วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ตามหาซากุระเมืองไทย(ดอกนางพญาเสือโคร่ง) ที่ น่าน ตอน 1 เมื่อโลกทั้งใบเป็นสีชมพู ณ อช.ขุนสถาน จ.น่าน


**คนแรกๆที่นำการท่องเที่ยวจังหวัดน่าน และการชมซากุระเมืองไทย ณ อช.ขุนสถาน, อช.ดอยภูคา, อช.นันทบุรี จ.น่าน แหล่งใหม่นอกจากขุนช่างเคี่ยน เชียงใหม่ มาเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะห้อง BP เว็บพันทิป จนนำมาสู่การบูมของการท่องเที่ยวน่านมาจวบจนปัจจุบัน :)

เมื่ออะไรๆก็เปลี่ยนไป นับจากต้นเดือนธันวาที่ผ่านมา ผมเองคงต้องเปลี่ยนใจที่จากเดิมเคยอยู่บ้านในกรุงเทพช่วงเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มาเป็นออกเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อขับรถไปหาอากาศหนาวแถบภาคเหนือ โดยอยากขับไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยในหัวสมองผมก็ยังมีแผนการเดินทางคร่าวๆอยู่

แน่นอนว่าผมตัดจังหวัดที่เป็นที่นิยมในขณะนี้คือเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงรายไปก่อน ทราบดีว่าช่วงที่จะไปจังหวัดดังกล่าวนั้น คงไม่ต่างอะไรกับการเดินซื้อของในห้างดังที่กำลังมีโปรโมชั่นลดราคาสินค้าในใจกลางเมืองกรุงเทพ  แล้วที่ไหนที่พอจะไปเที่ยวแบบคนไม่เยอะมากมายนัก ผมคิดอยู่ในใจ จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากเมืองน่าน เมืองที่ยังสงบ น่าอยู่ ผู้คนอัธยาสัยดี แถมยังมีวัฒนธรรมล้านนานตะวันออกมาแต่ครั้งโบราณกาล ไม่ต่างอะไรจากเชียงใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองมาพร้อมๆกัน

เส้นทางที่ผมเลือกเดินทางนั้น เป็นเส้นทางที่พยายามจะเลี่ยงฝูงชนในวันเทศกาลอย่างนี้มากที่สุด เลยออกจากกรุงเทพมาใช้ถนนวงแหวนตะวันออก และต่อด้วยสาย 21 ที่หนีไปสระบุรีต่อด้วยเพชรบูรณ์ก่อนจะวกกลับมาพิษณุโลกอีกครั้งตามถนนหมายเลข 12 เพื่อไปยังอุตรดิตถ์ แพร่และน่านต่อไป

ความที่เคยไปเยือนเมืองน่านมาสองครั้งสองคราแล้วนั้น ความประทับใจยังไม่จางหายมีแต่จะเพิ่มยิ่งๆขึ้นไป บวกกับมีอีกหลายสถานที่ที่ผมยังไม่ได้ไป ครั้งนี้ดูจะโชคดีอีกต่อหนึ่งคือที่น่านเองนั้นก็มีดอกนางพญาเสือโคร่งเหมือนกับที่เชียงใหม่เหมือนกัน แต่ดูๆแล้ว ยังไม่เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยวเท่าใดนัก ผมจึงสบโอกาสได้ไปชมโลกสีชมพูที่คาดหวังไว้ เพราะผู้ที่ไปมาช่วงวันที่ 24 ธันวาคม ได้บอกว่ากำลังบานอยู่พอดี แถมยังคนไม่เยอะด้วย จึงไม่ลังเลที่จะแพลนทริปครั้งนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อตามหา Cherry Blossom บนเส้นทางในจังหวัดน่านนั่นเอง

บันทึกเดินทางน่านครั้งที่ผ่านมา
=============================
น่าน ครั้งแรก
ไหว้พระธาตุประจำปีเกิดที่แพร่และน่าน ตอน 1 ขับรถไปเมืองแพร่ นำทางโดย GPS Garmin iQue 3600
น่าน ครั้งที่ 2
เยือน"นันทบุรีศรีนครน่าน" ตอน 1 เริ่มต้นเส้นทางสู่ดินแดนอารยธรรมล้านนาตะวันออก @แพร่-น่าน
น่าน ครั้งที่ 3 (ตอนนี้)
ตามหาซากุระเมืองไทย(ดอกนางพญาเสือโคร่ง) ที่ น่าน ตอน 1 เมื่อโลกทั้งใบเป็นสีชมพู ณ อช.ขุนสถาน จ.น่าน
น่าน ครั้งที่ 4 (ครั้งล่าสุด)
เที่ยวจังหวัดแพร่, น่าน(ครั้งที่ 4) ตอน น่าน...กลับมาครั้งนี้ไม่มีเหงา



