เมื่ออะไรๆก็เปลี่ยนไป นับจากต้นเดือนธันวาที่ผ่านมา ผมเองคงต้องเปลี่ยนใจที่จากเดิมเคยอยู่บ้านในกรุงเทพช่วงเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มาเป็นออกเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อขับรถไปหาอากาศหนาวแถบภาคเหนือ โดยอยากขับไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยในหัวสมองผมก็ยังมีแผนการเดินทางคร่าวๆอยู่
แน่นอนว่าผมตัดจังหวัดที่เป็นที่นิยมในขณะนี้คือเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงรายไปก่อน ทราบดีว่าช่วงที่จะไปจังหวัดดังกล่าวนั้น คงไม่ต่างอะไรกับการเดินซื้อของในห้างดังที่กำลังมีโปรโมชั่นลดราคาสินค้าในใจกลางเมืองกรุงเทพ แล้วที่ไหนที่พอจะไปเที่ยวแบบคนไม่เยอะมากมายนัก ผมคิดอยู่ในใจ จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากเมืองน่าน เมืองที่ยังสงบ น่าอยู่ ผู้คนอัธยาสัยดี แถมยังมีวัฒนธรรมล้านนานตะวันออกมาแต่ครั้งโบราณกาล ไม่ต่างอะไรจากเชียงใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองมาพร้อมๆกัน
เส้นทางที่ผมเลือกเดินทางนั้น เป็นเส้นทางที่พยายามจะเลี่ยงฝูงชนในวันเทศกาลอย่างนี้มากที่สุด เลยออกจากกรุงเทพมาใช้ถนนวงแหวนตะวันออก และต่อด้วยสาย 21 ที่หนีไปสระบุรีต่อด้วยเพชรบูรณ์ก่อนจะวกกลับมาพิษณุโลกอีกครั้งตามถนนหมายเลข 12 เพื่อไปยังอุตรดิตถ์ แพร่และน่านต่อไป
ความที่เคยไปเยือนเมืองน่านมาสองครั้งสองคราแล้วนั้น ความประทับใจยังไม่จางหายมีแต่จะเพิ่มยิ่งๆขึ้นไป บวกกับมีอีกหลายสถานที่ที่ผมยังไม่ได้ไป ครั้งนี้ดูจะโชคดีอีกต่อหนึ่งคือที่น่านเองนั้นก็มีดอกนางพญาเสือโคร่งเหมือนกับที่เชียงใหม่เหมือนกัน แต่ดูๆแล้ว ยังไม่เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยวเท่าใดนัก ผมจึงสบโอกาสได้ไปชมโลกสีชมพูที่คาดหวังไว้ เพราะผู้ที่ไปมาช่วงวันที่ 24 ธันวาคม ได้บอกว่ากำลังบานอยู่พอดี แถมยังคนไม่เยอะด้วย จึงไม่ลังเลที่จะแพลนทริปครั้งนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อตามหา Cherry Blossom บนเส้นทางในจังหวัดน่านนั่นเอง
บันทึกเดินทางน่านครั้งที่ผ่านมา
=============================
น่าน ครั้งแรก
ไหว้พระธาตุประจำปีเกิดที่แพร่และน่าน ตอน 1 ขับรถไปเมืองแพร่ นำทางโดย GPS Garmin iQue 3600
น่าน ครั้งที่ 2
เยือน"นันทบุรีศรีนครน่าน" ตอน 1 เริ่มต้นเส้นทางสู่ดินแดนอารยธรรมล้านนาตะวันออก @แพร่-น่าน
น่าน ครั้งที่ 3 (ตอนนี้)
ตามหาซากุระเมืองไทย(ดอกนางพญาเสือโคร่ง) ที่ น่าน ตอน 1 เมื่อโลกทั้งใบเป็นสีชมพู ณ อช.ขุนสถาน จ.น่าน
น่าน ครั้งที่ 4 (ครั้งล่าสุด)
เที่ยวจังหวัดแพร่, น่าน(ครั้งที่ 4) ตอน น่าน...กลับมาครั้งนี้ไม่มีเหงา
เส้นสีม่วง : การเดินทางในวันที่สองคือวันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2550 จุดหมาย อ.บ่อเกลือ ผ่าน อ.แม่จริม แต่ไปไม่สำเร็จ ต้องกลับไปนอนค้างที่ อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ แทน
=====
กิโลเมตรเริ่มต้น : 275,511
เวลาล้อหมุน : 05:17 น.
