วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2549

ปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน ตอน 2 ลาแล้วเมืองสามหมอก-ปางอุ๋ง...เจอกันใหม่เมื่อใจต้องการ


.....เมื่อคืนหลังจากร่ำลาลุงปาละและป้าศรี ผมจำต้องขี่มอเตอร์ไซค์แบบไม่มีไฟหน้าแต่ยังดีที่ลุงปาละให้ยืมไฟฉายมาส่องทางระหว่างกลับที่พัก ณ รวมไทยเกสท์เฮ้าส์ จึงเป็นบทเรียนอีกบทหนึ่งว่าถ้าเช่ารถครั้งต่อไปนั้น ให้ตรวจเช็คไฟหน้าด้วย

ฝนตกปรอยๆระหว่างทาง แต่ไม่ถึงกับเปียกมากนัก พอเข้าที่พักผมจัดแจงจุดเทียนและตั้งทิ้งไว้ วันนี้เหนื่อยกับการเดินทางเหลือเกิน ผมเลยลงนอนกับเตียง ผลอยหลับไปตอนไหนไม่รู้แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ลืมตามาแล้วมองไม่เห็นอะไรเลย หลับตากับลืมตาผลเท่ากัน จึงลนลานหาไฟฉายแล้วส่องดู ครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ตัวเองรู้สึกตกใจมาก สงสัยผมคงเหนื่อยและเพลียมากจริงๆด้วย เลยไม่รู้ว่าหลับไปพร้อมกับแสงเทียนที่ดับลงไปเมื่อไหร่ไม่รู้



ผมตื่นนอนมาอีกทีก็ตอนตีห้าครึ่งได้ เปิดหน้าต่างออกไปเพื่อดูว่าเริ่มมีแสงหรือยัง ทำอย่างนี้สลับกันไปทุก 10 นาที จนเกือบหกโมงเช้าก็ได้เวลาลุกจากเตียงพร้อมกับถ่ายแสงแรกของเช้าวันใหม่


ยามเช้าที่อ่างเก็บน้ำห้วยปางตอง ปางอุ๋ง แห่งนี้ เงียบเชียบจริงๆ เมื่อคืนมีนักท่องเที่ยวมาค้างที่นี่อีกกลุ่มหนึ่ง เห็นออกมาถ่ายรูปบริเวณนี้เหมือนกัน


ที่ผิวน้ำแผ่กระจายเป็นวงน้อยๆ น่าจะเกิดจากการเคลื่อนไหวของแมลงหรืออะไรสักอย่างใต้ผิวน้ำแห่งนี้


ผมเดินออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพให้ไม่ได้ พร้อมกับกล้องคู่กาย เจ้าหนอนน้อยแบบกะทัดรัดนั่นเอง


แพที่นี่ให้นักท่องเที่ยวเช่าได้ รู้สึกราคาจะ 100 บาท/ชม. นั่งได้ 2 คน


เดินไปเรื่อยๆ เป็นมุมเดิมกับที่ถ่ายมาเมื่อวาน แต่สภาพแสงแตกต่างกัน


เดินถ่ายแนวสนไปพลางๆ เช้าวันนี้เงียบเชียบทีเดียว


ผมเดินค้นหาอะไรบางอย่างยังใจจดใจจ่อ สุดท้ายก็เจอจนได้ หงส์สองตัวดำกับขาวว่ายเคียงคู่กันอยู่ไกลออกไป ทำได้เพียงแค่ซูมเข้าไปถ่ายจนสุดความสามารถของกล้องแล้ว

มาที่ปางอุ๋ง เจ้าหงส์คงเป็นดาราหน้ากล้องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ต้องกะจังหวะดีๆว่ามันจะออกมาว่ายน้ำให้เราถ่ายกันเมื่อไหร่เท่านั้นเอง


ที่เกสท์เฮ้าส์แห่งนี้เตรียมพร้อมบ้านพักอีก 3 หลัง คงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาในหน้าหนาวอันใกล้นี้ เป็นบ้านพักแบบชนเผ่า


ได้เวลาแปดโมงเช้า ผมก็มาถึงที่บ้านลุงปาละเพื่อทานอาหารเช้า ผมบอกกับป้าศรีว่าขอแค่ข้าวไข่เจียวพอ พร้อมๆกับกาแฟสดร้อนๆ