แผนที่เส้นทางการขับรถ
หมายเหตุ : 
เส้นสีน้ำเงิน : การเดินทางในวันแรกคือวันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม 2550 จุดหมาย ณ อช.ขุนสถาน จุดสีเขียว
เส้นสีม่วง     : การเดินทางในวันที่สองคือวันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2550 จุดหมาย อ.บ่อเกลือ ผ่าน อ.แม่จริม แต่ไปไม่สำเร็จ ต้องกลับไปนอนค้างที่ อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ แทน
=====
กิโลเมตรเริ่มต้น : 275,511
เวลาล้อหมุน      : 05:17 น.


ผมเริ่มออกจากบ้านเวลาประมาณตีห้ายี่สิบนาที เป็นอีกครั้งที่ออกเช้ามืดอย่างนี้ ซึ่งก็แปลกใจมากว่าตอนคืนที่ผ่านมานอนไม่หลับ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร จะตื่นเต้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ เลยอยากที่จะออกเดินทางเร็วๆ ไม่อยากรอเวลาแล้ว

จากหน้าจอ iQue 3600 GPS คู่กาย เลือกอุทยานแห่งชาติขุนสถาน จ.น่านเป็นจุดหมายปลายทาง แล้วคลิก Route to เพื่อเริ่มเดินทางได้เลย เวลาคร่าวๆที่บอกกับเราไว้คือ จะไปถึงที่นั่นประมาณ 12:48 น.โดยไม่ได้รวมเวลาที่รถติดและอื่นๆทั้งนั้น แต่ก็พอที่จะประมาณเวลาการขับรถไปได้ไม่มากก็น้อย


พอรถเคลื่อนตัวเข้าถนนพหลโยธิน รถก็เริ่มคล่องตัว สามารถไปได้ ผมแวะเติมน้ำมันเต็มถังที่ปั๊มเชลตรงบางปะอิน จุดที่รถทุกคันเมื่อออกจากวงแหวนตะวันออกต้องผ่าน ขับไปเรื่อยๆ เปิดเพลงเก่าๆที่มีอยู่ในรถฟังไป สักพักประมาณ 10:30 น. ก็มาถึงยังจังหวัดเพชรบูรณ์จังหวัดที่มีเจ้าตัวมะขามเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่


ถนนหมายเลข 21 สายนี้ขับสบาย แถมวิวสองข้างทางก็สวยงามจริงๆ ดีที่เลือกมาเส้นนี้เพราะเรียกได้ว่าทำความเร็วได้ดี ไม่ติดเลย แต่ผมก็ไปเสียเวลาเมื่อเลี้ยวเข้าถนนหมายเลข 12 จากหล่มสักไปพิษณุโลกนั่นเอง เส้นนี้เป็นทางคดโค้งไปตามเขาหลายลูก ทำความเร็วไม่ค่อยจะได้ เลยทำให้เสียเวลาที่สายนี้มาก ระยะทางร่วมร้อยกิโลเมตร เกือบๆบ่ายโมงเลยมาถึงแค่วังอ.ทอง ก่อนถึงพิษณุโลก ได้เวลาเที่ยงแล้วเลยเข้าไปทานอาหารกลางก่อนก่อน แต่บอกก่อนว่า ร้านที่ผมเลือกเข้านั้นถือได้ว่าทำอาหารช้ามากๆ ผมเองก็สั่งอาหารจานเดียวแต่เสียเวลานานต้องเร่งอยู่สองสามครั้ง ร้านที่ว่าคือร้านแสงตะวัน  ดูสิ...สั่งอาหารไป ได้กาแฟมาแค่แก้วเดียวกับจานเปล่า 1 ใบ


