วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เที่ยวก่อนปีใหม่ ๒๕๕๙ ณ คาเมรอน ไฮแลนด์ และ มะละกา (ครั้งที่ 2) ตอน 1 บินไปลง KLIA 2 แล้วต่อรถบัสไปคาเมรอน ไฮแลนด์ เมืองขุนเขาแห่งไร่ชา


หลังจากห่างหายไปนาน กลับมาอีกครั้งก็ปลายปีเลยครับ สำหรับปี 2558 นี้ ครั้งนี้ผมมีทริปที่ไม่ได้วางแผนเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ามีเวลาไม่นานในการวางแผนหลังจากได้รับรีเควสมาว่ามีวันหยุดเหลือ 2 วัน ต้องใช้ให้หมด ครั้นจะขับรถไปเที่ยวเหนือผมก็เบื่อและคิดว่าต้องขับรถยาวแน่ๆ มันไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เลยเลือกแผนไปเที่ยวไม่ไกลมากละแวกบ้านใกล้เรือนเคียงที่มีราคาตั๋วเครื่องบินไม่แพงมากนัก ดูไปดูมา ก็มาตกที่ KL มาเลเซียนั่นเอง แล้วไปไหนดีหล่ะ ไปมาหลายครั้งเหมือนกัน สุดท้ายคิดได้ว่ายังไม่เคยไปคาเมรอน ไฮแลนด์ พื้นที่สูงบนเขาที่มีไร่ชาหลายๆพันไร่ของมาเลย์เขา เลยเลือกไปที่นี่ พร้อมกับแนบเมืองมะละกาเมืองมรดกโลกอีกสถานที่ไปเป็นครั้งที่ 2 เพื่อไปซ่อมมัสยิดเซลัทมะละกา อย่างเดียวที่พลาดไปเมื่องครั้งไปมะละกาครั้งก่อน
ทริป 4 วัน 3 คืนก็ได้คร่าวๆ ดังนี้
  • DAY 1 (17 ธันวาคม 2558): BKK - KLIA 2 - BTS (Bandar Tasik Selatan) - TBS (Terminal Bersepadu Selatan) - Cameron (Tanah Rata)
  • DAY 2 (18 ธันวาคม 2558): Tea Boh - Bee Farm - Strawberry farm – Butterfly farm
  • DAY 3 (19 ธันวาคม 2558): Cameron - TBS - Melaka Sentral - Melaka town - Masjid Selat Melaka
  • DAY 4 (20 ธันวาคม 2558): Melaka - Melaka Sentral - TBS - KL Sentral - KLIA 2 - BKK
ชักช้าอยู่ใย จองโน่นนี่แล้วพร้อมไปเที่ยวกับเราเลยครับ

ทริปมาเลเซียครั้งก่อน ปี 2556


ครั้งนี้ไม่มีรูปตอนเช็คอินที่สนามบินดอนเมืองครับ เนื่องจากเช็คอินล่วงหน้าทางเว็บไซท์มาแล้ว บวกกับไม่มีสัมภาระโหลดด้วย มาถึงก็แค่ถามๆเจ้าหน้าที่แล้วใช้บอร์ดดิ้งพาสที่พิมพ์มาเข้าไปข้างในได้เลย อ้อ...มาถึงสนามบินดอนเมืองก็ตี 4 นิดๆ เช้ามากๆ ง่วงมากๆด้วย

แถมหน่อยครับ ตอนแรกเลยประมาณตี 4 ครึ่ง ดูบอร์ดว่าไปรอที่เกทไหน บอร์ดแจ้งว่าไฟล์ท FD311 เกท 22 ไอ้เราก็ไปรอซะชั่วโมงกว่า ชักสงสัยว่าทำไมไม่มีใครเดินมาเลย เหงามากๆ มีผู้ชายคนไทยเดินมารอด้วยอีกคนตอนผ่านไป 1 ชม.แล้ว ผมสงสัยเลยเดินไปรอที่บอร์ดอีกครั้ง กลายเป็นว่า เปลี่ยนเกทจาก 22 เป็น 2 ตอนไหนก็ไม่รู้ เลยเดินกลับมาแจ้งคนไทยอีกคนที่มาคอยเก้อเหมือนกัน เฮ้อ...ประกาศเปลี่ยนแปลงก็ไม่บอกนะ ดีที่ผิดสังเกตแล้วไปดูเอง

