"ขอบคุณที่โลกหมุน และคุณยังมีฝัน
เราจึงมาพบกัน ให้ความฝันได้เจือใจ
ขอบคุณที่โลกกว้าง มีที่ว่างให้เท้าไป
มีถนนให้เดินไกล ให้หัวใจได้โบยบิน"
บทกลอนข้างบนนี้เป็นบทกลอนที่ผมถือวิสาสะนำมาจากบันทึกนักเดินทางของคุณจันทร์เพ็ญ จันทนาอีกที ผู้ซึ่งเป็นคนจุดประกายผม ให้ผมได้หลงใหลเมืองสามหมอกแห่งนี้จนอาจจะเรียกได้ว่าถอนตัวไม่ขึ้นก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ใจผมคงไม่เรียกร้องให้เท้าได้ย่างก้าวออกเดินทางอีกครั้งเป็นครั้งที่สี่ ครั้งนี้เป็นแน่...
เมื่อเรามีความตั้งใจจะทำอะไรแล้ว สิ่งใดๆก็มิอาจเป็นอุปสรรคได้ ไม่ว่าจะเป็น ฤดูกาล(หน้าฝน), ช่วงเวลาที่น้อย หรือระยะทางที่ไกลสุดๆ การเดินทางครั้งนี้ของผมจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ณ วันศุกร์ที่แปดเดือนกันยา ที่ผ่านมา ผมมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะออกเดินทางเยือนเมืองสามหมอกอีกครั้ง และจะมุ่งไปที่ปางอุ๋งโดยเฉพาะ การเดินทางที่ผมเลือกนั้น น้อยคนคงไม่เลือกวิธีนี้เนื่องจากต้องใช้เวลานานมาก แต่ผมก็เลือก เนื่องจากเป็นวิธีที่ผมยังไม่เคยใช้ในการมาเยือนเมืองแห่ง 1,864 โค้ง แม่ฮ่องสอนมาก่อนเลย
ผมมาถึงสถานีขนส่งหมอชิต 2 ตอนบ่ายสี่โมงครึ่งได้ จัดแจงหาเคาน์เตอร์ขายตั๋วของสมบัติทัวร์ตามที่เพื่อนๆใน BP ได้เคยบอกไว้
ผมซื้อตั๋วสายกรุงเทพ-แม่ฮ่องสอนซึ่งราคา 718 บาทโดยเป็นรถป.1, 32 ที่นั่ง เวลาออกคือ 18.00 น. สอบถามกับคนขายตั๋วถึงเวลาที่คาดว่าจะถึงกี่โมง ? ได้รับคำตอบคร่าวๆว่า "คงถึงช่วงสายๆค่ะ"
ผมเหลือเวลาเดินเล่นอีกตั้ง 1:30 ชม. ดังนั้นจึงเดินเข้าไปในสถานีพบว่าคนเยอะพอประมาณ เก้าอี้นั่งคงมีไม่พอ เลยทำให้บางคนถึงกับต้องนั่งดูทีวีกับพื้นซึ่งก็คงชินสำหรับเขาเหล่านั้น
เพื่อฆ่าเวลาที่มันยาวนานนัก ผมเดินขึ้นลงชั้นบนและล่างแถมเดินไปฝั่งขาออกของรถสายอีสานด้วย ช่วงเย็นวันศุกร์แบบนี้รถเยอะจริงๆเลย
เหลืออีก 10 นาทีจะหกโมงเย็น ผมรีบเดินมารอที่ชานชลา 101 ตามที่ตั๋วได้เขียนบอกไว้ ไมนานรถทัวร์ก็มาถึง เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ผมเดินทางโดยรถทัวร์ไปไกลถึง 924 กิโลเมตร
เก้าอี้นั่งเป็นอย่างที่เห็น สีชมพูหวานแหววเชียว ระยะระหว่างแถวถือว่ากว้างใช้ได้คงไม่อึดอัดมากนักระหว่างที่เดินทางกว่า 15 ชม.