ผมเริ่มออกจากบ้านเวลาประมาณตีห้ายี่สิบนาที เป็นอีกครั้งที่ออกเช้ามืดอย่างนี้ ซึ่งก็แปลกใจมากว่าตอนคืนที่ผ่านมานอนไม่หลับ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร จะตื่นเต้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ เลยอยากที่จะออกเดินทางเร็วๆ ไม่อยากรอเวลาแล้ว
จากหน้าจอ iQue 3600 GPS คู่กาย เลือกอุทยานแห่งชาติขุนสถาน จ.น่านเป็นจุดหมายปลายทาง แล้วคลิก Route to เพื่อเริ่มเดินทางได้เลย เวลาคร่าวๆที่บอกกับเราไว้คือ จะไปถึงที่นั่นประมาณ 12:48 น.โดยไม่ได้รวมเวลาที่รถติดและอื่นๆทั้งนั้น แต่ก็พอที่จะประมาณเวลาการขับรถไปได้ไม่มากก็น้อย
พอรถเคลื่อนตัวเข้าถนนพหลโยธิน รถก็เริ่มคล่องตัว สามารถไปได้ ผมแวะเติมน้ำมันเต็มถังที่ปั๊มเชลตรงบางปะอิน จุดที่รถทุกคันเมื่อออกจากวงแหวนตะวันออกต้องผ่าน ขับไปเรื่อยๆ เปิดเพลงเก่าๆที่มีอยู่ในรถฟังไป สักพักประมาณ 10:30 น. ก็มาถึงยังจังหวัดเพชรบูรณ์จังหวัดที่มีเจ้าตัวมะขามเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่
ถนนหมายเลข 21 สายนี้ขับสบาย แถมวิวสองข้างทางก็สวยงามจริงๆ ดีที่เลือกมาเส้นนี้เพราะเรียกได้ว่าทำความเร็วได้ดี ไม่ติดเลย แต่ผมก็ไปเสียเวลาเมื่อเลี้ยวเข้าถนนหมายเลข 12 จากหล่มสักไปพิษณุโลกนั่นเอง เส้นนี้เป็นทางคดโค้งไปตามเขาหลายลูก ทำความเร็วไม่ค่อยจะได้ เลยทำให้เสียเวลาที่สายนี้มาก ระยะทางร่วมร้อยกิโลเมตร เกือบๆบ่ายโมงเลยมาถึงแค่วังอ.ทอง ก่อนถึงพิษณุโลก ได้เวลาเที่ยงแล้วเลยเข้าไปทานอาหารกลางก่อนก่อน แต่บอกก่อนว่า ร้านที่ผมเลือกเข้านั้นถือได้ว่าทำอาหารช้ามากๆ ผมเองก็สั่งอาหารจานเดียวแต่เสียเวลานานต้องเร่งอยู่สองสามครั้ง ร้านที่ว่าคือร้านแสงตะวัน ดูสิ...สั่งอาหารไป ได้กาแฟมาแค่แก้วเดียวกับจานเปล่า 1 ใบ
ขับไปขับมาชักง่วงนอน เฮ้อ...ยังไงก็ต้องฝืนขับไป แต่ก็ไม่ได้ประมาท กว่าจะผ่านอุตรดิตถ์ และจากอุตรดิตถ์ไปเด่นชัยก็เป็นทาง 2 เลนด้วย ระยะทางร่วม 40 กว่ากม.เลยทำให้ช้าไปใหญ่
จากสามแยกเด่นชัยผมเลยยกเลิกที่จะไปวัดพระธาตุสุโทนกับบ้านเพื่อนร่วมงานที่อยู่วังชิ้นแล้ว เพราะเกรงว่าจะไปถึงอุทยานค่ำ ไม่สะดวกต่อการกางเต็นท์ เลยเลี้ยวขวาเข้าแพร่ออกร้องกวาง แต่ระหว่างทางนั้นก็คิดอยู่ในใจว่าต้องมีสะเบียงตอนเย็นมั่ง เห็นหลายเจ้าขายข้าวหลามกันตลอดสองข้างทาง เลยแวะเพื่อซื้อ 4 กระบอกได้แบบไว้สังขยากับถั่วดำแบบธรรมดา น้องผู้หญิงเห็นว่าจะถ่ายรูปเลยเดินออกมาจากผ้าที่บังแดดเพื่อให้ผมเก็บภาพด้วย แทนที่จะเก็บเจ้าน้องผู้ชายคนเดียว :)
