจีน เป็นชนชาติไทยลื้อที่ระหกระเหเร่ร่อนมาตั้งที่พักอาศัยที่เชียงของและจังหวัดใหล้เคียงแถบภาคเหนือนี้ เช่นอ.ปัวที่จ.น่าน เป็นต้น ไทยลื้อชอบทอผ้า และลายที่นิยมมากที่สุดคือลายน้ำไหล
เสร็จแล้วก็กลับทางเส้นเดิม พระอาทิตย์เริ่มคล้อยไปทุกที บรรยากาศสองข้างทางเป็นไร่ข้าวโพดกับแสงแดดยามเย็นช่างสวยงามจริงๆ
ช่วงนี้ของลำน้ำโขงดูจะมีเกาะแก่งที่เยอะที่สุดแล้วมั้ง เห็นเรือช้าที่วิ่งไปหลวงพระบางแล้วก็นับถือคนขับเรือจริงๆ
ก่อนจะลาแสงสุดท้ายของวันนี้ ฝากภาพบ้านเรือนฝั่งลาวที่เป็นเมืองห้วยทราย มีท่าเรือซึ่งสามารถนั่งเรือทั้งเร็วและช้าไปหลวงพระบางได้
วันนี้ก็เหนื่อยพอประมาณ ขอทานผัดไทยกับขนมเล็กๆน้อยๆก่อนที่จะลุกขึ้นสู้วันใหม่ในวันรุ่งขึ้นที่จะผ่านเข้ามา
ปล.อาหารที่นี่ ไม่ว่าจะเยอะหรือมากอย่างไร ถ้าเป็นตามสั่งก็ราคาซาวบาทหรือยี่สิบบาท ถูกดีแท้
เช้าวันใหม่ : วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2551
วันนี้ตื่นสายหน่อยเกือบๆ 9 โมง ตื่นเสร็จทำธุระส่วนตัวแล้วก็มานั่งเขียนโปสการ์ด เนื่องด้วยที่นี่ขายโปสการ์ดราคาแพงคือใบละ 20 บาท ผมเลยซื้อมาเพียง 2 ใบส่งให้ตัวเองกับพี่สาวในบ้าน BP แห่งนี้
ตู้แดงๆ เจอเสมอๆที่มีการเดินทางเกิดขึ้น
ส่งโปสการ์ดเสร็จเหลือบมองไปเห็นเจ้าแมงมุมตัวเขื่อง เลยงัดเลนส์มาถ่ายเจ้าตัวนี้โดยเฉพาะ
สายๆแบบนี้ออกไปเดินหาอะไรทานที่ตลาดสดดีกว่า แล้วค่อยกลับมาพิมพ์งานกับโน้ตบุคที่เอามาด้วย
ระหว่างทางแวะวัดที่สองในเชียงของคือวัดศรีดอนชัย วัดนี้อยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจเลย
ลวดลายแสนที่จะวิจิตรพิศดารจริงๆ เหลืองอร่ามไปหมด
และวัดที่สามที่มาไหว้คือวัดพระแก้ว ดูชื่อวัดแล้วจะหมือนๆกันกับวัดพระแก้วที่ตัวเมืองเชียงรายเลยนิ ที่นี่ดูเหมือนจะยังสร้างไม่เสร็จรอคนใจบุญและศรัทธาช่วยกันมาบริจาค
ที่สุดท้ายในการมาเยือนเชียงของแห่งนี้คือ การไปบ้านทุ่งนาน้อยครับ เป็นหมู่บ้านชาวม้ง ระหว่างทางก็เจอกับทิวเขาสลับไปมา สวยงามเช่นกัน
เห็นหลายคนมาช่วยกันทำไร่ ไม่แน่ใจว่าเป็นไร่ข้าวโพดหรือเปล่า ดูๆแล้วก็อดที่จะนึกถึงสมัยเก่าที่ลงแขกเกี่ยวข้าวกัน มาช่วยๆกัน มาด้วยใจไม่มีสินจ้างใดๆ ภาพนั้นไม่รู้ยังจะมีอยู่หรือเปล่า
สุดท้ายแล้วสำหรับเรื่อยเปื่อยที่เชียงของ ยังเป็นเมืองที่สงบจริงๆ แม้ว่าจะมีความทันสมัยเข้ามาอยู่บ้างก็ตาม สุดท้ายแล้วเมื่อคนเมืองเบื่อยังไงๆก็จะกลับมาซึมซับบรรยากาศเมืองเงียบๆแบบนี้ร่ำไป ไม่ว่าจะเป็นเชียงคาน หรือไม่ก็เชียงของ
ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาชมนะครับ แล้วไว้เจอกันใหม่ในทริปหน้า ฝากบอกลุงเต่า น้าฉลาม ป้าพยูน อาวาฬ น้องปลาทั้งหลาย ฯลฯ น้าอาร์ตจะไปเยี่ยมเยือนในไม่ช้านี้นะครับที่
หมู่เกาะสุรินทร์ สวัสดีครับ
Original Published on www.pantip.com at [ 29 ม.ค. 51 21:36:41 ] as below link
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น