หลังจากที่ส่งโปสการ์ดที่ทำเอง ณ ที่ทำการไปรษณีย์ด่านซ้าย เราก็เบนเข็มกลับทางลัดโดยไม่ผ่านวัดโพนชัย ซึ่งขณะนั้นมีการประกวดท่าเต้นผีตาโขนอยู่ จริงๆแล้วเราควรที่จะไปไหว้พระธาตุศรีสองรักก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเชียงคาน แต่ด้วยฝนที่เทลงมาปรอยๆ เกรงว่าจะไม่สะดวกและเสียเวลาด้วยหลายๆประการ เลยเปลี่ยนแผนไปเชียงคานก่อนแล้วค่อยกลับมาไหว้ในวันรุ่งขึ้นขากลับเข้ากรุงเทพ
ดูจากแผนที่แล้ว คิดว่าก่อนถึงเมืองเลยให้เลี้ยวซ้ายเพื่อจะไปเส้น 201 ไปยังเชียงคาน แต่เอาเข้าจริงๆ เขาทำทางให้ขับเลี้ยวไปตามทางไม่มีเลี้ยวซ้ายแต่อย่างใด โดยตัวเมืองเลยต่างหากที่จะต้องเลี้ยวขวาออกไป บางครั้งแผนที่ใหญ่ๆ ดูแล้วก็อาจงงได้เหมือนกัน
เรามาถึงเชียงคานเกือบๆหกโมงเย็น วนหาเกสเฮ้าส์อีกประมาณ 15 นาที ในที่สุดก็มาถึงเชียงคานเกสเฮ้าส์ ที่หลายๆคนกล่าวถึงในเว็บท่องเที่ยวเชิงแบกเป้ พอจอดรถด้านหน้าแล้วก็ลงเข้าไปถามว่ามีห้องว่างมั๊ย เด็กผู้หญิงที่กำลังกวาดพื้นอยู่ก็บอก มีว่าง สอบถามราคาก็บอกกลับมาว่า 200 บาท เป็นห้องพัดลม แล้วเชื้อเชิญพาเราไปดูห้องจริงๆที่อยู่ด้านบนชั้น 2 ลืมบอกไปว่าที่นี่บ้านส่วนใหญ่จะมี 2 ชั้น โดยเฉพาะบ้านไม้
วันนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวพักเลย เราเป็นแขกรายแรกของวัน น้องเปิดห้องที่วิวดีที่สุดของที่นี่ให้เราชม แน่นอนว่ามันคือห้องที่ติดริมโขงนั่นเอง
พอตัดสินใจเลือกพักที่นี่แล้ว ก็นำเอาข้าวของมาเก็บภายในห้อง ช่วงนี้ขอหย่อนกายลงที่โต๊ะหน้าริมระเบียงซึ่งติดริมน้ำโขงก่อน เตรียมโปสการ์ดที่เหลือมา 1 ใบจากงานผีตาโขนเพื่อนำมาส่งที่เชียงคานตามคำขอร้องแกมบังคับจากเพื่อน BP คนหนึ่ง หวังว่าเจ้าตัวอ่านแล้วคงทราบโดยพลัน
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะต้องมาขี่จักรยาน แต่ได้มาก็ต้องขี่เที่ยวบริเวณนี้อยู่แล้ว วัดด้านขวาที่เห็นเป็นวัดท่าแขก ส่วนด้านซ้ายมีชาวบ้านนิยมมาวิ่งออกกำลังกายตอนเย็นๆ
สองข้างทางก็จะเป็นบ้านไม้ซะส่วนใหญ่ นอกนั้นก็จะเป็นอาคารปูนแต่ยังคงอนุรักษ์แบบของเก่าไว้
ที่บริเวณริมโขง เกือบจะเป็นแสงสุดท้ายของวันแล้ว
ก่อนกลับที่พัก แวะทานอาหารเย็นที่นี่ แสงทองผับ ตอนแรกสั่งโจ๊ก แต่ไม่มีเลยเปลี่ยนเป็นก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นละกัน รสชาติอร่อยดี