ขับไปขับมาชักง่วงนอน เฮ้อ...ยังไงก็ต้องฝืนขับไป แต่ก็ไม่ได้ประมาท กว่าจะผ่านอุตรดิตถ์ และจากอุตรดิตถ์ไปเด่นชัยก็เป็นทาง 2 เลนด้วย ระยะทางร่วม 40 กว่ากม.เลยทำให้ช้าไปใหญ่

จากสามแยกเด่นชัยผมเลยยกเลิกที่จะไปวัดพระธาตุสุโทนกับบ้านเพื่อนร่วมงานที่อยู่วังชิ้นแล้ว เพราะเกรงว่าจะไปถึงอุทยานค่ำ ไม่สะดวกต่อการกางเต็นท์ เลยเลี้ยวขวาเข้าแพร่ออกร้องกวาง แต่ระหว่างทางนั้นก็คิดอยู่ในใจว่าต้องมีสะเบียงตอนเย็นมั่ง เห็นหลายเจ้าขายข้าวหลามกันตลอดสองข้างทาง เลยแวะเพื่อซื้อ 4 กระบอกได้แบบไว้สังขยากับถั่วดำแบบธรรมดา  น้องผู้หญิงเห็นว่าจะถ่ายรูปเลยเดินออกมาจากผ้าที่บังแดดเพื่อให้ผมเก็บภาพด้วย แทนที่จะเก็บเจ้าน้องผู้ชายคนเดียว :)


มาถึงตลาดร้องกวางแล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับการเตรียมเสบียงเพื่อไว้ทานยามเย็นและตอนเช้าที่อุทยานด้านบน ผมเลือกซื้อหมูกรอบกับข้ามเหนียวในตลาดตามที่มีเพื่อนในบอร์ดน่าน @TKT ได้เคยลงไว้ หมูกรอบถูกหั่นแล้วคลุกด้วยพริกและน้ำปลา กับผักโรยหน้า ห่อด้วยใบตอง อาหารอะไรน่าทานจัง ราคาเพียงแค่ 20 บาท บวกข้าวเหนียวอีก 5 บาท เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปตอนกำลังห่อมา


ออกจากร้องกวางไปผ่านถ้ำผานางคอยตามเส้น 101 สักพักจะเจอกับสามแยกซึ่งต้องสังเกตกันดีๆเพราะเป็นทางโค้งด้วย แต่ด้วย GPS ก็สบายบอกทางตลอด ให้เลี้ยวขวาเข้าเส้น 1216 ไปอีก 24 กม.ก็จะถึงอช.ขุนสถาน

เกือบๆห้าโมงครึ่ง ผมก็มาถึงยังอุทยานแห่งชาติขุนสถานแล้ว เห็นชมพูมาแต่ไกล อดใจไม่ไหวต้องจอดรถเพื่อถ่ายรูป ตรงนี้ยังไม่ถึงที่ทำการดี


มาถึงแสงก็น้อยเต็มทีแล้ว อากาศเย็นอย่างที่ต้องการ ผมลงจากรถเพื่อติดต่อสอบถามจุดการเต็นท์ เจ้าหน้าที่ก็ชี้จุดให้หรือจะขับขึ้นไปกางด้านบนก็ได้ ดีที่ผมไม่รีบมากางตรงที่ทำการนี้ก่อน ไม่งั้นอดได้นอนท่ามกลางต้นสีชมพูสวยๆด้านบน

ปล.ที่นี่ยังไม่เก็บค่าธรรมเนียมใดๆเนื่องจากรอประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติอย่างทางการก่อน


ทางขึ้นไปด้านบนอีกทีหนึ่ง โอบล้อมไปด้วยนางพญาเสือโคร่งสองข้าง พร้อมๆกับจบวันแรกของทริปนี้

โดยรวมด้านบนมีนักท่องเที่ยวกางเต็นท์กับพอประมาณ ไม่ถือว่ามากไปหรือน้อยไป แต่ก็เกินคาดว่าคนจะไม่รู้จักที่นี่ เป็นอีกครั้งที่ต้องได้เจอกับกลุ่มคาราโอเกะยุคสมัยเก่า แต่ดีตรงที่ไม่ดังมากมายนัก หรืออาจเพราะว่าผมกางเต็นท์อยู่ห่างๆก็เป็นได้ เชื่อมั้ยว่ากลุ่มนี้มากไหน เป็นใครที่ไหนไม่ได้นอกซะจากกรุงเทพนั่นเอง รถทะเบียนกรุงเทพร่วม 10 คัน แถมเด็กๆอีกต่างหาก