มาถึงตลาดร้องกวางแล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับการเตรียมเสบียงเพื่อไว้ทานยามเย็นและตอนเช้าที่อุทยานด้านบน ผมเลือกซื้อหมูกรอบกับข้ามเหนียวในตลาดตามที่มีเพื่อนในบอร์ดน่าน @TKT ได้เคยลงไว้ หมูกรอบถูกหั่นแล้วคลุกด้วยพริกและน้ำปลา กับผักโรยหน้า ห่อด้วยใบตอง อาหารอะไรน่าทานจัง ราคาเพียงแค่ 20 บาท บวกข้าวเหนียวอีก 5 บาท เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปตอนกำลังห่อมา
ออกจากร้องกวางไปผ่านถ้ำผานางคอยตามเส้น 101 สักพักจะเจอกับสามแยกซึ่งต้องสังเกตกันดีๆเพราะเป็นทางโค้งด้วย แต่ด้วย GPS ก็สบายบอกทางตลอด ให้เลี้ยวขวาเข้าเส้น 1216 ไปอีก 24 กม.ก็จะถึงอช.ขุนสถาน
เกือบๆห้าโมงครึ่ง ผมก็มาถึงยังอุทยานแห่งชาติขุนสถานแล้ว เห็นชมพูมาแต่ไกล อดใจไม่ไหวต้องจอดรถเพื่อถ่ายรูป ตรงนี้ยังไม่ถึงที่ทำการดี
มาถึงแสงก็น้อยเต็มทีแล้ว อากาศเย็นอย่างที่ต้องการ ผมลงจากรถเพื่อติดต่อสอบถามจุดการเต็นท์ เจ้าหน้าที่ก็ชี้จุดให้หรือจะขับขึ้นไปกางด้านบนก็ได้ ดีที่ผมไม่รีบมากางตรงที่ทำการนี้ก่อน ไม่งั้นอดได้นอนท่ามกลางต้นสีชมพูสวยๆด้านบน
ปล.ที่นี่ยังไม่เก็บค่าธรรมเนียมใดๆเนื่องจากรอประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติอย่างทางการก่อน
ทางขึ้นไปด้านบนอีกทีหนึ่ง โอบล้อมไปด้วยนางพญาเสือโคร่งสองข้าง พร้อมๆกับจบวันแรกของทริปนี้
โดยรวมด้านบนมีนักท่องเที่ยวกางเต็นท์กับพอประมาณ ไม่ถือว่ามากไปหรือน้อยไป แต่ก็เกินคาดว่าคนจะไม่รู้จักที่นี่ เป็นอีกครั้งที่ต้องได้เจอกับกลุ่มคาราโอเกะยุคสมัยเก่า แต่ดีตรงที่ไม่ดังมากมายนัก หรืออาจเพราะว่าผมกางเต็นท์อยู่ห่างๆก็เป็นได้ เชื่อมั้ยว่ากลุ่มนี้มากไหน เป็นใครที่ไหนไม่ได้นอกซะจากกรุงเทพนั่นเอง รถทะเบียนกรุงเทพร่วม 10 คัน แถมเด็กๆอีกต่างหาก
ส่วนผมนั่งทานอาหารที่ซื้อมาอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่จะเตรียมเข้านอนแต่ระหว่างนั้นก็ยังฟังเพลงเสียบหูฟังอยู่จนค่อยๆผลอยหลับไป ตื่นมาอีกครั้ง โห....ทำไมมันหนาวอย่างงี้นะ เหลือบไปดูนาฬิกาที่มีเทอร์โมมิเตอร์ บอกอุณหภูมิ 10 องศา ! นอนไปขดไป ดันลืมเอาผ้านวมที่เตรียมมาลงจากรถอีก เลยได้แต่นอนหนาวรอเช้าวันใหม่ต่อไป
ณ เช้าวันใหม่ ของวันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2550
ผมตื่นนอนประมาณ 7:20 น.เห็นจะได้ อากาศหนาวมากๆ แต่ก็ดีใจที่ปีนี้ไม่ผิดหวัง ได้มาสัมผัสอากาศหนาวที่เมืองเหนือหลังจากที่ห่างหายไปหลายปี ครั้นจะนอนต่อก็ไม่ได้ เพราะหนาวเข้ากระดูกเหลือเกิน เมื่อคืนดันใส่ขาสั้นนอนซะด้วยสิ
พอตื่นมา รูดซิบประตูเต็นท์ก็เห็นดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูทักทายอยู่ห่างๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆแม้จะเหงาไปบ้างก็ตาม
แสงแดดยังไม่แรงมากนักจึงทำให้เห็นดวงจันทร์ลอยอยู่ปลายยอดดอกซากุระเมืองไทย
