วันนี้ดูจะเป็นวันแห่งการสำรวจศิลปะวัฒนธรรมของจังหวัดน่านนี้ของผมอย่างแท้จริง เพราะในตัวเมืองน่านเองก็มีวัดเก่าแก่พ่วงประวัติศาสตร์มากมายที่รอให้เข้าไปไหว้สักการะตามประเพณีชาวเหนือหรือเรียกอีกอย่างว่า ไหว้สา 9 วัด แต่สำหรับผมนั้นรวมแล้วไหว้ไปทั้งหมด 11 วัด จึงเป็นที่มาว่า ไหว้สา 9 วัด +2
วัดใหญ่ที่อยู่คู่เมืองน่านมาแสนนานคงเป็นวัดที่หลายคนรู้จักกันดีคือวัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นวัดที่มีพระธาตุประจำเกิดของผม นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมผมถึงเลือกมาที่จังหวัดน่านนี้ คือมาไหว้พระธาตุประจำปีเกิดด้วยนั่นเอง
นอกเหนือจากวัดต่างๆในตัวเมืองและอ.อื่นของน่านแล้ว ช่วงนี้ยังมีประเพณีอันหนึ่งของชาวน่านที่สืบสานกันมาอย่างยาวนาน ประเพณีอันนั้นคือการแข่งเรือ วันนี้จึงเป็นวันที่ดีวันหนึ่งที่สามารถเที่ยวชมทั้งศิลปะวัฒนธรรมภายในวัดอีกทั้งประเพณีแข่งเรือสนุกสนานของชาวน่านไปในคราวเดียวกัน
วันนี้ตื่นสายหน่อยเนื่องจากเมื่อวานเพลียจากการขับรถมาทั้งวัน เช็คเอ้าท์จากโรงแรมน่านฟ้าก็เดินหาอะไรทานละแวกใกล้ๆ เช้านี้อากาศไม่ได้เย็นเหมือนที่คิดไว้ แต่ก็ถือว่าไม่ร้อนมาก จุดหมายแรกของวันนี้คือวัดพระธาตุแช่แห้ง วัดที่ 1 ผมจอดรถที่ฝั่งตรงกันข้ามของถนนแล้วเดินข้ามมาอีกที ยามเดินขึ้นไป มองเห็นพระธาตุสีทองเด่นสง่าตั้งอยู่ไม่ไกล
เดินเข้ามาภายในบริเวณวัดคงไม่ต้องบอกอะไรมากเมื่อเห็นสัญลักษณ์รูปปั้นกระต่ายตั้งวางอยู่บนเสาทุกเสาร่ำไป บ่งบอกว่าเป็นวัดประจำคนเกิดปีเถาะอย่างแท้จริงตามความเชื่อชาวล้านนา
เข้ามาภายใน มองเห็นพระธาตุสีทองสะท้อนแสงเปล่งประกายออกมาสวยงามมาก พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ส่วนฐานทำเป็นทรงหน้ากระดานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่รองรับกับ ฐานบัวลูกแก้วย่อเก็จ ถัดขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานรูปสี่เหลี่ยมและแปดเหลี่ยมซ้อนกันลดหลั่นลงมา 3 ชั้น รับชั้นมาลัยเถาสามชั้น องค์ระฆังมีขนาดเล็กบัลลังก์ทำเป็นแท่นสี่เหลี่ยมย่อเก็จ
เข้าไปกราบพระประธานในอุโบสถด้วยกันนะครับ สายพระเนตรมองลงมาเหมือนเป็นนัยเอ็นดูเรา ช่วงนี้จะมีช่างเข้ามาทำนุบำรุงองประประธานอยู่ คงน่าจะเตรียมการจัดงานกระฐินที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้
มาดูอีกมุมหนึ่งเมื่อเดินอ้อมอุโบสถ
ตามประวัติ พระธาตุแช่แห้งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญมีอายุกว่า 600 ปี พญาการเมืองโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1891 เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากกรุงสุโขทัย องค์พระธาตุมีความสูง 55.5 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ22.5 เมตร บุด้วยทองเหลืองปิดทองคำเปลวหมดทั้งองค์
ไปไหว้พระเจ้าทันใจกันครับ นัยว่าขอพรอะไรจะได้เร็วทันใจตามปรารถนา
องค์พระพุทธรูปอีกจุดหนึ่ง
อากาศร้อนแล้วหล่ะครับ แต่ใจยังสดชื่นด้วยบุญอยู่ น้องกระต่ายก็หลบแดดร้อนๆอยู่เหมือนกัน