เสียดายไฟล์ทเช้า 7.05 น. แต่ก็ยังดีเลย์นะครับ งงมากๆ take off จริงๆก็ 7.30 น.ไปแล้ว เลยทำให้เราพลาดเวลาไปขึ้นรถไฟ KLIA Transit ต่อไปเลย


ตั้งลำกลางอากาศได้แล้ว ด้านล่างเห็นโรงซ่อมเครื่องบินของกองทัพอากาศมั้ยครับ??


ได้เห็นตึกช้างในมุมสูงครับ สวยดี เด่นกว่าตึกอื่นๆเลย


มองลงไปตรงนี้เป็นจุดตัดกันของรถไฟ Airport Raillink กับรถไฟ BTS ณ สถานีพญาไท ดูๆแล้วอย่างกับแปลนของเล่นเลยนะครับ


โค้งน้ำเจ้าพระยา วกไปวนมาก่อนลงอ่าวไทยที่จ.สมุทรปราการ สวยงามมากๆเลยครับ ผมชอบดูวิวเวลาเครื่องบินขึ้นจริงๆเลย แม้บางคนจะนอนหลับกันไปแล้วเพราะเช้าอยู่ก็ตาม


แต่หลังจากนั้นผมก็เข้าญาณเช่นกันครับ เพราะตื่นมาเช้ามากๆ พอรู้สึกตัวอีกทีก็เวลา 9.00 น.แล้ว มองออกไปจากหน้าต่างเห็นเมฆสีขาวนวลเป็นปุยนุ่นเลย อยากกระโดดไปเดินเล่นจังเลยครับ แฮ่ะๆๆ


เครื่องลดระดับเพดานบินลงเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็เห็นรันเวย์เป็นทางยาวทางด้านซ้ายมือแต่มองไม่ชัดมากนัก ผมเดาได้เลยว่าเป็นสนามบิน KLIA 2 นั่นเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกของผมนะครับที่ได้มาเยือนสนามบินนี้ เคยแต่มาลงที่สนามบิน KLIA และสนามบิน LCCT ตอนที่ยังเป็น Low Cost Carrier Terminal อยู่


แต่เครื่องบินก็ยังคงมุ่งหน้าออกไปนอกทะเลอยู่เรื่อยไป เลยยังงงว่าที่เห็นว่าเป็นสนามบินนั้นจะใช่หรือเปล่า แต่ในใจลึกๆก็น่าจะไม่ผิดนะ(เข้าข้างตัวเอง)


นั่นไง สักพักเครื่องบินก็เลี้ยวซ้ายแล้ว เพื่อ u-turn ไปลงจอดที่สนามบินที่เห็นเมื่อสักครู่นั่นเอง


ซูมลงไปยังแหลมด้านล่าง เห็นเป็นประภาคารหรืออย่างไร ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงนะครับ


ชอบจังเวลาเครื่องมันเอียงๆ


โดมที่เห็นคือโรงแรมหรือเปล่าเนี่ย สวยจังเลยครับ อยู่ตรงแหลมติดทะเลด้วย สงสัยราคาจะไม่เบา


ใกล้แลนดิ้งเต็มทีแล้วครับ ย่านนี้เป็นไร่ปาล์ม สีเขียวพรึบสวยงามเป็นระเบียบเลยครับ


แตะพื้นสนามบิน KLIA 2 แล้วครับ ด้วยเวลาท้องถิ่น 10.27 น. โดยเวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าเวลาไทยเรา 1 ชม.ด้วยกัน


ออกจากเครื่องมาก็เดินมาตามทางยาวๆเลยครับ ทางยาวมากๆ เพราะได้ลงเกทที่ไกลสุดมั้ง โน่นแหน่ะ สุดปลายทางแล้วต้องเดินต่ออีกนะครับ


มาตรงจุดนี้ก็ต้องเดินขุ้นบันไดเลื่อนที่ผมว่ายาวที่สุดเท่าที่ผมเคยเดินขึ้นมาเลยนะ ดูสิครับยาวจริงๆ