ออกจากเต็นท์ก็ได้เวลาเริ่มเดินสำรวจสถานที่และถ่ายรูปแล้ว ที่นี่มีบ้านพักอยู่หลายหลังเหมือนกัน แต่ละหลังก็พักกันได้ 10 คนขึ้นไป มาช่วงคนไม่เยอะก็น่าจะสะดวกดี
นอกจากดอกนางพญาเสือโคร่งแล้วก็ยังมีดอกไม้เมืองเหนืออื่นๆที่ทางเจ้าหน้าที่ได้ปลูกไว้ด้วย
ตอนเช้าๆตื่นมาก็ออกมาสูดอากาศเย็นๆ ณ จุดชมวิวที่นี่ได้
อากาศหนาวเย็น จนพูดควันออกปาก ที่วัดอุณหภูมิของอช.ก็บอกว่า 10 องศาเช่นกัน ที่นี่วิวสวยๆหลายจุดเลย
แสงแดดเริ่มย่างกรายเข้ามาเรื่อยๆ
ที่นี่มีเยอะมากเลย เรียกได้ว่าเป็นดงเช่นเดียวกับที่อื่น
เรียกได้ว่าสีชมพูยังหนาแน่นอยู่
บางต้นก็สูงชะลูด
แหงนมองไปตรงไหนก็เจอแต่สีชมพู สีเสื้อสูทที่พระองค์ท่านทรงสวมใส่ตอนออกจากโรงพยาบาลศิริราช (_/\_)
เฮ้อ...เห็นแล้วมันหวานแหววเอามากๆ ใครใจอ่อนมาไม่ได้เลยนะเนี่ย คงต้องหลงรักที่นี่ก็เป็นได้
ขอใกล้ๆบ้าง
เดินแบกกล้อง, ขาตั้งกล้อง และกระเป๋าใส่แลนส์แบบไม่เบื่อเลย
แหงนมองฟ้าบ้าง แล้วเธอจะเห็นฉันยืนอยู่
ชมพูสีสดตัดกับฟ้าสีเข้มๆ
ช่อนี้ออกโทนชมพูขาว หวานๆ เหมาะกับสุภาพสตรี
แย่งกันชูกลีบดอกและเกสร กลัวหมู่ภมรจะไม่มาตอม
ไหนลองเปลี่ยนเลนส์เป็น 50 f/1.8 บ้างซิ ได้โบเก้สวยๆมาเชียว
ละลายซะขนาดนั้น
โพสต์ไป หิวขนมหวานไป
นางพญาเสือโคร่ง หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus Cerasoides D.don
ตรงจุดอื่นๆก็สวยไม่แพ้กัน
ทางเดินใต้นางพญาฯ ร่มรื่นมากๆ ผู้คนก็ไม่มากจนชนกัน สบายๆ
ดูนาฬิกา สิบโมงเช้าพอดี
ต้นนี้ดูสวยไปอีกแบบ
มาที่ขุนสถานทำให้ลืมความเจ็บปวดไปได้บ้าง
สุดท้ายสำหรับนางพญาเสือโคร่ง ณ ขุนสถาน แห่งนี้ แต่ที่น่านยังมีอีกนะ แล้วค่อยตามๆไปดูกัน
หลังจากที่อิ่มเอมกับการเก็บรูปซากุระเมืองไทยแบบเต็มอิ่ม ผมกลับมายังเต็นท์เพื่อเก็บเต็นท์และข้าวของต่างๆเข้ารถ และเตรียมตัวเดินทางต่อ ก่อนไปก็ขออาบน้ำที่ห้องอาบน้ำของที่ทำการซะหน่อย หนาวได้ใจจริงๆ แม้ว่าจะมีเครื่องทำน้ำอุ่นก็ตามแต่รู้สึกจะใช้ไม่ได้เลยอาบแบบเย็นๆดีกว่า ห้องน้ำที่จุดนี้ดีมาก สะอาดสะอ้าน
แพลนของผมต่อจากนี้จะเป็นการเดินทางไปเสาดินนาน้อยแล้วไปแวะดูบรรยากาศดอยเสมอดาวกับผาชู้ที่อช.ศรีน่าน แล้วขับต่อไปยังเส้นติดชายแดนเพื่อขึ้นเหนือไปยังแม่จริมและบ่อเกลือต่อไป(เส้นทางสีม่วงเริ่มจากจุดสีเขียวที่ขุนสถาน)
บรรยากาศระหว่างทางก็จะเจอกับแปลงปลูกกระหล่ำปลีริมเนินเขาติดกับถนน เห็นแล้วคิดถึงภูทับเบิกเช่นกัน
ชาวเขากำลังเดินไล่เก็บดอกกระหล่ำเพื่อส่งขาย
เส้นทางสู่เสาดินนาน้อยหรือฮ่อมจ๊อมก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับทางเดิม สามารถมาต่อได้เลย
ถึงแล้วเสาดินนาน้อยหรือภาษาถิ่นว่า ฮ่อมจ๊อม ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกตอนเดือนตุลาคม 47 ช่วงวันปิยะมหาราช