เป็นอีกครั้งที่รถทัวร์คันนี้ออกตรงเวลาเป๊ะ แต่น่าเสียดายที่พขร.ไม่ขึ้นทางด่วนโทลเวย์ เลยทำให้ต้องเสียเวลาที่ไม่อยากจะเสียไปบนถนนวิภาวดีรังสิตด้านล่าง
ระหว่างทางไม่มีอะไรทำเลยคุยโม้กับเพื่อนเก่าไปพลางๆ รถพาเราแหวกความมืดไปบนเส้นทางสายเอเชียก่อนจะไปบรรจบสายพหลโยธินที่นครสวรรค์ ณ ที่นี้ รถจอดแวะเพื่อยืดเส้นยืดสายและลงทานข้าวต้ม ข้ามต้มกับก็เป็นอย่างที่เห็น แสนจะน้อยนิด ไม่เลี้ยงผมว่าน่าจะดีกว่านะ
ใครจะซื้อขนมโมจิไปทานระหว่างทางก็เชิญเลยนะครับ ไม่งั้นคงต้องอดขนมไปอีก 12 ชม.เลยนะเนี่ย
ขึ้นรถเสร็จผมคงต้องขอตัวงีบหลับบ้างแล้วหล่ะ หลับๆตื่นๆ มาตื่นอีกทีก็ตอนที่ตัวรับรู้ถึงแรงเหวี่ยงซ้ายและขวามาแบบเป็นจังหวะสลับกันไป ลืมตามองด้านหน้าก็รู้ว่ารถเริ่มขึ้นเขาช่วงเถินไปลี้แล้ว ผมยังคงจำความรู้สึกนี้เมื่อต้นปีได้ ในฐานะที่เป็นคนขับเส้นทางนี้เองตอนบิ๊กทริปครั้งที่สองที่ผ่านมา
เส้นทางยาวนานยิ่งนัก ตลอดทั้งเส้นทางผมหลับไม่เคยนานถึงครึ่งชม.เลย รถจอดส่งคนที่แรกคือ อ.ลี้ หลังจากนั้นก็แล่นไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่มารู้สึกตัวอีกทีนั้น เป็นช่วงเข้าอ.แม่สะเรียง ฟ้าสางพอดี ที่นี่คนลงเยอะมากที่สุดจึงทำให้เหลือคนลงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนไม่ถึงสิบคนรวมทั้งผมด้วย
ผมตื่นแบบจริงๆจังๆก็ช่วงเลยขุนยวมมาแล้ว มองไปด้านนอกคงเป็นโค้งที่พันกว่าๆเห็นจะได้ ยังเหลือต้อนรับเราอีกหลายร้อยโค้งอยู่เหมือนกัน
ในที่สุด รถกรุงเทพ-แม่ฮ่องสอนก็มาส่งผม ณ จุดหมายปลายทาง แมฮ่องสอนอย่างปลอดภัยเวลา 9:30 น. รวมใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 15 ชม. 30 นาที
รถจอดส่งที่วัดก้ำก่อเยื้องทางขึ้นพระธาตุดอยกองมูไม่มีผิดที่ผมคิดไว้ รถวินมอเตอร์ไซด์ต่างมาถามผู้โดยสารที่ลงจากรถว่าจะให้ไปส่งที่ไหน ผมบอกปฏิเสธไปเนื่องจากมีแพลนที่จะไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์ที่ตัวเมืองอยู่แล้ว
เดินมาไม่ไกลก็จะเจอกับอนุสาวรีย์พญาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรกนั่นเอง
มาแม่ฮ่องสอน ผมขาดไม่ได้เลยที่จะมาเคารพอยู่ 3 สิ่ง นั่นก็คือ พญาสิงหนาทราชา , หลวงพ่อโต วัดจองคำจองกลาง และวัดพระธาตุดอยกองมู
ณ อนุสาวรีย์แห่งนี้มีช้างเฝ้าอยู่ด้วยกัน 4 ทิศ
หลังจากนั้น ผมได้เดินมาเรื่อยๆตามถนน 108 ที่เลี้ยวซ้ายเข้าไปในตัวเมือง ด้านซ้ายไม่ไกลจากอนุสาวรีย์มากนักจะมีสิ่งก่อสร้างใหม่ๆตั้งอยู่ จำไม่ผิดน่าจะเป็นลานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นสถานที่เก็บแสดงสิ่งเก่าๆและมีรูปปั้นชนเผ่าต่างๆของแม่ฮ่องสอนตั้งอยู่
สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างที่เมื่อมาเยือนแม่ฮ่องสอนนี้แล้วคือ การไปรับใบประกาศ 1,864 โค้งที่หอการค้าจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั่นเอง ครั้งนี้ผมเลือกที่จะรับแบบผู้มาเยือนเท่านั้น เพราะผมมาในฐานะคนนั่งโดยสารรถมา ไม่ได้ขับรถด้วยตัวเองเหมือนอย่าง 2 ครั้งที่ผ่านมาแต่อย่างใด เสียค่าธรรมเนียมการออกใบประกาศแค่ 20 บาทเท่านั้น
รับใบประกาศฯเสร็จก็เดินต่อไปยังร้านเดิมที่เคยเช่าเมื่อครั้งที่แล้ว ใช่แล้วครับ ผมเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ร้านไฮเวย์รถเช่า ตรงกันข้ามกับธนาคารกสิกรไทย
ผมสอบถามราคาต่อวัน เจ้าของแจงว่า 150 บาท/24 ชม. ถ้าคืนเกิน คิดชม.ละ 30 บาท แล้วขอบัตรประชาชนเราเก็บไว้ แต่ผมให้ใบขับขี่รถยนต์แทนเนื่องจากคิดว่าบัตรประชาชนควรที่จะอยู่ติดตัวเรามากกว่า ต่อจากนั้นจึงขี่ไปเติมน้ำมันที่ปั๊มปตท.ที่อยู่ย้อนไปทางศาลากลางจังหวัด
รถที่ผมได้มานั้นเป็นรถ Honda Dream 125 cc. รุ่นยอดฮิตที่ใช้วิ่งบนเขาทั้งที่เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอนอยู่ทั่วไป คันนี้ใช้งานมาเกือบ 40,000 กม. แล้ว ขาดก็แต่เพียงสิบกว่ากิโลฯแค่นั้นเอง
ผมเติมน้ำมัน 91, 100 บาท แต่สุดท้ายมันดันเต็มถังก่อนที่ราคา 90 บาท !
พอได้ยานพาหนะแล้ว ผมรีบไปจองตั๋วขากลับในวันรุ่งขึ้นที่ออฟฟิศสมบัติทัวร์ที่อยู่เลยศาลากลางก่อน กลัวว่าจะไม่มีที่นั่งกลับกรุงเทพเพื่อมาทำงานต่อในวันจันทร์ที่จะถึง
อยากจะเขียนสักนิดเกี่ยวกับรถทัวร์รายนี้ ผมเลือกเวลากลับตอน 14:00 น.ในวันอาทิตย์คือวันรุ่งขึ้น ราคาเท่าเดิมคือ 718 บาท ผมให้แบงค์ 1000 แต่เจ้าหน้าที่ถามผมว่ามี 18 บาทหรือไม่ ผมตอบไปว่าไม่มี เจ้าหน้าที่คนนั้นทอนเงินผมมาให้ 200 บาทพร้อมกับบอกว่าให้มาทวงอีกทีในวันรุ่งขึ้น 82 บาท !!! ผมงงอยู่สักครู่...จึงได้สติ โอ้โห...อะไรจะขนาดนั้น และถามกลับไปว่า "แล้วเจ้าหน้าที่จะรู้มั๊ยเนี่ย ??" ได้รับคำตอบแบบลากเสียงว่า "คุณก็ทวงสิค้า" ผมถามกลับไปว่า "แล้วเขาจะรู้ได้ไงหล่ะ คุณช่วยเขียนลงไปในตั๋วหน่อยสิ" สุดท้ายเจ้าหน้าที่สาวก็ยอมเขียนว่าทอนเงินอีก 82 บาท ผมค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย แต่คิดไปคิดมา ผมไม่ไว้ใจดีกว่า เลยขี่ไปซื้อกาแฟกระป๋องที่ร้านใกล้ๆเพื่อแลกเงินมาจ่าย 18 บาทแล้วเอาแบงค์ 100 คืน !!!