หลังจากทานก๋วยเตี๋ยวและเครื่องดื่มที่ร้านนี้เสร็จ เราก็กลับที่พัก ได้คุยกับพี่พิมก่อนที่จะขอตัวไปอาบน้ำพักผ่อนที่ห้อง จวบจนเวลานี้ ชั้นสองก็ยังมีเราพักอยู่ห้องเดียวบวกกับห้องของเด็กที่ช่วยงานอีกคงสักหนึ่งห้อง ช่วงสองทุ่ม ที่นี่จะได้ยินเสียงของคาราโอเกะจากบ้านข้างๆที่อยู่ห่างไปเพียง 2 หลัง แต่ดีที่คนร้องมาเปิดเพลงเก่าๆ ยังทำให้พอฟังได้หน่อย แต่จริงๆแล้วก็ไม่ควรที่จะมีเลย เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น หลังจากผมพลอยหลับไป ตื่นมาอีกทีก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว เสียงคาราโอเกะหายไป คงปิดร้านไปเรียบร้อยแล้ว แต่ดันมีเสียงหัวเราะเป็นเสียงผู้หญิงวัยรุ่นท่าจะได้ หัวเราะขำอะไรสักอย่าง ซึ่งช่วงแรกๆผมก็คิดว่าคงดูรายการโทรทัศน์แล้วมีตลกมาก็เลยขำออกมา แต่เอ.....ไปๆมาๆ ทำไมเสียงหัวเราะงอหายมันเป็นจังหวะ เหมือนกับมีรอบของมันอยู่ หัวเราะแล้วเข้ามาจุดเริ่มต้นเสียงหัวเราะใหม่ แล้วมีเพียงเสียงเดียวด้วย เสียโทรทัศน์ก็ไม่ได้ยิน จนคืนนี้ผมนอนไม่หลับอยู่คนเดียว ซึ่งผมพยายามหาคำตอบหลายๆอย่าง แต่ก็คิดไม่ออก เลยยังคงเป็นปริศนาจนขณะนี้(ใช้วิจารณญาณด้วยครับ)
พอแสงแรกของวันสาดส่องมายังบานเกล็ดของห้อง ผมก็ใจชื้นมากขึ้น คงไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว แต่ก็ให้แปลกใจว่า ลงไปข้างล่าง พี่พิมกำลังคุยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งแกบอกว่าผีหน่ะ มีอยู่แล้วที่นี่ แกเป็นคนเรียกมาเองถ้าอยากจะเรียก โดยที่ผมก็ยังแปลกใจว่ายังเองก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ถามแกไป หรือผมอาจจะคิดมากไปเองก็เป็นได้
ยามเช้าอากาศก็สดชื่นอย่างนี้แหล่ะ นั่งชมวิวเรือแล่นผ่านน้ำโขงไปลำแล้วลำเล่า
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าพระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์ ตั้งอยู่ที่ภูคกงิ้ว บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม ประดิษฐานอยู่บนเนินเขาบริเวณปากลำน้ำเหืองจรดกับแม่น้ำโขง เป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมเรซิ่นสีทองทั้งองค์ สูง 19 เมตรตัวฐานกว้าง 7.2 เมตร สร้างขึ้นโดยกองทัพภาคที่ 2 และประชาชนเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 6 รอบ เมื่อ พ.ศ. 2542 และในมหามงคลแห่งราชพิธิราชาภิเษก ครบ 50 ปี พ.ศ. 2543 สร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2544 บริเวณโดยรอบสามารถชมทัศนียภาพที่สวยงามของแม่น้ำโขง และประเทศลาวได้
จากท่าลี่เรายังใช้เส้นเลียบชายแดนไทย-ลาวเช่นเดิม ขอบอกว่าถนนโล่งมากๆ บรรยากาศก็ดี นานๆครั้งจะมีรถสวนมาซะที ในเมื่อเป็นถนนเลียบชายแดน ด่านตรวจแบบนี้ก็จะเห็นอยู่เนืองๆ โดยประมาณเราผ่านด่านตรวจมาแล้วก็ 4-5 ด่านเห็นจะได้