ป้าศรียกลูกแมวที่เพิ่งคลอดออกมาดูโลกได้ไม่กี่วัน เพื่อให้ผมเก็บภาพไว้


แปดโมงครึ่งก็ถึงเวลาที่ผมต้องร่ำลาลุงและป้าทั้งสองเพื่อกลับตัวเมืองแล้ว แต่ก่อนจะกลับผมจะแวะบ้านรักไทย(แม่ออ)เพื่อถ่ายรูปบรรยากาศซะกะหน่อย ระหว่างทางเจอวิวไอหมอกบนเขาไกลๆก็ถ่ายเก็บภาพเอาไว้


ขากลับส่วนใหญ่เป็นทางลงเขาแล้วหล่ะ ขับขี่รถระมัดระวังหน่อยนะครับ


พอถึงสามแยก ก็ต้องเลี้ยวซ้ายไปตามทางลาดยางอีกประมาณ 6 กม. ก็จะถึงบ้านรักไทย ขี่ต่อไปเรื่อยๆก็จะมีป้ายบอกทางตลอด รับรองมือใหม่ไม่หลงแน่
กิจกรรมถ้ามาที่นี่ก็คงหนีไม่พ้นชิมชา และทานขาหมูหมั่นโถว


ระหว่างทางไม่เจอรถขับสวนมาสักกะคัน สามารถทำความเร็วได้ แต่ขี่ช้าๆหน่อยก็ดีนะ
บ้านสวยๆตั้งอยู่บนเนินเขาห่างออกไปจากถนน ไม่แน่ใจว่าเป็นสถานที่ใด เพราะหาทางขึ้นไม่เจอซะด้วย


สภาพอากาศค่อนข้างไม่เป็นใจสักเท่าไหร่ มีฝนตกลงมาเป็นละออง ในใจไม่อยากให้ตกหนักกว่านี้เลย เสื้อผ้าสำรองไม่มีแล้ว
สักครู่ผมก็มาถึงซุ้มทางเข้าเขตบ้านรักไทยหรือชาวบ้านเรียกกันว่า"แม่ออ"


หลังจากผ่านซุ้มมาก็เจอกับด่านตรวจของทหาร แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่มีด่านเพราะบริเวณนี้ใกล้เขตชายแดนพม่ามาก ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร
เด็กๆออกมาขี่จักรยานเล่นเพื่อออกกำลังกายเหมือนกัน


ที่บ้านรักไทยก็มีอ่างเก็บน้ำเหมือนกัน ผมจอดมอเตอร์ไซค์เพื่อเก็บภาพบรรยากาศ


อีกวิวหนึ่งของแอ่งน้ำ ณ บ้านรักไทย


เดินทางต่อไปเพื่อไปยังบ้านดิน มีเด็กหญิงตัวน้อยๆยืนเป็นฉากให้


บ้านดินนี้ใช้เป็นร้านอาหารและร้านขายชาด้วย ณ เวลานี้นักท่องเที่ยวยังไม่มีมา หรืออาจจะไม่มีเลยก็เป็นได้ เพราะยังไม่ถึงหน้าเทศกาลท่องเที่ยวของที่นี่


พอเก็บภาพที่บ้านรักไทยได้ตามที่ตั้งใจไว้แล้วนั้น ผมรีบบึ่งรถกลับตัวเมืองทันที เกรงว่าฝนจะตกมา ระหว่างทางขากลับก็จะมีวิวสวยๆแบบนี้อีกแล้ว เป็นทางลงเขาที่ยาวและชันพอประมาณแต่บรรยากาศรายรอบทำให้ไม่รู้สึกยากลำบากแต่อย่างใด


ก่อนถึงทางแยกไปพระตำหนักปางตอง ผมแวะที่ศูนย์ไผ่ศึกษาแม่ฮ่องสอน เนื่องจากเสียงน้ำตกชั้นเตี้ยๆกระทบหูมาแต่ไกล อดไม่ได้ที่จะจอดแวะและเก็บรูป