ส่วนผมนั่งทานอาหารที่ซื้อมาอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่จะเตรียมเข้านอนแต่ระหว่างนั้นก็ยังฟังเพลงเสียบหูฟังอยู่จนค่อยๆผลอยหลับไป ตื่นมาอีกครั้ง โห....ทำไมมันหนาวอย่างงี้นะ เหลือบไปดูนาฬิกาที่มีเทอร์โมมิเตอร์ บอกอุณหภูมิ 10 องศา ! นอนไปขดไป ดันลืมเอาผ้านวมที่เตรียมมาลงจากรถอีก เลยได้แต่นอนหนาวรอเช้าวันใหม่ต่อไป


ณ เช้าวันใหม่ ของวันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2550

ผมตื่นนอนประมาณ 7:20 น.เห็นจะได้ อากาศหนาวมากๆ แต่ก็ดีใจที่ปีนี้ไม่ผิดหวัง ได้มาสัมผัสอากาศหนาวที่เมืองเหนือหลังจากที่ห่างหายไปหลายปี ครั้นจะนอนต่อก็ไม่ได้ เพราะหนาวเข้ากระดูกเหลือเกิน เมื่อคืนดันใส่ขาสั้นนอนซะด้วยสิ

พอตื่นมา รูดซิบประตูเต็นท์ก็เห็นดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูทักทายอยู่ห่างๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆแม้จะเหงาไปบ้างก็ตาม


 แสงแดดยังไม่แรงมากนักจึงทำให้เห็นดวงจันทร์ลอยอยู่ปลายยอดดอกซากุระเมืองไทย


ออกจากเต็นท์ก็ได้เวลาเริ่มเดินสำรวจสถานที่และถ่ายรูปแล้ว ที่นี่มีบ้านพักอยู่หลายหลังเหมือนกัน แต่ละหลังก็พักกันได้ 10 คนขึ้นไป มาช่วงคนไม่เยอะก็น่าจะสะดวกดี


นอกจากดอกนางพญาเสือโคร่งแล้วก็ยังมีดอกไม้เมืองเหนืออื่นๆที่ทางเจ้าหน้าที่ได้ปลูกไว้ด้วย


ตอนเช้าๆตื่นมาก็ออกมาสูดอากาศเย็นๆ ณ จุดชมวิวที่นี่ได้


อากาศหนาวเย็น จนพูดควันออกปาก ที่วัดอุณหภูมิของอช.ก็บอกว่า 10 องศาเช่นกัน ที่นี่วิวสวยๆหลายจุดเลย


แสงแดดเริ่มย่างกรายเข้ามาเรื่อยๆ


ที่นี่มีเยอะมากเลย เรียกได้ว่าเป็นดงเช่นเดียวกับที่อื่น


เรียกได้ว่าสีชมพูยังหนาแน่นอยู่


บางต้นก็สูงชะลูด


แหงนมองไปตรงไหนก็เจอแต่สีชมพู สีเสื้อสูทที่พระองค์ท่านทรงสวมใส่ตอนออกจากโรงพยาบาลศิริราช (_/\_)


เฮ้อ...เห็นแล้วมันหวานแหววเอามากๆ ใครใจอ่อนมาไม่ได้เลยนะเนี่ย คงต้องหลงรักที่นี่ก็เป็นได้


ขอใกล้ๆบ้าง


เดินแบกกล้อง, ขาตั้งกล้อง และกระเป๋าใส่แลนส์แบบไม่เบื่อเลย


แหงนมองฟ้าบ้าง แล้วเธอจะเห็นฉันยืนอยู่


ชมพูสีสดตัดกับฟ้าสีเข้มๆ


ช่อนี้ออกโทนชมพูขาว หวานๆ เหมาะกับสุภาพสตรี


แย่งกันชูกลีบดอกและเกสร กลัวหมู่ภมรจะไม่มาตอม


ไหนลองเปลี่ยนเลนส์เป็น 50 f/1.8 บ้างซิ ได้โบเก้สวยๆมาเชียว


ละลายซะขนาดนั้น


โพสต์ไป หิวขนมหวานไป


นางพญาเสือโคร่ง หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus Cerasoides D.don