ผมเลือกใช้เส้นที่มาออก 2114 เพื่อไปโผล่ที่ด่านซ้ายเลย ไม่ออกไปที่ภูเรือก่อน ซึ่งก็สวยแบบไม่ผิดหวัง
วันนี้ฟ้าครึ้มอีกแล้ว ฝนเตรียมที่จะตกลงมาอีกไม่นาน
พระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นถวายเป็นอุเทสิกเจดีย์ (หมายถึงเจดีย์สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศให้พระศาสนา โดยไม่กำหนดว่าต้องเก็บรักษาสิ่งใด) สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2103 เสร็จในปี พ.ศ.2106 พระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ระหว่างกรุงศรีอยุธยา(สมัยพระมหาจักรพรรดิ)และกรุงศรีสัตนาคนหุต(เวียงจันทน์)สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับองค์พระธาตุศรีสองรัก คือ ไม่ควรนำสิ่งของหรือดอกไม้สีแดงขึ้นบูชา ไม่ควรแต่งกายด้วยชุดสีแดงขึ้นไปนมัสการ เพราะองค์พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อสัจจะและไมตรี สีแดงเป็นสัญญลักษณ์ของเลือดและความรุนแรง ไม่ควรกางร่ม สวมหมวกและสวมรองเท้าขึ้นไปบนพระธาตุ
ส่งท้ายกันด้วยวิว ณ จุดชมวิวก่อนจะออกจากด่านซ้ายครับ มองเห็นวัดป่าเนรมิตรวิปัสนา ซึ่งปีนี้เราไม่ได้ไปกัน
ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาชมภาพ อ่านเรื่องราวกันนะครับ เมืองไทยมีประเพณีที่ดีงามให้พวกเราชาวไทยไปเที่ยวได้ตลอดเลย วอนเก็บรักษาประเพณีดีๆนี้ไว้นะครับ ราตรีสวัสดิ์ (_/\_)
==========
ขอขอบคุณ
กล้องตัวใหม่ Canon Digital SLR EOS 350D
คุณ Clinker(คนที่เคยให้ยืม CF 1 GB ตอนไปหลีเป๊ะครั้งที่ผ่านมา) ที่ให้ยืมเลนส์ Tele SIGMA 18-200 mm. f/3.5-5.6
เว็บข้อมูลท่องเที่ยวไทย
http://www.oceansmile.com/
http://sunsite.au.ac.th/thailand/special_event/ghost/indext.html
http://www.thai-tour.com/
ข้อมูลภาพถ่าย
-ภาพทุกภาพถ่ายที่ 8 MPixel ขนาดใหญ่สุดของกล้องที่ทำได้
-ถ่ายแบบ JPEG
-โหมด P
-ISO 100 - 200 สำหรับกลางแจ้ง, 400 สำหรับในร่มเช่นพิพิธภัณฑ์
-Auto WB
-ใช้ Parameters แบบ Parameter 1 ในกล้องที่เซ็ทค่ามาแล้ว
-ทุกภาพโหลดจากกล้องเข้าคอมฯ ผ่าน Photoshop ในการ Resize --> ใส่กรอบ --> เขียนตัวอักษร --> Save for web(Optimize to file size= 64 KB) แค่นั้น ไม่ได้ตกแต่งภาพใดๆอีก
==========
กิโลเมตรสิ้นสุด : 258,311
เวลาล้อหยุด : 21:30 น.
รวมระยะทาง 1,261.7 กม.
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น