หลังจากนั้นก็เข้าแถวรอตรวจหนังสือเดินทางที่ตม. เข้าแถวที่เขียนว่า AEC ครับ ออกมาจากตม.ก็เจอร้านขายของกันเลย อยู่ชิดติดกันเลยครับ แหม....เชื่อเขาเลย กะจะให้เสียเงินเร็วๆเลยนะครับ


เดินมาตามที่เขียนว่า Arrival hall นะครับ ตรงนี้จะเห็นป้ายไฟ LED ส่องสว่างโฆษณามือถืออย่างเด่นชัด เหลือบไปเห็นร้านสีเหลืองๆ DiGi ครับ เดี๋ยวเราจะเข้าไปซื้อซิมการ์ดซะหน่อย จะได้ท่องเน็ตอย่างไม่ติดขัดตลอด 4 วันนี้


ถึงเคาน์เตอร์ก็สอบถามพนักงาน(ชายเสื้อเหลืองคนขวาสุด) ว่าต้องการซื้อซิมการ์ด prepaid อยู่แค่ 4 วัน อันไหนเหมาะสุด แค่นั้นครับ เขาก็จะถามเราว่าเอา 1 GB หรือ 1.5 GB เพราะ 1 GB ราคา 37 RM ส่วน 1.5 GB ราคา 45 RM ครับ คิดไปคิดมา เอา 1 GB ครับ เพราะน่าจะพออยู่ พออยู่โรงแรมก็ใช้ WiFi กันไป ออกข้างนอกค่อยใช้ 3G/4G (จะบอกว่าเขามี 4G แล้วเน้อ อิอิ)


ดูเวลาไม่ค่อยจะทันแล้ว เพราะต้องไปขึ้นรถไฟ KLIA Transit เวลา 11.18 น. ตอนนี้ 11.11 น.แล้ว รีบซื้อตั๋วรถไฟที่เคาน์เตอร์โดยพลัน บอกไปลงสถานี Bandar Tasik Selatan ก็เป็นอันเข้าใจ 2 person ราคา 53 RM / 2 คน


ทางเข้าครับ แตะบัตรนะครับ ไม่ต้องสอด เหมือนรถไฟใต้ดินเรา ป้ายด้านบนบอกว่า KLIA Ekspres ไปลง KL Sentral จะออกในเวลา 11.15 น.(จอดเฉพาะสถานี KLIA แล้วไปจอดที่สถานีปลายทาง KL Sentral เลย เหมือน Airport Rail Link แบบ Express line) ส่วน KLIA Transit ไปลง KL Sentral จะออกในเวลา 11.18 น.(สายนี้จอดทุกสถานีครับ เหมือน Airport Rail Link แบบ City line)
ใครอยากดูตารางเวลาของ KL Transit ดูจาก link นี้ครับ
http://www.kliaekspres.com/wp-content/uploads/2013/01/New-KLIA-Transit-Peak-Timetable-Update-160714.pdf

** เป็นที่น่าเสียดาย ราคาตั๋วทั้ง KL Ekspres และ KL Transit ขึ้นราคาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 59 แล้วครับ ตามนี้ (KL Ekspres จากราคาเดิมเที่ยวเดิม 35 RM เป็น 55 RM แพงมากๆ)
KL Ekspres ราคาใหม่
http://www.kliaekspres.com/wp-content/uploads/2015/12/ERL-Fare-Revision-Info-KE.pdf
KL Transit ราคาใหม่
http://www.kliaekspres.com/wp-content/uploads/2015/12/ERL-Fare-Revision-Info-KT-Final-131215.pdf


ผ่านทางเข้าแล้วเลี้ยวขวาจะเจอกับบันไดเลื่อนลงไป ซ้ายมือ KL Ekspres ขวามือ KL Transit เราไปรอขบวนขวามือครับ กดปุ่มเปิดประตูแล้วเข้าไปข้างในเลยครับ เพราะขบวนนี้แหละที่จะออกในไม่ช้า


