วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2549

เยือน"นันทบุรีศรีนครน่าน" ตอน 1 เริ่มต้นเส้นทางสู่ดินแดนอารยธรรมล้านนาตะวันออก @แพร่-น่าน


วันหยุดยาวสามวันครั้งนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการออกจากป่าคอนกรีตเพื่อแสวงหาดินแดนอันเงียบสงบที่เรียกได้ว่าเคยรุ่งเรืองในครั้งโบราณกาลมา ดินแดนแห่งนั้นก็คือ "นันทบุรีศรีนครน่าน" ซึ่งเป็นดินแดนที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำน่าน เจริญรุ่งเรืองไล่เลี่ยกับ"นพบุรีศรีนครพิงค์"หรือเชียงใหม่ในปัจจุบันนั่นเอง

ย้อนกลับไปสองปีที่แล้ว ณ ช่วงเวลาเดียวกันนี้ ผมจำได้ว่าผมเองนั้นได้ขับรถเดินทางไปจังหวัดแพร่และน่านเพื่อทดลองอุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่ได้มาครอบครอง ชิ้นนั้นคือ GPS GARMIN iQue 3600 นั่นเอง(ไหว้พระธาตุประจำปีเกิดที่แพร่และน่าน ตอน 1 ขับรถไปเมืองแพร่ นำทางโดย GPS Garmin iQue 3600) และครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ไปเยือนจังหวัดเงียบสงบแห่งหนึ่งในภาคเหนือซึ่งใครหลายคนอาจรู้สึกเฉยๆถ้าเปรียบเทียบกับจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่าจังหวัดน่านนั้นเป็นจังหวัดที่ไม่ใช่ทางผ่านของจังหวัดใดๆทั้งปวง คนที่จะไปนั้นคงต้องตั้งใจไปจริงๆ

พอมาบรรจบครบรอบสองปีดังที่กล่าวมานั้น ผมไม่ลังเลใจเลยที่จะกลับไปเยือนน่านอีกครั้ง หวังว่าน่านยังคงมีเสน่ห์เหมือนเดิมนั่นคือเมืองที่เงียบสงบแต่ปกคลุมไปด้วยอารยธรรมล้านนาตะวันออกที่แสดงออกมาทางจิตรกรรมอันหลากหลายบนฝาผนังภายในวิหารและงานปฏิมากรรมหลายๆอย่างบนสิ่งก่อสร้างที่เป็นโบสถ์และวิหารตามพื้นที่ทั่วๆไปในจังหวัดนี้

การเดินทางเพื่อตามหาร่องรอยอารยธรรมล้านนาตะวันออกครั้งนี้จึงเริ่มต้นขึ้นดังที่กล่าวมาข้างต้น

=====
กิโลเมตรเริ่มต้น : 231,111
เวลาล้อหมุน         : 7:40 น.


ก่อนออกเดินทางช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2549 ผมเตรียมอุปกรณ์หลายๆอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทางยาวครั้งนี้ แน่นอนสิ่งที่ขาดไม่ได้คือแผนที่ฉบับเดิมของสมาคมทางหลวงแห่งประเทศไทย ปี 2002 กับอุปกรณ์ไฮเทคในยุคดิจิตอลแบบนี้คือ GPS เพื่อนเก่านั่นเอง
ระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกลนักจากกรุงเทพ ประมาณ 668 กิโลเมตร จุดมุ่งหมายของวันเดินทางวันแรกนี้ไม่เหมือนกับสองปีที่แล้วคือ ผมมุ่งไปที่ค้างคืนแรกที่จังหวัดน่านเลย แพลนที่ตั้งไว้คืออุทยานแห่งชาติศรีน่าน หวังจะไปกางเต็นท์ที่ดอยเสมอดาวตามที่ตั้งใจไว้ แต่ดูกันต่อไปว่าทริปนี้จะเป็นไปตามที่แพลนไว้หรือไม่


ผมเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพประมาณ 7:48 น. คงไม่สายเกินไปที่จะไปถึงยังอช.ศรีน่าน เพราะเคยขับรถไปเส้นทางนี้มาก่อนแล้ว
แต่บางอย่างดูเหมือนจะผิดพลาดไป นั่นก็คือผมสูญเสียเวลาไปกับการทำทางขยายเลนที่เส้นสายเอเชีย(32) เกือบ 2 ชั่วโมง ทำให้ผมมาถึงเขตจังหวัดสิงห์บุรีเกือบสิบโมงครึ่ง !


