วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เที่ยวจังหวัดแพร่, น่าน(ครั้งที่ 4) ตอน น่าน...กลับมาครั้งนี้ไม่มีเหงา

เป็นอีกหนึ่งทริปที่ยังไม่ได้ลงเนื่องจากมีเวลาไม่มากนักหลังจากกลับมาจากน่าน เพราะต้องเตรียมตัวเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา 

ไปน่านครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้วช่วงปีใหม่ตรงที่ไม่ได้ไปคนเดียว เลยทำให้ทริปนี้ไม่เหงา ถ้านับแล้วการไปเยือนน่านครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 4 อะไรที่ทำให้ต้องกลับไปเยือนอีกหลายๆครั้ง คงตอบไม่ได้ ก็แค่ใจมันอยากไปเท่านั้นเอง...  ครั้งนี้จึงไม่มีรายละเอียดมากมายนัก แค่บันทึกด้วยภาพเท่านั้นเองครับ
(เที่ยวน่านครั้งก่อนๆ :-


ออกเดินทางจากสระบุรีช่วงเช้าไปถึงจังหวัดแพร่บ่ายสามโมงนิดๆ


ครั้งนี้ไม่ลืมที่จะกลับไปวัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี สามสามแยกเด่นชัยเลี้ยวซ้ายไปไม่ไกลก็ถึง


มียักษ์เฝ้าปากทางเข้าอย่างขึงขัน


มุมเดิมๆของพระธาตุกับครั้งที่แล้วแต่ฟ้าหม่นไปมาก


เตรียมตัวที่จะเข้าไปภายในวิหาร มีพญานาคเฝ้าอยู่ 3 ตัว


ไปกราบพระกันก่อนครับเพื่อเป็นสิริมงคล


มีช้างหลายเศียรเลยที่ยืนเฝ้า


และก็ได้เวลาอำลาวัดนี้ไป เพื่อเดินทางต่อไปน่าน จุดหมายของเราในทริปนี้


จากร้องกวางมาเรื่อยๆแทนที่จะตรงไปเวียงสาและเข้าตัวเมืองน่าน เราย้อนรอยเส้นทางเดิมกับคราวที่แล้วคือ มาแวะอช.ขุนสถาน ที่ที่ครั้งหนึ่ง "โลกทั้งใบเป็นสีชมพู" มาแล้วในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่มาครั้งนี้ดูเหงียบเหงาจริงๆ จะคึกคักอีกครั้งก็คงช่วงหน้าหนาวที่จะมาเยือนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้


ในเช้าของวันรุ่งขึ้น เราไปไหว้พระประธานจตุรทิศ หรือพระประธานสี่ทิศของวัดภูมินทร์ในตัวเมืองน่านนั่นเอง


ภาพจิตรกรรมฝาผนังศิลปกรรมไทลื้อ อันโด่งดังของไทยเรา โดยเฉพาะภาพนี้เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของวัดภูมินทร์เลยก็ว่าได้ถ้าเห็นภาพนี้


อีกภาพหนึ่ง


พระอุโบสถซึ่งรัฐบาลไทยเคยพิมพ์รูปวัดภูมินทร์ในธนบัตรใบละ 1 บาท ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว


แล้วก็ได้เวลาไปไหว้พระธาตุช้างค้ำ


ละแวกใกล้ๆกันเป็นวัดหัวข่วง มีหอไตรเก็บพระไตรปิฎกไว้


ตรงกันข้ามโดยมีถนนเล็กๆคั่นก็เป็นพิพิธภัณฑ์จังหวัดน่าน แต่มาครั้งนี้ขอแค่ถ่ายภาพทางเดินที่สองข้างทางเป็นต้นลีลาวดีแค่นั้นพอ


แล้วก็ไปไหว้พระที่วัดมิ่งเมือง วัดที่มีเสาหลักเมืองอยู่ วัดนี้ถือได้ว่าเป็นวัดที่มีลวดลายศิลปะปูนปั้น ที่ประดับตกแต่งตัววิหาร มีความสวยงามวิจิตรบรรจงมาก ๆ


เข้าไปไหว้พระข้างในวิหารกันครับ


บ่ายโมงกว่าๆ ฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาแล้ว ไม่เป็นไร เอาร่มไปด้วย ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับไปไหว้พระธาตุแช่แห้ง พระธาตุสำหรับคนเกิดปีกระต่ายปีของผมนั่นเอง ฮ่าๆ


พระประธานสีทองเหลืองอร่าม ข้าพเจ้าขอเพียงปกปักษ์รักษาเราทั้งสองตลอดที่อยู่ในน่าน 3 วันนี้


องค์พระธาตุอีกครั้ง


เราเดินทางออกจากตัวเมืองน่านไปยังอ.ปัว แน่นอนว่าเราต้องแวะวัดหนองบัว


วัดที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบดั้งเดิมอีกแห่งของจังหวัดน่าน แต่น่าเสียดาย ภาพเหล่านี้กำลังลบเลือนไปตามกาลเวลา ใครยังไม่เคยดูกับตาคงต้องรีบมาแล้วนะครับ


ถึงฝนจะตกตลอดทางแต่เราก็ไม่หวั่นที่จะดั้นด้นไปอุทยานแห่งชาติดอยภูคาให้ได้


มาถึงด้านบนอุทยานก็สี่โมงครึ่งแล้ว รีบหาอะไรทานแล้วก็รีบเข้านอนซะ วันนี้เลยเงียบๆเหงาๆ นักท่องเที่ยวก็น้อยเหลือเกิน ตื่นขึ้นมาตอนเช้าของอีกวันก็ต้องเดินทางต่อ ผ่านที่พักของอช.ที่เป็นบ้านเกวียน ราคาไม่แพง ใช้ห้องน้ำรวม


จากอช.ดอยภูคา เราจะไปบ่อเกลือก็ต้องใช้เส้นทางนี้ โดยก่อนจะออกจากอช.จะผ่านต้นชมพูภูคาซึ่งขณะไม่มีดอกให้ชมแล้วครับ จะบานก็ช่วงกพ.-มีค. ของทุกปี


9:25 น.ก็ถึงอ.บ่อเกลือแล้ว ผ่านไปหลายเดือนอยู่ สะพานที่ชำรุดเมื่อปีใหม่ก็ยังชำรุดต่อไป


แวะชมชาวบ้านเขาต้มเกลือกัน


แล้วก็เริ่มหิว เลยฝากท้องไว้กับร้านใกล้ๆกัน ข้าวซอยไก่คือเมนูที่เราสั่งมาทาน


ผ่านตัวอ.บ่อเกลือตรงไปศูนย์ภูฟ้าพัฒนาจนได้ วันนี้เงียบเหงาอีกเช่นเดิม เนื่องจากยังไม่ใช่ช่วงเทศกาลท่องเที่ยว เข้าไปซื้อของที่ระลึกในร้าน พี่หนึ่งที่ขายของจำผมได้เป็นอย่างดี และได้อ่านข้อมูลที่ผมเคยโพสต์ไว้ด้วย ดีใจจังที่นักท่องเที่ยวหลายๆคนเริ่มรู้จักที่นี่มากขึ้นจากกระทู้ของผม (ตามกระทู้นี้ การกลับมาน่านอีกครั้ง บนเส้นทางสู่บ่อเกลือ จากน้ำปาดข้ามแพสู่ปากนาย ผ่านสันติสุข จุดหมาย -> ภูฟ้า)


ดีใจมากๆ ที่บอร์ดของภูฟ้าพัฒนา นำรูปของผมที่โพสต์ในพันทิป ไปประกอบในรายงานถึง 3 รูปด้วยกัน (รูปแบบสี่เหลี่ยม 2 รูป และรูปแบบกลม 1 รูป ตามกระทู้นี้ การกลับมาน่านอีกครั้ง บนเส้นทางสู่บ่อเกลือ จากน้ำปาดข้ามแพสู่ปากนาย ผ่านสันติสุข จุดหมาย -> ภูฟ้า)


และแล้วก็ได้เวลากลับกทม.ซะที เลือกกลับเส้นทางที่ผ่านอ.สันติสุข ไม่ย้อนทางเดิมที่ไปออกอ.ปัว คอนเซ็ปเดิมในการขับรถเที่ยวเมืองไทย ไม่งั้นไปไม่ครบแน่ๆ


ช่วงอ.สันติสุข ทางลงเขาคล้ายๆกับเส้นปายไม่มีผิด เอาทางโค้งนี้มายืนยัน


วิวบนเส้นทางนี้สวยจริงๆครับ ใครเป็นนักขับรถทัศนาจรต้องมาเส้นนี้ให้ได้นะครับ รถไม่เยอะด้วย


เลือกกลับเส้นที่ข้ามแพจากปากนายไปอ.น้ำปาด อุตรดิตถ์อีกแล้ว มาถึงเกือบห้าโมงเย็น แล้วจะกลับถึงกทม.ตีไหนเนี่ย ?


ไปถึงก็ต้องรอแพอีกเกือบๆชั่วโมง โห....เสียเวลามากๆ แต่ช่างเถอะ ยังไงก็กลับไม่ทันแล้ว เอารถลงแพข้ามไปฝั่งตรงข้ามกันเถอะ

ก็เป็นอันจบทริปน่านในครั้งที่ 4 ของผม ใครยังไม่เคยไปน่าน หนาวนี้คงต้องเตรียมตัวแล้วนะครับ ดอกซากุระเมืองไทย(ดอกนางพญาเสือโคร่ง)รอคุณอยู่ครับ ขอบคุณที่เพื่อนๆแวะเข้ามาชมนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ

Original Published on www.pantip.com at [ 8 ส.ค. 51 00:26:10 ] as below link

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น