วิวระหว่างทางครับ สดชื่นดี


ถึงแล้วครับ สถานี Bandar Tasik Selatan ใช้เวลา 29 นาทีด้วยกัน


เดินลงจากรถไฟแล้วก็ขึ้นบันไดไปนะครับ แล้วลงบันไดไปหาบันไดเลื่อนอีกอันครับ เพื่อไปยังป้าย Terminal Bersepadu Selatan หรือ TBS สถานีชุมทางรถบัสของเมืองกัวลาลัมเปอร์(คนมาเลย์ออกเสียง กัว-ลา-ลัม-โปร์) นั่นเอง มองเห็นวิวสะพานเหล็กโค้งด้านขวามือแบบนี้เป็นอันใช้ได้

ปล.ดูวิธีเดินทางจากครั้งเมื่อไปมะละกาครั้งก่อนได้ที่นี่


เดินเข้ามาภายในอาคารแล้ว เราก็ไปถามประชาสัมพันธ์เลยครับ ว่าจองตั๋วมาจากทางเน็ตแล้ว ไปรับตั๋วจริงได้ที่ไหน? เจ้าหน้าที่ก็บอกกับเราว่า เคาน์เตอร์ A, B, C ทางโน้นพร้อมกับชี้มือให้เห็นทิศทาง เราก็ไปตามทาง ตรงนี้ครับ ยื่นใบเสร็จที่ print ออกมาให้เจ้าหน้าที่และรอ ตอนแรกคิดว่าจะได้ตั๋วหรือบอร์ดดิ้งพาสอันใหม่ กลายเป็นว่าแค่ประทับตราใบใบเสร็จที่ print มานั่นและแล้วใช้อันเดิม 555

หน้าตาใบเสร็จ หรือ e-ticket ก็ตามในรูปนี้ครับ จองทาง http://www.busonlineticket.com/booking/bus-tickets.aspx เลือกชำระด้วยบัตรเครดิตได้ครับ เอาประกันหรือไม่ก็ตามสะดวก เลือกที่นั่งได้ แต่จะชาร์จค่าธรรมเนียมด้วยนะครับ 2 RM/คน ผมกลัวเที่ยวรถหมด เลยกันเหนียวจองล่วงหน้าดีกว่าครับ สบายใจดี ไปถึงก็ไม่ต้องต่อแถวซ์้อตั๋วแล้ว แค่ไปช่อง A-C ประทับตราแค่นั้นเอง


หลังจากนั้นก็ยังเหลือเวลาอยู่ครับ เวลารถออก 12.30 น. ตอนนี้ 12.04 น. เลยฝากท้องมื้อเที่ยงที่ food center ชั้น 2 ครับ สะอาดน่าใช้มากๆ มาครั้งก่อนไม่ได้ใช้บริการเลย แลกบัตรเงินสดก่อนครับ เหลือมาแลกคืนได้ ผมแลก 20 RM ก่อน


ร้านนี้ดีกว่า ข้าวมันไก่ทอด ไก่ย่าง ตามแต่จะเลือก ผมเลือก Black Pepper ข้าวมันไก่ย่างพริกไทยดำ 5.5 RM อีกจาก Madu


หน้าตาเป็นแบบนี้ ก็อร่อยดีครับ น้ำซอสอร่อยดี รวมแล้วมื้อนี้ 13.2 RM ครับ แล้วก็ไปแลกบัตรคืน


เกือบได้เวลารถออกแล้ว อีก 10 นาที เลยเดินลงมาชั้นล่าง คนก็มาต่อคิวซื้อตั๋วยังไม่เยอะครับ สังเกตด้านขวามือจะมีเคาน์เตอร์พิเศษเพิ่มมานะครับ คอยดูว่าทำไมถึงต้องเพิ่มมาด้วย ไม่พอหรือไง เดี๋ยวขากลับจากคาเมรอนจะพบคำตอบครับ อิอิ


เราลงมารอที่เกท 1 ก่อนครับ ระหว่างรอก็ทดสอบความเร็ว 4G ซะหน่อย ดูซะ ใช้ได้ๆครับ


คล้ายๆเกทขึ้นเครื่องบินในดอนเมืองเรานะครับ แต่ที่นี่สะอาดกว่าเยอะ ตั๋วบอกเกท 1 ครับ ได้เวลาเรียกขึ้นรถแล้ว ต่อแถวๆ