เสาดินนาน้อยเป็นเสาดินมีลักษณะแปลกตาคล้าย “แพะเมืองผี” จังหวัดแพร่ จากหลักฐานทางธรณีวิทยา พบว่าเสาดินนาน้อยเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในยุคเทอร์เชียรีตอนปลาย ประกอบกับการกัดเซาะของน้ำและลมตามธรรมชาติ นักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่ามีอายุประมาณ ๑๐,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว
ที่นี่เคยเป็นก้นทะเลมาก่อน และจากหลักฐานการค้นพบกำไลหินและขวานโบราณที่นี่ (ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน) แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้อาจเคยเป็นแหล่งอาศัยของมนุษย์ยุคหินเก่า
ออกจากเสาดินนาน้อยผ่านท้องนาสองข้างทางและชาวนาก็นำกองฟางมาสุมรวมๆกัน ชอบบรรยากาศท้องทุ่งแบบนี้จัง
ตั้งใจจะไปดอยเสมอดาวเพื่อถ่ายรูปเก็บบรรยากาศแต่ไม่กะค้างและจะไปต่อที่ผาชู้ด้วย แต่พอไปถึง ทางเข้าดอยเสมอดาวรถดันติด ต้องจอดรอหรือหลีกรถน้ำกัน ผมเลยตีรถยาวไปผาชู้ แต่ก็เจอกับรรยากาศที่คนเยอะๆอีก ซึ่งก็ไม่ได้จะค้างอยู่แล้ว
ผมเลือกใช้เส้นทางแปลกๆอีกครั้ง แทนที่จะกลับไปนาน้อยทางเดิมแล้วเข้าเวียงสาไปออกตัวเมืองน่านเหมือนคนทั่วๆไป ผมเลือกใช้เส้น 1083 เดิมแต่ขับต่อไปที่บ้านปางไฮ จ.อุตรดิตถ์ เพื่อไปขึ้นแม่จริมทางเส้นเลียบๆชายแดนไทย-ลาว
พอเลยผาชู้ไปเรื่อยๆตามเส้น 1083 เริ่มที่เปล่าเปลี่ยวแล้ว ถนนดีมากแต่ไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไหร่ จะมีก็แต่คนพื้นที่ที่ขี่มอเตอร์ไซด์ไปมา บางทีก็รู้สึกสะใจเหมือนกันที่มาเส้นทางที่ไม่มีคนเขาใช้กัน ได้ขับรถชมธรรมชาติอย่างแท้จริง แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าวันนี้คือวันที่ 30 ธันวาคม ซึ่งถนนไม่มีรถเอาซะเลย
บ่ายสามโมงตรงมาถึงที่สามแยกบ้านปางไฮพอดี ผมเลี้ยวซ้ายเพื่อแพลนว่าจะไปใช้เส้น 1123 ผ่านบ้านบ่อเบี้ย เข้าบ้านน้ำมวบขึ้นไปอ.แม่จริมต่อไป
15:20 น. มาถึงที่ช่องมหาราช เป็นด่านการค้าไทย-ลาวครับ แต่เสียดายเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผมไป บอกว่าไม่มีอะไร ตลาดก็วายแล้ว ผมเลยวกรถกลับมาเพื่อจะไปเส้น 1243 ต่อไปยังบ้านน้ำมวบ
ขับต่อไปตามทางที่ GPS บอกได้ประมาณ 18 นาที ถนนลาดยางอยู่ดีๆก็เป็นดังที่เห็น เจอเจ้า GARMIN หลอกเข้าให้แล้วมั้ยหล่ะ !?!? เลยวกรถย้อนกลับทางเดิมเพื่อไปอีกเส้นหนึ่ง
ป้ายบอกทางไปน่านอีก 94 กม.ชัดเจนมาก แต่ไฉนถนนหนทางมันดูเงียบเหงาจริงๆ เหมือนกับร้างๆไม่มีคนใช้เอาซะเลย แต่ก็กลั้นใจขับต่อไปเรื่อยๆ บางจุดมีดินและหินถล่มซะด้วย ไม่มีรถสวนหรือตามท้ายมาเลย ชักหวั่นๆแล้ว
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น