ถนนสายเอเชียนั้นมีการทำทางตลอด ทำให้เวลาที่ผมคำนวณไว้ผิดพลาดและล่าช้าไปมาก จะถึงตัวเมืองนครสวรรค์ก็เกือบเที่ยงครึ่งแล้ว แต่อะไรก็ไม่น่าเห็นใจเท่าสภาพบ้านเรือนชาวบ้านข้างทางริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เหลือบมองไปก็เห็นเพียงแต่หลังคาเท่านั้น บางบ้านก็เกือบมิดน้ำ บางบ้านโชคดีหน่อยที่มีสองชั้น แต่ทั้งหมดก็ต้องทนทุกข์กับภัยธรรมชาติแบบนี้ทุกปีร่ำไป เราคนไทยด้วยกันคงต้องช่วยๆกันแล้วหล่ะครับ


พอผ่านนครสวรรค์ผมเลี้ยวขวาเข้าเส้น 117 เพื่อต่อไปยังพิษณุโลก มาถึงตรงนี้สภาพการจราจรเริ่มโล่งแล้วหล่ะ เป็นไปตรงกับที่ผมได้คาดคะเนไว้ก่อนหน้านี้ที่คิดว่าคนคงไปเที่ยวน่านน้อยเมื่อเทียบกับเชียงใหม่ ซึ่งก็จริง(บวกกับข้อมูลที่ผมเคยถามเพื่อนๆไว้ว่าไปเที่ยวไหนกันช่วงหยุดยาวนี้)

แต่สองข้างทางก็ยังคงเห็นสภาพร่องรอยของน้ำท่วมเกือบตลอดทาง จึงทำให้บางช่วงของถนนเส้นนี้นั้นต้องมาใช้ทางเบี่ยงร่วมกัน เหตุเพราะอีกฝั่งของถนนโดนนำท่วมเอ่อล้นเข้ามานั่นเอง

ขับรถไปเรื่อยๆจวนจะถึงอุตรดิตถ์แล้ว เจอกับแก็งค์ชอปเปอร์ตามไล่มาข้างหลังสิบกว่าคันได้ มุ่งหน้าไปไหนไม่ทราบได้


ก่อนถึงตัวเมืองอุตรดิตถ์ถนนว่างมากๆ อย่างนี้แหล่ะถึงจะขับรถมัน


บ่ายสามโมง ผมขับผ่านสี่แยกก่อนถึงตัวเมืองอุตรดิตถ์เล็กน้อย ที่สี่แยกนี้จะมีดาบอันใหญ่ยักษ์ตั้งโชว์อยู่ ผมเดาว่าน่าจะเป็นดาบของพระยาพิชัยดาบหัก ขุนศึกคู่บารมีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั่นเอง


อย่างที่ได้เคยบอกไว้ข้างต้น ผมเสียเวลากับการทำทางแถวถนนสายเอเชียเกือบสองชั่วโมง ทำให้ผมต้องรีบเร่งไปแวะถ่ายรูปที่วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรีซึ่งอยู่เลยจากสามแยกเด่นชัยไปทางซ้ายประมาณ 6 กม.อย่างเร่งด่วน

เหมือนอย่างที่ข้อมูลเคยบอกไว้ วัดนี้สวยมากๆ รู้สึกเสียดายที่ตัวเองต้องเข้ามาดูแบบลวกๆ เพราะเวลาผิดพลาดแท้ๆ


ลวดลายของสิงห์ที่ยืนอยู่นั้น อลังการมากๆ โชคดีที่ช่วงนี้ไม่มีฝนตกลงมา ดังนั้นแสงที่ได้จึงสะท้อนมาจากตัวสิงห์สีทองอร่ามแบบเต็มๆ


สิงห์ 2 ตัวยืนตระหง่านเฝ้าวัดพระธาตุสุโทนฯ


มาดูสิงห์อีกตัวกันต่อเลย


ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นสิงห์ตัวเล็กๆหลากหลายอิริยาบทแทรกอยู่ตามเล็บของสิงห์ตัวใหญ่ มีความหมายอย่างใดไม่ทราบแน่ได้