เห็นแล้วนึกถึงประโยคที่ว่า "สายน้ำไม่มีวันไหลกลับ" จริงๆ นั่นแหล่ะจึงทำให้ผมออกเดินทางไปตามที่ต่างๆตามที่ใจอยากจะไปนั่นเอง


เส้นทางลงเขาก็ใช่ย่อย แต่ดีอย่างที่ถนนสภาพดีไม่มีหลุมหรือบ่อให้คอยหลบซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้


ตามเส้นทางนี้สามารถแวะภูโคลนเพื่อพอกตัวหรือทำสปาได้ ผมเข้าไปเพื่อเก็บภาพเท่านั้น

กำลังมีคนงานเก็บโคลนจากบ่อที่มีอุณหภูมิถึง 70 องศาด้วยกัน เห็นแต่ก่อนจะเป็น Unseen กระปุกราคาไม่เท่าไหร่ มาบัดนี้ราคาคงถีบตัวขึ้นไปมากโขอยู่


ท่านสามารถเข้าไปพอกหน้าพอกตัว หรือทำสปาได้ตามสบายเลย มีห้องเบ็ดเสร็จ แต่ผมเพียงผ่านมาเท่านั้น


อีกสิบนาทีสิบเอ็ดโมง ผมก็มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำปายเกือบถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนแล้ว สีน้ำขุ่นๆแบบนี้บ่งบอกถึงมีน้ำป่าผสมมาอีกแล้ว
ผมตัดสินใจเลี้ยวเข้าสายบายพาสเส้นทางนี้เพื่อจะไปดูกระเหรี่ยงคอยาวบ้านในสอยซะหน่อย เพราะเป็นหมู่บ้านเดียวที่เหลืออยู่ซึ่งผมยังไม่เคยมา นอกจากห้วยเสือเฒ่า และบ้านน้ำเพียงดินแล้ว


มองๆไป เอ๊ะเสียงเครื่องบินดังมาจากไหน มองไปบนฟ้าก็ไม่เจอ สุดท้ายต้องแหงนคอตั้งบ่าถึงจะทราบว่ามันคือเจ้านกแอร์นั่นเอง


เลี้ยวมาตามป้ายที่บอกว่ามาบ้านในสอย จะเจอกับสะพานแขวนไม้เก่าๆอยู่ขนานกับสะพานปูนนี้อีกทีหนึ่ง ดูสภาพแล้วไม่น่าจะเสี่ยงเดินข้ามเลยนะเนี่ย


เอาอีกแล้ว ฝนตกลงมาปรอยๆอีก ใจเสียเลย เพราะเหลืออีกตั้งหลายกิโลอยู่กว่าจะถึง ใจดีสู้เสือขี่ไปต่อ ดูตามป้ายมีทางแยกซ้ายไป แต่สิ้นสุดถนนซีเมนต์แล้วหล่ะ อ๊ะ...ลองขี่ไปดูก่อนละกัน


โอย....ทางเป็นดิน พร้อมกับมีก้อนหินและกรวดแหลมๆ ผมถามชาวบ้านที่ขี่สวนมาว่ากระเหรี่ยงคอยาวอีกไกลมั๊ย ได้คำตอบว่าอีก 1 กม. แต่สภาพเส้นทางเป็นแบบนี้ผมคงต้องยกเลิกแล้ว เพราะกังวลทั้งการคืนรถช้า, กลัวยางจะแตกดพราะโดนหิน, อาจเสียเวลาตอนขากลับด้วย เลยทำให้ผมยกเลิกภาระกิจนี้โดยปริยาย แม้ว่าจะเหลืออีกแค่ 1 กม.ก็ตาม


เส้นทางขากลับไปตัวเมือง(ซึ่งก็คือเส้นเดิมที่ขี่มานั่นเอง) มีจุดที่ดินสไลด์ถล่มกินเลนถนน 1 เลน 2-3 จุดเหมือนกัน ดังนั้นขับขี่กันระมัดระวังหน่อยนะ


เข้ามาถึงตัวเมืองเกือบเที่ยงตรงพอดี จัดแจงนำรถมอเตอร์ไซค์ไปคืนที่ร้านเช่า เสียค่าชม.ที่เกินอีก 30 บาท ไม่รู้ว่าคิดผมผิดหรือลดราคาให้ผม 30 บาทก็ไม่รู้ เพราะความเป็นจริงควรที่จะเสียเพิ่ม 2 ชม.หรือ 60 บาทนั่นเอง แต่เอาเถอะ เจ้าของร้านแกคงใจดีมั้ง

ณ ที่นี้ผมมองหาร้านขายสแตมป์เพราะลืมไปว่ายังไม่ได้ติดสแตมป์ที่โปสการ์ดสักกะใบเลย ไปซื้อที่ร้าน 7-11 แต่เขาขายทั้งชุดคือ 10 ดวง 30 บาท ผมจึงจำต้องซื้อโปสการ์ดเพิ่มมาอีก 2 ใบเพื่อให้ครบกับสแตมป์ที่เพิ่มเข้ามา เลยมีคนโชคดีอีก 2 คนที่ผมจะส่งไปให้ :)


เที่ยงแล้ว หาอะไรทานดีกว่า ไปเจอร้านๆหนึ่งจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว มีข้าวซอยที่หามานานขายด้วย ผมสั่งข้าวซอยไก่ชามนึง ดูน่าทานจริงๆ ราคาก็ไม่แพง 20 บาทเท่านั้น แต่รสชาติยังคงเป็นรองข้าวซอยร้านน้องเบียร์ที่ปายอยู่พอประมาณเลย ใครไปแม่ฮ่องสอนอย่าลืมไปแวะทานละกัน


ทานอาหารเสร็จก็ต้องหากาแฟสดทาน ผมเดินค้นหาร้านกาแฟที่เมื่อวานได้แวะไปดูมา เดินวนหาอยู่นานก็พบจนได้

เจ้าของเขาตกแต่งภายในดูดีจริงๆ ไม่ได้ถ่ายภาพกระเหรี่ยงคอยาวจริงๆก็ถ่ายรูปวาดที่ร้านนี้ก็ได้แฮะ


ผมสั่งคาปูชิโน่เย็น 1 แก้ว น้องคนขายกำลังตักเมล็ดกาแฟมาชง


ระหว่างรอก็ชมสไตล์การตกแต่งภายในร้านอย่างดูดีจริงๆ


ไม่นานคาปูชิโน่ที่สั่งก็มาเสริฟ


ชมอีกวิวละกันครับ รู้สึกจะมีหนังสือให้ยืมอ่านด้วยนะ


โอ้เอ้ที่ร้านกาแฟอยู่ครึ่งชม.จึงได้เวลาไปรอที่ท่ารถของสมบัติทัวร์แล้ว

จะเดินไปทางไหนดีเนี่ย ซ้ายไปแม่สะเรียงด้วยเส้น 108 หรือจะขวาไปปายด้วยเส้น 1095 ดูจากป้ายแล้ว สี่แยกนี้คงเป็นจุดตัดระหว่างทางหลวงแผ่นดิน 2 เส้นทางที่ซึ่งเป็นทางหลวงเพียง 2 เส้นทางเท่านั้นที่เข้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน


ไม่ได้การซะแล้ว สงสัยเดินคงไปไม่ทันแน่ เพราะอยู่ไกลเหลือเกิน ผมเลยเปลี่ยนแผนเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่วินหน้าตลาดสายหยุดแทน ราคา 30 บาท เนื่องจากเลยศาลาว่าการไป มอเตอร์ไซค์รับจ้างชี้แจงกับผมเมื่อผมต่อเหลือ 20 บาท


มาถึงท่ารถของสมบัติทัวร์ก่อนเวลาออก 15 นาที แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น นั่นคือ เราต้องเปลี่ยนถ่ายรถไปนั่งรถป.2 ที่แม่สะเรียงแทน เหตุเพราะมีคนเหมาไป 2 คัน โห....คุณรับผิดชอบผู้โดยสารกันอย่างนี้เหรอครับ นึกอยากจะให้เขาเหมาก็ยอมโดยไม่คำนึงถึงผู้โดยสารที่จองรถไปแล้ว ผมว่าเขาอาจจะทำอย่างนี้หลายๆครั้งในกรณีที่รถไม่เต็มก็เป็นได้ เพราะคนกลับกทม.มีเพียง 5 คนเอง ไม่คุ้มหรือเปล่า

โอเคครับ ครั้งนี้ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายกับสมบัติทัวร์แล้ว เข็ดแล้วจ้า


เป้ใบนี้จำต้องอำลาเมืองสามหมอกไปแล้วนะจ๊ะ


ระหว่างทางจากจากตัวเมืองไปขุนยวม จุดนี้แหล่ะที่ผมว่าสูงสุดของเส้นทาง โดยสามารถมองเห็นวิวขุนเขาได้อย่างชัดเจน


ระหว่างทางก็มีการสร้างสะพานข้ามลำน้ำกันใหม่ เนื่องจากฝนคงชะล้างไปซะจนพังก็เป็นได้


วิวเขาสีเขียวสลับสีเหลืองนี้แหล่ะที่ผมชอบนัก ดูเผินๆอาจคิดว่าดอกบัวตองนะเนี่ย


วิวข้างทางอีกฝั่งหนึ่งทางด้านขวามือ


5 โมงเย็นพอดีรถก็มาส่งที่ท่ารถอ.แม่สะเรียง รถป.2 จะออกไปกทม.อีกทีก็อีก 1 ชม. ผมเลยเดินเล่นชมวิวไปเรื่อยๆของแม่สะเรียง แต่ที่ไหนได้ พอกลับมารอที่เดิม เจ้าหน้าที่รถดันมาบอกอีกครั้งว่า รถจะออกตอน 1 ทุ่ม โอย....เจริญจริงๆจ้า เสียเวลาไปเปล่าๆตั้ง 2 ชม. หลายคนก็เซ็งเหมือนกัน ไม่เป็นไร...ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีอีก


ก่อนออกจากแม่สะเรียงก็เลยเก็บภาพเจดีย์วัดอะไรไม่ทราบได้

การเดินทางกลับกรุงเทพนี้ค่อนข้างยาวนานเช่นเดียวกับขากลับ แต่ดีที่โชเฟอร์เปิดหนังไทยเรื่อง"แค่เพื่อนค่ะพ่อ" ซึ่งผมดูแล้วก็ซึ้งเหมือนกัน ก่อนจะหลับบ้างไม่หลับบ้างระหว่างทางที่รถแล่นไป ในที่สุด รถทัวร์ก็มาจอดที่หมอชิต 2 ประมาณ 6 โมงเช้าพอดี ผมรีบบึ่งรถเก๋งกลับไปทำงานที่สระบุรีเลย

เป็นอันว่าทริปไกลๆแต่ใช้เวลาเพียง 2 วันครึ่งนี้ก็จบลงด้วยดี แล้วไว้เจอกันใหม่ในทริปต่อๆไปครับ สวัสดี

==========
สรุปค่าใช้จ่าย
1.ค่าตั๋วโดยสารขาไปแม่ฮ่องสอน ป.1 = 718 บาท
2.ค่าธรรมเนียมใบประกาศฯ = 20 บาท
3.ค่าเช่ารถ 1 วัน +เกิน 1 ชม. = 150+30 = 180 บาท
4.ค่าน้ำมันเบนซิน 91 = 90 บาท
5.ค่าอาหารมื้อกลางวัน = 20+12 = 32 บาท
6.ค่าโปสการ์ด 10 ใบ = 50 บาท
7.ค่าแสตมป์ 1 ชุด 10 ดวง = 30 บาท
8.ค่าที่พักที่รวมไทยเกสท์เฮ้าส์ 1 คืน = 300 บาท
9.ค่าอาหารทั้ง 2 มื้อที่บ้านลุงปาละ(เย็น+เช้า) และกาแฟสด 2 ถ้วย = 80 บาท (แถมยังได้กาแฟคั่วกับชาเป็นของฝากฟรีๆอีก 1 ชุด)
10.ค่าอาหารมื้อเที่ยง(ที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน) = 20+20 = 40 บาท
11.ค่ากาแฟคาปูชิโน่ = 30 บาท
12.ค่ามอเตอร์ไซด์รับจ้าง = 30 บาท
13.ค่าตั๋วโดยสารกลับกทม ป.2 = 559 บาท
รวมทั้งสิ้น = 2,159 บาท
==========

Original Published on www.pantip.com at [ 13 ก.ย. 49 22:19:28 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2006/09/E4708619/E4708619.html


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น