ตรงจุดอื่นๆก็สวยไม่แพ้กัน


ทางเดินใต้นางพญาฯ ร่มรื่นมากๆ ผู้คนก็ไม่มากจนชนกัน สบายๆ


ดูนาฬิกา สิบโมงเช้าพอดี


ต้นนี้ดูสวยไปอีกแบบ


มาที่ขุนสถานทำให้ลืมความเจ็บปวดไปได้บ้าง


สุดท้ายสำหรับนางพญาเสือโคร่ง ณ ขุนสถาน แห่งนี้ แต่ที่น่านยังมีอีกนะ แล้วค่อยตามๆไปดูกัน


หลังจากที่อิ่มเอมกับการเก็บรูปซากุระเมืองไทยแบบเต็มอิ่ม ผมกลับมายังเต็นท์เพื่อเก็บเต็นท์และข้าวของต่างๆเข้ารถ และเตรียมตัวเดินทางต่อ ก่อนไปก็ขออาบน้ำที่ห้องอาบน้ำของที่ทำการซะหน่อย หนาวได้ใจจริงๆ แม้ว่าจะมีเครื่องทำน้ำอุ่นก็ตามแต่รู้สึกจะใช้ไม่ได้เลยอาบแบบเย็นๆดีกว่า ห้องน้ำที่จุดนี้ดีมาก สะอาดสะอ้าน

แพลนของผมต่อจากนี้จะเป็นการเดินทางไปเสาดินนาน้อยแล้วไปแวะดูบรรยากาศดอยเสมอดาวกับผาชู้ที่อช.ศรีน่าน แล้วขับต่อไปยังเส้นติดชายแดนเพื่อขึ้นเหนือไปยังแม่จริมและบ่อเกลือต่อไป(เส้นทางสีม่วงเริ่มจากจุดสีเขียวที่ขุนสถาน)

บรรยากาศระหว่างทางก็จะเจอกับแปลงปลูกกระหล่ำปลีริมเนินเขาติดกับถนน เห็นแล้วคิดถึงภูทับเบิกเช่นกัน


ชาวเขากำลังเดินไล่เก็บดอกกระหล่ำเพื่อส่งขาย


เส้นทางสู่เสาดินนาน้อยหรือฮ่อมจ๊อมก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับทางเดิม สามารถมาต่อได้เลย


ถึงแล้วเสาดินนาน้อยหรือภาษาถิ่นว่า ฮ่อมจ๊อม ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกตอนเดือนตุลาคม 47 ช่วงวันปิยะมหาราช


เสาดินนาน้อยเป็นเสาดินมีลักษณะแปลกตาคล้าย “แพะเมืองผี” จังหวัดแพร่ จากหลักฐานทางธรณีวิทยา พบว่าเสาดินนาน้อยเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในยุคเทอร์เชียรีตอนปลาย ประกอบกับการกัดเซาะของน้ำและลมตามธรรมชาติ นักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่ามีอายุประมาณ ๑๐,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว


ที่นี่เคยเป็นก้นทะเลมาก่อน และจากหลักฐานการค้นพบกำไลหินและขวานโบราณที่นี่ (ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน) แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้อาจเคยเป็นแหล่งอาศัยของมนุษย์ยุคหินเก่า


ออกจากเสาดินนาน้อยผ่านท้องนาสองข้างทางและชาวนาก็นำกองฟางมาสุมรวมๆกัน ชอบบรรยากาศท้องทุ่งแบบนี้จัง


ตั้งใจจะไปดอยเสมอดาวเพื่อถ่ายรูปเก็บบรรยากาศแต่ไม่กะค้างและจะไปต่อที่ผาชู้ด้วย แต่พอไปถึง ทางเข้าดอยเสมอดาวรถดันติด ต้องจอดรอหรือหลีกรถน้ำกัน ผมเลยตีรถยาวไปผาชู้ แต่ก็เจอกับรรยากาศที่คนเยอะๆอีก ซึ่งก็ไม่ได้จะค้างอยู่แล้ว