บันไดนาคราช ทางขึ้นไปสู่วิหาร แต่รู่สึกทางวัดจะไม่ให้ขึ้นทางนี้ แต่ให้ไปขึ้นตรงถนนอีกทางหนึ่งซึ่งอยู่ขวามือ


เรามาดูพญานาคกันชัดๆครับ


ถอยมาดูองค์พระนอนปางไสยาสน์แบบเต็มๆกันอีกครั้ง นี่เป็นพระนอนขนาดใหญ่ที่สุดที่ผมเคยตะลอนไปดูมาเลยนะเนี่ย


ภาพนี้คล้ายๆกับเทวดาสององค์ช่วยกันหาบอะไรสักอย่าง


หลังจากนั้นเดินขึ้นไปดูยังด้านบน เพื่อเข้าไปชมภายในวิหารด้วย

ด้านหน้าประตูจะมียักษ์ 2 ตนยืนถือขวานเฝ้าประตูอยู่ แลดูน่ากลัวเหมือนกันเพราะตัวใหญ่มาก


เข้าไปด้านใน ถึงกับตะลึง เพราะแสงจากพระธาตุหลายๆพระธาตุสะท้อนแดดมาแวววาวมาก


เดินมาด้านหลังจะเจอกับทางเข้าวิหาร ลวดลายแกะสลักก็วิจิตรบรรจงมาก


เข้าไปภายในวิหาร แน่นอนว่าจะต้องเจอกับภาพเขียนจิตรกรรมบนฝาผนังที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชาวล้านนามาแต่ครั้นโบราณกาล


ไหว้พระก่อนนะครับ พระพักตร์งดงามสงบนิ่ง


ออกจากวิหารมาก็เดินรอบๆเพื่อถ่ายรูปเรื่อยๆ รู้สึกจะที่เห็นข้างหน้าจะเป็นตุงแบบไม้ซึ่งมีลวดลายแกะสลักสวยงามมากๆ


วิหารอีกรูปหนึ่ง


องค์พระธาตุขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางและขนาดเล็กรายล้อมอยู่ ไม่แน่ใจว่ามีอยู่กี่พระธาตุเพราะเยอะไปหมด


มองวิวด้านข้างของพระธาตุสุโทนซึ่งรายล้อมด้วยช้างสีขาวบ้าง


รูปสุดท้ายของพระธาตุสุโทนมงคลคีรีก่อนจะลาจากแบบเร่งด่วนเพื่อไปไหว้พระธาตุคู่ขวัญเมืองแพร่กันต่อ


ผมรีบขับรถต่อไปตัวเมืองแพร่อย่างรวดเร็วเพราะเวลาล่วงเลยมามากแล้ว ไม่นาน สี่โมงห้าสิบสองนาทีผมก็มาถึงยังพระธาตุคู่ขวัญชาวเมืองแพร่นั่นคือ พระธาตุช่อแฮ พระธาตุประจำคนเกิดปีขาลนั่นเอง

จากป้ายประกาศ บ่งบอกให้ชาวพุทธศาสนิกชนทราบว่า วัดพระธาตุช่อแฮนี้จะได้รับอัญเชิญจากวัดราษฏร์เป็นวัดอารามหลวงในวันที่ 26 ตุลาคม 49 ที่จะถึงนี้


จอดรถเสร็จก็รีบเดินขึ้นไปยังพระธาตุซึ่งอยู่ด้านบน


นี่แหล่ะครับ สัมผัสทางสายตาอันดับแรกที่เห็นเมื่อขึ้นมาด้านบน พระธาตุช่อแฮตั้งอยู่ข้างในอีกทีหนึ่ง


ครั้งที่สองของผมแล้วที่มาไหว้พระธาตุช่อแฮนี้ แม้ว่าจะเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีขาลหรือเสือก็ตาม แต่ทุกคนที่เกิดปีอื่นก็มีสิทธิไหว้พระธาตุองค์นี้เหมือนกันครับ