แวะจอดรถที่จอดรถข้างวัดภูมินทร์ สายๆแดดร้อนอย่างนี้ต้องแวะเข้าไปชิมกาแฟสดหน่อยแล้ว ร้านนี้ชื่อร้าน La Vita ไม่เพียงจะขายเครื่องดื่มอย่างเดียวแต่ยังมีรายละเอียดทัวร์ต่างๆในจังหวัดน่านด้วย โดยเฉพาะเพ็คเกจล่องแก่งน้ำว้า
เอสเปรสโซ่เย็น โอว....สดชื่น
ต่อจากนั้น เดินเข้าวัดภูมินทร์ วัดที่ 2 ทางด้านข้าง ซึ่งผมยังเข้าใจว่าด้านหน้าซะอีก วัดนี้แปลกอยู่อย่างตรงที่ว่า อาคารนี้เป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหารและพระเจดีย์ประธาน โดยใช้อาคารในแนวตะวันออก-ตะวันตกเป็นพระวิหาร และอาคารแนวเหนือ-ใต้ เป็นพระอุโบสถ
เข้าไปดูภาพเขียนจิตรกรรมบนฝาผนังภายในโบสถ์วิหารหลวง วัดภูมินทร์กันเลยครับ
จากประวัติ วัดภูมินทร์ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่สมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ.2410 (ปลายสมัยรัชกาลที่ 4) ใช้เวลาซ่อมนานถึง 7 ปี จิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวงก็เขียนขึ้นในช่วงนี้ ภาพจิตรกรรมหรือ “ฮูบแต้ม” ในวัดภูมินทร์เป็นชาดกในพุทธศาสนา และภาพจิตรกรรมรายละเอียดของวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยนั้น ภาพที่น่าสนใจเช่น
ภาพธรรมเนียมการอยู่ข่วง ของชาวไทลื้อ พ่อแม่ จะอนุญาตให้หนุ่มสาวพบปะกันที่ชานบ้านในเวลาค่ำ ขณะหญิงสาวกำลังปั่นฝ้าย หรือ “อยู่ข่วง” หากสาวเจ้าตกลงปลงใจด้วยก็จะจัดพิธีแต่งงาน หรือที่เรียกว่า “เอาคำ ไปป่องกั๋น” หรือเป็นทองแผ่นเดียวกัน
ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองน่าน หญิงสาวกำลังทอผ้าด้วยกี่พื้นเมือง นอกชานมีเรือนเล็กๆตั้งหม้อน้ำดินเผาที่เรียกว่า “ร้านน้ำ” ส่วนชายหนุ่มไว้ผมทรงหลักแจวหรือทรงมหาดไทย แสดงให้เห็นอิทธิพลตะวันตกที่เข้ามาผสมผสานในวิถีพื้นเมืองน่าน
ภาพนี้ดูเหมือนกับว่าหญิงสาวคงเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหรือร้องไห้ก็ไม่ทราบได้
ภาพชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาเมืองน่านช่วงรัชกาลที่ 5 ทรงผม และเครื่องแต่งกายของผู้หญิงเป็นรูปแบบเดียวกับที่กำลังเป็นที่นิยมในยุโรปขณะนั้น
ตอนนี้ผมมีความสุขกับการค่อยๆดูภาพเขียนบนฝาผนังของวัดแห่งนี้ ไม่ต้องรีบร้อน ดูแบบรอบ 4 ทิศไปเรื่อยๆจนวนมากกว่า 1 รอบแล้ว อาศภายในก็เย็นสบายด้วย ไม่ร้อนครับ
มาดูงานแกะสลักบนเสาไม้กันบ้าง สวยงามไม่แพ้ใคร
ภาพนี้คงเป็นเรือกำปั่นขนส่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทยเรา มีรายละเอียดต่างๆ เช่นรูปธงชาติติดอยู่บนเสาเรือ รูปนกที่บินเข้ามาเล่นบนผิวน้ำรอบๆเรือ
วัดภูมินทร์แห่งนี้ เป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระนครดังปรากฏชื่อตำบลในเวียงในปัจจุบัน อยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ตามพงศาวดารของเมืองน่าน พระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์เจ้าผู้ครองนครน่านได้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี เมื่อ พ.ศ.2139 มีปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือว่าเดิมชื่อ “วัดพรหมมินทร์” แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็นวัดภูมินทร์
จุดเด่นของวัดนี้คือพระประธานจตุรทิศหรือสี่ทิศ
ด้วยสถาปัตยกรรมล้านนาแบบพิเศษ การออกแบบที่สอดคล้องกันทุกจุด ฐานเจดีย์ที่อยู่ ณ ศูนย์กลางจุดตัด เป็นแกนประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัยทั้ง 4 องค์ แต่ละพระพักตร์ล้วนแตกต่างกันไป สื่อถึงพระพุทธเจ้า 4 พระองค์คือ พระเจ้ากกุสันโธ โกนาคม กัสสปะ และโคตมะ จนได้รับการโปรโมตจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยช่วงปี 46 ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบ Unseen in Thailand
วัดภูมินทร์ยังไม่จบนะครับ เข้าไปชมภายในสถูปเจดีย์พระมาลัย โปรดโลกกันครับ ภายในก็จะเป็นรูปปั้นจำลองนรกสำหรับคนที่ทำบาป
ไหว้พระในวิหารหลวงก่อนนะครับ พระพัตร์มองลงมาช่างงดงามเหลือเกิน
พระธาตุเจดีย์ช้างค้ำวรวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีลิกธาตุไว้ภายใน นับเป็น ปูชนียสถานสำคัญ เป็นเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะสุโขทัย จากเจดีย์ทรงลังกา คือเจดีย์วัดช้างล้อมนั่นเอง พระธาตุเจดีย์ สร้างด้วยอิฐถือปูนมีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลื่ยมจัตุรัสซ้อนกัน 3 ชั้น กว้างด้านละ 9 วา ฐานจากชั้นแรกสูงถึงชั้นสอง มีรูปช้างค้ำอยู่ในลักษณะเหมือนฐานรองรับไว้ด้านละ 6 เชือก รวมทั้งหมด 24 เชือก ช้างแต่ละตัว โผล่ส่วนหัวลอยออกมาครึ่งตัว ขาหน้าทั้งคู่ยื่นพ้นออกมาจากเหลี่ยมฐาน เหนือขึ้นไปเป็นฐานปัทม์ (ฐานบัว) ซ้อนกัน 3 ชัน และเป็นองค์ระฆังแบบลังกา ต่อจากองค์ระฆังทำเป็นฐานเขียงรองรับมาลัยลูกแก้วลดหลั่นกันไป เป็นส่วนยอด ปัจจุบันพระธาตุเจดีย์ช้างค้ำได้รับการบูรณะซ่อมแซม และหุ้นด้วยแผ่นทองเหลืองทั้งองค์ มีความสวยงามมาก
ต่อจากนั้นข้ามถนนเล็กๆไปยังอีกฝั่งหนึ่งเพื่อไปไหว้พระที่วัดหัวข่วง วัดที่ 4 วัดที่ผมได้ถ่ายรูปมาเมื่อค่ำของเมื่อวานนี้ รูปปั้นพระภายในอุโบสถครับ
เจดีย์วัดหัวข่วง ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงประสาท หรือเรือนทอง อิทธิพลศิลปะล้านนา
หลังจากที่ได้เดินชมศิลปะวัฒนธรรมภายในวัดมา 4 วัดในเมืองน่านแล้วนั้น เหลืออีกอย่างก็คือประเพณีแข่งเรือที่สืบสานกันมานมนาน ซึ่งจะไปชมกันต่อ ต่อจากนั้น จึงค่อยเริ่มไปไหว้พระในวัดอื่นๆอีกให้ครบตามที่เวลาจะสามารถอำนวยได้
ผมเดินผ่านถนนหน้าพระธาตุช้างค้ำซึ่ง ณ บัดนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ออกร้านขายสินค้าพื้นเมืองจากอ.ต่างๆของจังหวัดน่าน ผ้าทอหรือผ้าพื้นเมืองก็จะเห็นแสดงและนำมาขายอยู่หลายๆร้าน
เดินไปเรื่อยๆ เจอวัดอีกแล้ว ก็เลยต้องเข้าไปไหว้ซะหน่อย วัดกู่คำ วัดที่ 5
เดินเบียดเสียดกับคน ร้อนก็ร้อน เวลาก็ล่วงเลยมาจะบ่ายอยู่แล้ว จึงแวะหาอะไรง่ายๆทานไปเดินดูของไปด้วย จึงหนีไม่พ้นลูกชิ้นปิ้ง
แม้ว่าแดดจะร้อน แต่พี่ๆน้องๆก็มาชมการแข่งเรือที่นี่อย่างเต็มร้อย แต่จะเห็นว่าทุกคนเตรียมอุปกรณ์ป้องกันแดดมาล่วงหน้า นั่นคือร่ม ! กางกันเต็มไปหมด ฝั่งสะพานก็มีคนไปออเต็มสะพานเหมือนกัน