จากเหตุการณ์นี้สอนให้รู้ว่า เจ้าหน้าที่สมบัติทัวร์ห่วยและแย่มากๆครับ แกทำอย่างนี้กับผู้โดยสารอีกท่านด้วย โดยบอกไม่มีเงินทอน แต่ยังมีอีกตอนขากลับ ไว้รออ่านละกันครับ
ต่อจากนั้นผมไปที่หนองจองคำ เก็บภาพวิวเจดีย์วัดจองกลางที่สะท้อนกับผิวน้ำ ภาพนี้คงผ่านตานักเดินทางมาหลายๆแบบเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ช่วงเวลาและ ฤดูกาลของแต่ละภาพ
เชิญครับ....ตามผมมา ไปนมัสการหลวงพ่อโตในวิหารจัดจองคำกันครับ
หลวงพ่อโตพระประธานในวิหารนี้มีขนาดหน้าตักกว้าง 4.85 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2469 โดยช่างฝีมือชาวพม่า รูปแบบตามศิลปะแบบพม่า
เจดีย์วัดจองกลางสีเหลืองอร่าม มองเห็นวิวพระธาตุดอยกองมูอยู่บนเขาลิบๆออกไป
ผมยังคงเตร็ดเตร่อยู่ในตัวเมืองเพื่อหาซื้อโปสการ์ดส่งกลับมายังเพื่อนๆห้อง BP แห่งนี้
มาเจอเอาร้านคอฟฟี่ มอร์นิ่งการตกแต่งร้านแบบ Antique โบราณๆน่านั่งมากๆ ผมเข้าไปถามเรื่องโปสการ์ดจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ความว่าราคาแผ่นละ 10 บาท รู้สึกว่าแพงเกินและรูปก็ไม่สวยเลยยังไม่เลือกซื้อไป เสียดายที่ผมทานกาแฟกระป๋องไปแล้ว ไม่งั้นนั่งทานกาแฟสดที่นี่แน่ๆ
หาโปสการ์ดอยู่นานก็ยังไม่ได้ร้านที่ถูกใจ บวกกับท้องเริ่มร้องแล้ว จึงบึ่งตระเวนหาร้านอาหารใกล้ๆดีกว่า เลือกร้านง่ายๆ สั่งกระเพราหมูกรอบราดข้าว 20 บาท รองท้องไปก่อน
พอหนังท้องตึง แต่หนังตายังไม่หย่อน ผมบึ่งรถขึ้นเขาไปไหว้พระธาตุดอยกองมู พระธาตุดอยกองมูยามนี้คงโดนฝนตกชะล้างสีไปเยอะทีเดียว ทำให้เห็นสีขาวๆดำๆกระดำกระด่างอยู่รายรอบองค์พระธาตุทั้งสอง แต่ก็แปลกตาผมมากทีเดียว
ณ ยามนี้ สิงห์คู่ยังคงเฝ้าเมืองแม่ฮ่องสอนอยู่ไม่หน่าย มิน่า เมืองเล็กๆท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้จึงอยู่อย่างสงบตราบจนปัจจุบัน
เรามาดูเมืองแม่ฮ่องสอนแบบ Singha's Eye View กันบ้าง หลังจากดูแบบ Bird's Eye View มามากแล้ว :)
สังเกตดีๆจะเห็นเครื่องบินของนกแอร์ที่กำลังแล่นเข้าฝั่งผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินแม่ฮ่องสอน
ชมวิวแม่ฮ่องสอนพร้อมรันเวย์สนามบินแบบพานอรามากันครับ
ก่อนลงไปด้านล่าง ที่นี่แหล่ะ...ผมได้โปสการ์ดจากแม่ค้ามา 8 ใบด้วยกัน พอดีกับรายชื่อที่ผมเตรียมมาจากกทม.
เกือบเที่ยงวันแล้ว ผมรีบลงจากดอยกองมูเพื่อขี่ไปต่อที่ปางอุ๋งอย่างที่ตั้งใจไว้ ระยะทางจากตัวเมืองไปปางอุ๋งประมาณ 44 กม. กระท่อมท่ามกลางไร่นาเขียวขจีแบบนี้แหล่ะที่กรุงเทพไม่มีให้เห็น แต่จะพบได้อยู่เรื่อยๆบนเส้นทางจากเมืองสามหมอก มุ่งสู่ดินแดนในฝัน...ปางอุ๋ง
เที่ยงสี่สิบสอง มาถึงยังน้ำตกผาเสื่อ แวะถ่ายรูปเสร็จก็เดินทางต่อไป
เลยจากน้ำตกผาเสื่อแล้ว เส้นทางก็ชันเอาเรื่องเลยนะเนี่ย แถมคดไปคดมาอย่างที่เห็นด้วย ผมตัดพระตำหนักปางตองไป เพราะไปมาแล้วสองครั้ง ไม่มีอะไรให้ผมดูแล้ว จึงมุ่งหน้าบ้านรวมไทยอย่างเดียว
ขี่ขึ้นเขามาเรื่อยๆ รถสวนไม่มีเลย รถตามก็ไม่มีด้วย เลยได้จังหวะจอดพักแล้วหันไปถ่ายรูปเส้นทางที่ขึ้นมาสักหน่อย
ขี่ไปเรื่อยๆ สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดจนได้ นั่นคือฝนตกลงมานั่นเอง ดังนั้นผมจึงแวะจอดที่สถานีเกษตรบนที่สูงห้วยมะเขือส้ม เพื่อพักรถพักคนไปในตัวด้วย ดูเวลาประมาณ 13:16 น.
ณ ที่นี่ ผมไม่มีเวลาลงไปดู อีกทั้งทางชันเอาเรื่องและกลัวเสียเวลาไปกันใหญ่ เลยขอผ่านไปก่อน
สักพักฝนก็ซา ผมเลยขี่ต่อไป ถึงแล้วหล่ะ ทางแยกซ้ายที่จะไปบ้านรวมไทยหรือปางอุ๋ง ส่วนถ้าตรงไป อีก 6 กม.ก็จะถึงบ้านรักไทย สังเกตดีๆหน่อยนะครับ เพราะอาจจะเลยไปได้ ป้ายยังคงไม่ชัดเจนเหมือนเดิม จุดสังเกตคือตู้โทรศัพท์สาธารณะครับ
ณ จุดนี้ ผมขี่ไปได้ไม่กี่สิบเมตรก็ต้องกลับมาหลบฝนที่ศาลาของชาวบ้านเป็นครั้งที่สอง ฝนตกมาครั้งนี้หนักกว่าครั้งที่แล้ว เลยเสียเวลาไปนานหน่อยกว่าจะซาอีกครั้ง
พอฝนซาผมก็เริ่มเดินทางต่อ แต่ที่ไหนได้ ขี่ไปได้หลายร้อยเมตรฝนก็ตกลงมาซู่ใหญ่ๆ สายเสียแล้วที่จะย้อนกลับมาหลบฝนอีก ผมเลยขี่ไปท่ามกลางฝนตกพอประมาณ เนื้อตัวเปียกไปหมด นึกขำตัวเอง อยู่กรุงเทพดีๆไม่ชอบ ชอบมาตกระกำลำบาก
ฝนที่ตกลงมาหนักพอควรบวกกับทางที่ขึ้นเขาชันเกือบทำให้รถผมล้มจากการที่ล้อลื่นเนื่องจากฝนตกหนัก ดีที่ประคองรถไปได้ ผมนึกกลัวขึ้นมาฉับพลันเลย ว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุจะทำยังไงเนี่ย ค่อยๆประคองรถไป สักพักก็เจอศาลาใบจากให้ผมได้หลบฝนอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นครั้งที่สามแล้ว
ในใจเกิดความคิดว่าจะกลับตัวเมืองไม่กลับดี ชักเริ่มเสียเที่ยวซะแล้วเรา แต่พอมองไปด้านขวาก็ยังมีหนทางให้เราเดินทางต่อ คงจะท้อไม่ได้
พอฝนซาและหยุดตกพร้อมๆกับแสงแดดสีทองทาบมาแล้ว คงเป็นสัญญาณว่าฟ้าอนุญาตให้เดินทางต่อไปอย่างปลอดภัยได้ ผมจึงเริ่มเดินทางต่ออีกครั้ง
ผ่านบ้านและโรงเรียนห้วยมะเขือส้มแล้ว เส้นทางก็จะยิ่งแคบลงไปอีก เจอโค้งที่ไม่เห็นอีกฝั่งให้กดสัญญาณแตรก่อนเพื่อความปลอดภัยด้วยละกัน
ต้นสนริมทางด้านซ้ายก่อนเข้าสู่เขตบ้านรวมไทยหรือปางอุ๋งแล้วหล่ะ
ครั้งนี้ผมขี่ผ่านบ้านลุงปาละไปก่อนเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ณ รวมไทยเกสท์เฮ้าส์ ก่อนที่จะย้อนกลับมาทักทายแกอีกครั้งหนึ่ง
ผมเลือกพักแบบห้องกลางซึ่งมีห้องน้ำในตัว ราคา 300 บาท
ภายในก็จะเป็นดังที่เห็น มีช่องหน้าต่างบนหัวเตียงเพื่อให้เราชมวิวอ่างเก็บน้ำได้โดยตรงจากหัวเตียงที่นี่
ไหนดูซิ...วิวเมื่อมองลอดจากหน้าต่างเป็นอย่างไรบ้าง
ก่อนจะย้อนไปดื่มกาแฟบ้านลุงปาละ ขอชักภาพแพริมอ่างเก็บน้ำห้วยปางตองสักรูป
ผมจอดรถที่หน้าบ้านแก ป้าศรีมองออกมาพร้อมกับยิ้มๆ ผมเข้าไปทักทายแกพร้อมกับถามว่า "จำผมได้หรือเปล่า ?" ป้าศรีตอบกลับอย่างยิ้มแย้มว่า "จำได้ๆ มาคนเดียวเหรอ ?" นั่นเป็นคำสนทนาที่เริ่มต้นทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย ผมนั่งแล้วขอกาแฟสด 1 ที่
ในที่สุดก็ได้มาลิ้มรสกาแฟสดแบบดั้งเดิมที่ใช้ภาชนะใบนี้ชง
อัพเดทข่าว บ้านลุงปาละมีเซลล์แสงอาทิตย์ติดตั้งแล้วนะ
ต้นไผ่ตรงดำยังสูงตระหง่านหลังบ้านแกไม่เสื่อมคลาย พร้อมๆกับที่แกไปชี้ที่ตั้งบ้านหลังใหญ่ที่จะปลูกขึ้นมาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะ
ดอกหน้าวัวก็ยังคงขึ้นงามๆที่กอรอบๆต้นไผ่ตรงดำ
มาช่วงนี้ต้นกาแฟภายในบ้านแกไม่ค่อยมีผลที่สุกให้เห็นมากนักเนื่องจากเก็บไปก่อนหน้านี้แล้ว
ทานกาแฟพร้อมกับสนทนากับทั้งลุงปาละและป้าศรีได้สักครู่ใหญ่ๆ ผมก็ขอตัวไปเดินเล่นที่อ่างเก็บน้ำต่อ แต่แจ้งแกว่าจะมาทานอาหารเย็นด้วย
ช่วงบ่ายสี่โมงนี้ ชาวบ้านบางคนก็เริ่มกลับจากหาของป่าแล้ว
เจ้าม้าตัวนี้ก็ยังคงยืนแทะหญ้าอยู่ที่เดิมนะเนี่ย
อีกครั้งที่ฟ้าแปลกๆ
ณ เวลานี้มีผมคนเดียวที่เป็นแขกต่างถิ่นของที่นี่
เดินไปถ่ายรูปตรงจุดที่รถยนต์ยี่ห้อหนึ่งนำมาเป็นฉากถ่ายโฆษณา
แอบมองย้อนกลับไปที่แพริมน้ำ
ไม่มีคำบรรยาย
ขี่เลยเรือนเพาะชำมาเรื่อยๆ เงียบสงบจริงๆ
เหนื่อยแล้ว ขี่มอเตอร์ไซด์กลับดีกว่า แอบมองกระท่อมปลายนาของชาวบ้านที่นี่เขา
เสาธงชาติที่นี่ ดูยังไงก็ยังมีเสน่ห์มิคลาย
ผมกลับมาที่เดิมคือแพริมอ่างเก็บน้ำ แลเห็นชาวบ้านถ่อแพไปกลางน้ำ คงไปหาอะไรสักอย่างหรือไปเก็บปลาที่ดักไว้ก็เป็นได้
ณ แพริมอ่างเก็บน้ำห้วยปางตองแห่งนี้ คงเหมาะที่สุดแล้วที่จะเขียนโปสการ์ดส่งให้เพื่อนๆชาว BP หลังจากตามหาซื้อที่ตัวเมืองอยู่นานเชียว ไม่ลืมที่จะนำรายชื่อ,ที่อยู่ มากางไปเขียนไป
ปล. ใครได้รับแล้ว ช่วยทักทายในกระทู้ด้วยนะครับ
ต่อจากนั้นเริ่มรู้สึกหิว จึงกลับมายังบ้านลุงปาละ
มื้อเย็นนี้มีกับข้าว 3 อย่าง อาหารเรียบง่าย ทานข้าวไปคุยกับลุงและป้าแกไป แกงจืดผักกับเห็ดหวานอร่อยดีจัง
คุยกับลุงและป้าแกสักพักใหญ่ๆท่ามกลางแสงเทียนพร้อมกับชาร้อนๆ ก็ได้เวลาขอตัวกลับที่พักแล้ว กอรปกับมีฝนตกลงมาเป็นละอองๆ ลุงปาละเลยให้เทียน,ไม้ขีด และไฟฉายมายืมด้วย
ราตรีสวัสดิ์สำหรับวันนี้ อีกหนึ่งวันเหงาๆ แล้วค่อยเจอกันใหม่วันรุ่งขึ้น ณ ดินแดนในฝัน...ปางอุ๋ง
Original Published on www.pantip.com at [ 12 ก.ย. 49 19:30:30 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2006/09/E4705100/E4705100.html
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น