หลบร้อนไอแดดเข้ามาถ่ายในร่มนิดนึง


มาถึงแล้วก็ต้องเข้าไปไหว้พระประธานในโบสถ์วิหารด้วยนะครับ


ผมออกจากวัดพระธาตุช่อแฮตอนประมาณ 17:15 น. นั่นแปลว่าผมช้ากว่ากำหนดเดิมประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ผมก็ยังไม่ย่อท้อที่จะไปให้ทันตามพลนที่วางไว้ให้ได้คืออช.ศรีน่าน ไปค้างที่ดอยเสมอดาวนั่นเอง แต่พอขับไปเรื่อยๆมันยิ่งมืดๆ แสงค่อยๆหมดลงไปทีละน้อย คิดไปคิดมา เลยเปลี่ยนแผนอย่างกระทันหันว่าไม่ไปที่อช.ศรีน่านแล้ว ตรงดิ่งไปที่ตัวเมืองน่านเลยละกัน เพราะครั้นจะไปแบบมืดบนอุทยานซึ่งตัวเองไม่คุ้นเส้นทางแล้วหล่ะก็ อาจเกิดอันตรายได้

สุดท้าย ผมก็เข้าถึงตัวเมืองน่านประมาณหนึ่งทุ่มพอดี ห้องพักยังไม่ได้จองมาเลย แต่คิดว่าไม่เป็นปัญหา ผมวนหาที่พักที่ชื่อน่านฟ้าตามที่เคยดูข้อมูลมาจากในเว็บ โดยให้ GPS ของผมแนะนำเส้นทางให้

หาที่จอดรถแล้วเข้าไปสอบถามคุณลุงตรงเคาน์เตอร์ นับว่าผมโชคดีมาก เพราะหลังจากผมสอบถามที่พักได้ไม่นาน ไม่ถึง 10 วินาทีก็มีคนโทรมาสอบถามที่พักทางโทรศัพท์ แต่คุณลุงก็บอกปฏิเสธไปให้แล้ว ตกลงเป็นอันว่าเหลือที่พัก 1 ห้องเท่านั้น ราคา 500 บาท แอร์ น้ำอุ่น พอผมนั่งรอกุญแจก็มีผู้หญิงเข้ามาสอบถามที่พักอีกคนหนึ่ง เป็นอันว่าผมได้ห้องสุดท้ายจริงๆ แห่ะๆ

ที่พักแห่งนี้เก่าแก่มากใช้ไม้สักเกือบทั้งหลัง อายุกว่า 60-70 ปีที่เปิดใช้บริการมา อยู่ติดกับโรงแรมชื่อดังของน่านคือเทวราชนั่นเอง โรงแรมนี้คือ โรงแรมน่านฟ้า ครับ

ปล. : รูปนี้ผมมอบให้ใครคนหนึ่งใน BP แห่งนี้ซึ่งใช้ login เดียวกับชื่อของที่พักนี้ นั่นคือมอบให้คุณ น่ า น ฟ้ า ครับ


มาดูเคาน์เตอร์เช็คอินกันครับ


มาดูกันว่าเก่าแก่ขนาดไหน ในรูปเป็นภาพสมัยครั้งที่เริ่มเปิดให้บริการใหม่ๆโดยมีบุคคลสำคัญเข้ามาพักด้วย


ผมได้ห้องพักชั้นสาม บรรยากาศก็เป็นอย่างที่เห็น ออกแนวสมัยโบราณจริงๆ

เห็นโรงแรมที่พักแบบนี้ ทำให้นึกถึงตอนไปพักที่ปีนังและล่าสุดที่เรจิน่าที่เชียงใหม่ ซึ่งออกแนวแอนธีคแบบนี้เป๊ะเลย


ภายในห้องนอน สะอาด เรียบร้อย ใช้ได้เลยครับ


สามารถออกมาชมวิวริมระเบียงของแต่ละชั้นได้ด้วย


หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ได้เวลาสำรวจสถานที่ยามค่ำคืน ในที่นี้คือวัดต่างๆบริเวณตัวเมือง ดังเช่นวัดนี้ วัดหัวข่วง


ใกล้ๆกันก็คงหนีไม่พ้น พระธาตุช้างค้ำ ยามค่ำคืนซึ่งมองเห็นองค์พระธาตุสีทองอร่ามตามาแต่ไกลเลย


ก่อนจะกลับที่พัก เข้าไปภายในวัดเพื่อถ่ายองค์พระธาตุช้างค้ำอีกวิวหนึ่ง สวยไปอีกแบบ

ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านและติดตามมาโดยตลอดนะครับ แล้วมาดูกันว่า ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นผมจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างในจังหวัดน่านแห่งนี้ ตอนนี้ขอไปนอนก่อนครับ

Original Published on www.pantip.com at [ 26 ต.ค. 49 23:15:52 ]


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น