ผมเลือกใช้เส้นทางแปลกๆอีกครั้ง แทนที่จะกลับไปนาน้อยทางเดิมแล้วเข้าเวียงสาไปออกตัวเมืองน่านเหมือนคนทั่วๆไป ผมเลือกใช้เส้น 1083 เดิมแต่ขับต่อไปที่บ้านปางไฮ จ.อุตรดิตถ์ เพื่อไปขึ้นแม่จริมทางเส้นเลียบๆชายแดนไทย-ลาว


พอเลยผาชู้ไปเรื่อยๆตามเส้น 1083 เริ่มที่เปล่าเปลี่ยวแล้ว ถนนดีมากแต่ไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไหร่ จะมีก็แต่คนพื้นที่ที่ขี่มอเตอร์ไซด์ไปมา บางทีก็รู้สึกสะใจเหมือนกันที่มาเส้นทางที่ไม่มีคนเขาใช้กัน ได้ขับรถชมธรรมชาติอย่างแท้จริง แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าวันนี้คือวันที่ 30 ธันวาคม ซึ่งถนนไม่มีรถเอาซะเลย


บ่ายสามโมงตรงมาถึงที่สามแยกบ้านปางไฮพอดี ผมเลี้ยวซ้ายเพื่อแพลนว่าจะไปใช้เส้น 1123 ผ่านบ้านบ่อเบี้ย เข้าบ้านน้ำมวบขึ้นไปอ.แม่จริมต่อไป


15:20 น. มาถึงที่ช่องมหาราช เป็นด่านการค้าไทย-ลาวครับ แต่เสียดายเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผมไป บอกว่าไม่มีอะไร ตลาดก็วายแล้ว ผมเลยวกรถกลับมาเพื่อจะไปเส้น 1243 ต่อไปยังบ้านน้ำมวบ


ขับต่อไปตามทางที่ GPS บอกได้ประมาณ 18 นาที ถนนลาดยางอยู่ดีๆก็เป็นดังที่เห็น เจอเจ้า GARMIN หลอกเข้าให้แล้วมั้ยหล่ะ !?!? เลยวกรถย้อนกลับทางเดิมเพื่อไปอีกเส้นหนึ่ง


ป้ายบอกทางไปน่านอีก 94 กม.ชัดเจนมาก แต่ไฉนถนนหนทางมันดูเงียบเหงาจริงๆ เหมือนกับร้างๆไม่มีคนใช้เอาซะเลย แต่ก็กลั้นใจขับต่อไปเรื่อยๆ บางจุดมีดินและหินถล่มซะด้วย ไม่มีรถสวนหรือตามท้ายมาเลย ชักหวั่นๆแล้ว


ในที่สุด จากที่เคยขับไปจากสามแยกก่อนหน้านี้ได้ 20 กว่ากม.ต้องมาสิ้นสุดที่ตรงนี้ ตรงเขตติดต่อระหว่างอุตรดิตถ์กับน่านพอดี สงสัยจะหมดงบ เลยไม่ได้ลาดยางต่อ ถนนเป็นลูกรัง กลายเป็นว่าผมต้องผิดหวังเป็นครั้งที่สอง 

คราวนี้ดูเวลาก็สี่โมงเย็นกว่าๆแล้ว ไม่อยากย้อนกลับทางไปอช.ศรีน่านอีกครั้ง เพราะมาไกลมากแล้ว เลยนึกขึ้นได้ว่าพี่ได้โทรชวนไปค้างและทานอะไรกันที่อุตรดิตถ์เมื่อตอนเช้า ผมเลยโทรไปหาและสอบถามที่ตั้ง ได้ความว่าอยู่อ.ท่าปลานี้เอง ซึ่งติดกับเขื่อนสิริกิติ์ ทำให้ผมขับรถไปไม่ไกลมากมายอะไรนัก เลยเปลี่ยนใจครั้งสุดท้ายไปนอนที่บ้านเพื่อนพี่สาวที่อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์แทน(ตามจุดสีเหลืองของเส้นทางสีม่วงในแผนที่รูปแรก) 

เป็นอันว่าวันที่สองของทริปจบที่อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ แพลนที่ตั้งไว้ ว่าจะไปอ.แม่จริมไปออกบ่อเกลือก็ทำไม่สำเร็จ แล้วมาคอยดูกันว่าวันรุ่งขึ้นจะไปที่ไหนต่อ  สวัสดีครับ

Original Published on http://www.pantip.com at [ 4 ม.ค. 51 01:05:10 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น