วัดมิ่งเมืองแห่งนี้ถือเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบร่วมสมัยที่ผสมผสานกับแนวความคิดสมัยใหม่ โดยเฉพาะลวดลายศิลปะปูนปั้น ที่ประดับตกแต่งตัววิหาร มีความสวยงามวิจิตรบรรจงมาก ในภาพเป็นลวดลายปูนปั้นของเสาวิหารทางด้านขวามือก่อนจะเข้าไปภายใน
ภายในวิหารเพิ่งเสร็จจากพิธีทอดกฐินของเหล่าพุทธศาสนิกชนเมื่อวานนี้
เหมือนกับวัดอื่นที่บนผนังจะมีภาพเขียนบรรยายวิถีชีวิตสมัยก่อน แต่ในวัดมิ่งเมืองนี้เป็นภาพเขียนจากช่างสมัยปัจจุบัน ภาะดังกล่าวจึงสีสีนสดและยังดูใหม่ แต่แนวศิลปะของภาพนั้นเหมือนกัน
นี่แหล่ะครับ เสาหลักเมืองหรือเสามิ่งเมืองที่ชาวบ้านเรียกกัน ตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังปรับปรุงสถานที่
ผมต้องการเก็บวัดละแวกเทศบาลเมืองนี้ให้หมดก่อนไปวัดที่ห่างออกไป วัดพญาภู วัดที่ 7
พระประธานในอุโบสถ
ต่อจากนั้น ผมเตรียมตัวเพื่อจะออกจากตัวเมืองน่านไปวัดที่อยู่ไกลออกไป นั่นคือวัดพระธาตุเขาน้อย วัดที่ 8 ถึงบนเขาน้อยเกือบบ่ายสามโมงครึ่ง
ณ จุดนี้ สามารถมองเห็นวิวเมืองน่านได้ทั้งเมือง
ก่อนออกไปถนนใหญ่ ผมแวะที่วัดใกล้ๆอีกวัดคือวัดพญาวัด วัดที่ 9 ภายในอุโบสถมี “พระเจ้าฝนแสนห่า” พระไม้เก่าแก่ซึ่งชาวเมืองน่านเคยนำมาแห่ขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล
ลวดลายปูนปั้นอีกแห่งหนึ่งในเสาของวัดศรีพันต้น
ผมไปถึงวัดหนองบัว วัดที่ 11 เกือบ 5 โมงเย็น วัดที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังสมัยโบราณไม่แพ้กว่าวัดภูมินทร์เหมือนกัน
เชิญครับเชิญ...ไปกราบพระด้วยกัน
ที่วัดแห่งนี้ภาพเขียนชำรุดค่อนข้างมากแล้วหล่ะครับ เสียดายมากๆครับ ใครไม่เคยมาดูรีบมาดูนะครับ ไม่งั้นคงหาดูไม่ได้อีกแล้วสำหรับฝีมือช่างหรือสล่าชาวล้านนา
ชายหญิงกำลังเกี๊ยวพาราสีกัน ด้านบนมีตัวอักษรสีดำภาษาอะไรไม่ทราบได้เขียนจารึกไว้พร้อมกับภาพ ผมเดาว่าน่าจะเป็นการบรรยายภาพที่วาดอยู่ด้านล่าง
ผมได้ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนขี่มอเตอร์ไซด์นำทางไป
ผมขับรถเที่ยวชมหมู่บ้านหนองบัวนี้อยู่หลายรอบเนื่องจากชื่นชมบรรยากาศบริสุทธิ์ของที่นี่ ชอบท้องนาและกองฟาง
หลังจากจบการเที่ยวชมศิลปะวัฒนธรรมเมืองนันทบุรีศรีนครน่านแล้ว ผมเดินทางต่อไปยังอ.เชียงกลาง เพื่อไปพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ได้จองไว้ มีชื่อว่าไร่จุฑามาศรีสอร์ท เลยตัวอ.เชียงกลางไป 6 กม. ทางเข้าเลี้ยวซ้ายไปไร่ 1 กม.นั้นถือว่าน่ากลัวมากเนื่องจากถนนขรุขระและตอนมืดแล้ว แต่สุดท้ายก็เจอกับบรรยากาศที่สวยงามตามที่หาข้อมูลมาก่อนในเว็บ ไม่ผิดหวังจริงๆ
มาตั้งไกลแต่ก็ยังไม่ขนาดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ ตู้เย็น(มีเครื่องดื่มและขนมอยู่ข้างใน) แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น พร้อมกับบรรยากาศธรรมชาติอย่างนี้ สุดยอดครับ
ขอจบการเดินทางในวันที่สองเพียงเท่านี้ ไว้รุ่งขึ้นมาดูกันว่า เส้นทางสายโรแมนติกที่เขาว่านั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วติดตามกันต่อไปครับ สวัสดี...
Original Published on www.pantip.com at [ 28 ต.ค. 49 11:19:05 ] as below link
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น