รถคันนี้ครับ บริษัท GT Express เบาะกว้างดี เรียงแถวแบบ 1 2 นะครับ


สังเกตว่าจะมีถุงดำให้ใช่เวลาจะอ๊วกครับ เพราะรถสายนี้ขึ้นเขา คล้ายๆไปปายนั่นแหละครับ ดูซิว่าจะมีคนได้ใช้มั้ย 555
รถออกสายกว่าเวลา 10 นาทีครับ แย่จริงๆ แต่ก็แล่นไปเรื่อยๆ คนขับรถไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ครับ


ผมใช้ Google map ดูทางตลอดดีมากเลยครับ เวลาผ่าน 2 ชม.นิดๆ 14.40 น. ก็มาหยุดพักรถเข้าห้องน้ำ 20 นาที

ตรวจสอบจาก google map ดูพบว่าอยู่ตรงจุดนี้แล้ว กลางทางพอดี


พอรถเริ่มแล่นอีกครั้ง เส้นทางต่อจากนี้ไปแหล่ะจะเป็นเส้นขึ้นเขาอย่างแท้จริง ยังงงๆอยู่ว่า รถโค้ชใหญ่ๆแบบนี้ขึ้นเขาได้ไงนะ คนขับเก่งมากๆเลยนะครับ เห็นสวนกับรถคันอื่นที่ขัยสวนมาก็เสียวกันไป ถนนก็พอๆกับทางไปปายบ้านเราแหล่ะ แต่คงเพราะเขาขับมีวินัย ไม่ขับกินเลนมาเลยนะครับ


รถมาจอดเติมน้ำมันอีกครั้งที่ปั๊มเชลล์ เมือง Ringlet เมืองอันดับแรกในคาเมรอน ไฮแลนด์ จอดแป๊บเดียว ระวังถ้าใครจะลงให้บอกเพื่อนไว้ด้วยหล่ะ เดี๋ยวกลับมาจะหารถไม่เจอเพราะเจ้านี่มันไม่รอนะเออ


เพื่อเป็นการทำความเข้าใจภูมิศาสตร์ของเมืองใหญ่ๆ 3 เมืองบนเขาคาเมรอน ไฮแลนด์ จึงได้แนบแผนที่นี้มาให้ครับ เมืองอันดับแรกคือ Ringlet ต่อจากนั้นจะเป็น Tanah Rata และ Brinchang จะเป็นเมืองที่อยู่สูงที่สุดจากระดับน้ำทะเล


สักพักก็จะเจอกับทะเลสาบข้างทางทางด้านขวามือ สีนี่โคลนชัดๆเลยนะครับ เหลืองอ๋อยเลย ไม่น่าลงไปเล่นเลย


เวลา 16.46 น. รถบัสก็มาจอดส่งคนที่ Tanah Rata Terminal เป็นจุดสุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ต่างลงมาแล้วหยิบสัมภาระด้านล่างของรถ เนื่องจากเราจองรถขากลับไว้แล้ว เลยไม่ต้องมาจองที่เคาน์เตอร์นี้ แต่ถ้าใครยังไม่ได้จองขากลับก็ให้มาจองก่อนนะครับ เดี๋ยวมาจองตอนจะกลับจริงๆจะเต็มเอาได้ โดยเฉพาะเทศกาลครับคนจะเยอะมาก


หน้าตา Tanah Rata Terminal เป็นแบบนี้ครับ เก่าๆ ผีหลอกๆ ชั้นบนร้างๆอ่ะ


ตรงด้านถนนใหญ่ก็จะเป็นถนนเมนหลักของที่นี่แล้ว ด้านขวาเป็นร้านขายอาหารและอื่นๆ สีแดงๆร้าน Marrybrown ร้านขายไก่ทอดแบบ KFC ครับ เดี๋ยวเราจะมาทานในวันรุ่งขึ้นกัน แปลกทำไมไม่มีร้าน KFC น้าาา ส่วนด้านหน้าตรงไปยังเกสท์เฮ้าส์ที่ได้จองไว้แล้วครับ อากาศเย็นสบายดีมากๆ


เดินไปเรื่อยๆ หันไปมองย้อนหลัง บรรยากาศประมาณซาปานะครับ ถ้าใครได้เคยไปมา อากาศเย็นๆ แต่ไม่ต้องไปไกลถึงเวียดนามเหนือ แต่กลิ่นจะเป็นแขกๆ เครื่องเทศตามประสาประเทศมุสลิม


ใครติดสตาร์บักส์ ที่นี่ก็มีให้ทานนะครับ ส่วนผมขอกาแฟท้องถิ่นหรือธรรมดาก็พอแล้ว


เดินถึง 4 แยกก็เลี้ยวซ้ายครับ แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ เจอ 3 แยกก็ให้เดินไปทางซ้าย ผ่าน KRP Pine guesthouse ที่อยู่หัวมุม แล้วก็จะเจอที่พักที่ได้จองไว้ Father's Guesthouse ทางด้านขวามือ


ผมจองมา 2 คืน เลือกแบบห้องน้ำในตัว ราคารวม 2,057.29 บาท ถือว่าโอเคเลยครับ เข้าไปเช็คอินกัน


เจ้าหน้าที่ต้อนรับเป็นสาวข้ามเพศครับ แต่อัธยาสัยดีมาก แนะนำตลอด พาไปดูห้อง ซึ่งห้องอยู่ชั้น 2 วิวดี


อีกวิวหนึ่งเมื่อมองจากหัวเตียงไปปลายเตียง อ้อ...ไม่มีแอร์นะครับ เพราะอากาศเย็นตลอด 18-22 องศา


มาดูห้องน้ำกันบ้าง ก็สะอาดดีครับ มีเครื่องทำน้ำอุ่น


ออกมาชมโต๊ะนั่งเล่นด้านนอกห้องรวม ชั้น 2


และโซฟานั่งชิวๆ ที่ริมระเบียงครับ


มุมมองจากโซฟาข้างบน


ตรงนี้เป็นโต๊ะนั่งอ่านหนังสือชั้นล่าง ส่วนใหญ่ฝรั่งจะมานั่งกันครับ


เกือบๆ 6 โมงเย็นแล้ว ออกไปหาอาหารเย็นทานกันดีกว่า อากาศเย็นๆแบบนี้ก็ต้องอาหารยอดนิยมอย่าง steamboat หรือ สุกี้นั่นเอง ร้านที่แนะนำคือ May Flower แผนที่ตามนี้เลยครับ เดินเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุม


สั่งแบบเนื้อสัตว์ทั้งหมด แต่หมูกับเนื้อต้องเลือกนะครับว่าจะเอาอันไหน เลือกทั้ง 2 ไม่ได้ เราเลยเลือกเนื้อครับ คิดราคาเป็นต่อคนครับ มา 2 คน ก็ 40 RM คนละ 20 RM ครับ น้ำแนะนำเป็น Hot tea 1 กานะครับ กาละ 4 RM เยอะดีมาก ทานกันเกือบไม่หมดเลย


ซูมให้ดูแบบชัดๆ ทานจนอิ่มหล่ะครับ


อ้อ...น้ำซุปเลือกแบบ 2 in 1 คือ มีแบบต้มยำและแบบธรรมดามาให้ครับ แต่สุดท้ายก็ทานแบบธรรมดาอร่อยกว่าเยอะครับ อิ่มกันเลย เหงื่อออกซิกๆ แก้หนาวได้ดีทีเดียว 

เอาหล่ะ คงต้องทิ้งไว้แค่นี้สำหรับวันแรกที่คาเมรอนครับ แล้วมาเที่ยวกันต่อที่ไร่ชากับเราในวันพรุ่งนี้ครับ

สรุปค่าใช้จ่ายประจำวัน
01.ค่าแท็กซี่ 50+347 บาท
02.ค่าซิมการ์ด DiGi 37 RM
03.ค่ารถไฟ KLIA Transit 53 RM
04.ค่าอาหาร 11.5+1.7 RM
05.ค่าน้ำที่ปั๊ม Ringlet 1.5 RM
06.ค่า Steam boat 40+4 RM
รวม 397 บาท + 148.7 RM

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

3 ความคิดเห็น: