"เราเหรอ...ก็เคยไปสิมิลันแหล่ะ แต่ไปตอนเด็กๆนะ นานมากแล้ว"
"แล้วเธอสนใจที่จะไปดำน้ำที่หมู่เกาะสุรินทร์มั้ย ? เขาว่ากันว่าเป็นที่ดำน้ำตื้นที่สวยที่สุดในประเทศเลยนะ"
นั่นเป็นบทสนทนาหนึ่งเดือนก่อนออกทริปของเพื่อนชายหญิงทั้งสองที่เคยพบกันครั้งแรกเมื่อตอนม.1 ย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้ว เป็นการสนทนาเชิงชวนใครสักคนที่เคยมีความรู้สึกดีๆให้กันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ก็เพียงเพื่อนเท่านั้น ครั้งนี้ดูจะเป็นการสนทนาที่แตกต่างออกไปจากคำว่าเพื่อน มิเช่นนั้นแล้ว ผมคงไม่ชวนใครไปเที่ยวง่ายๆตามประสาผมหรอก
การตอบกลับมาในเชิงแบ่งรับแบ่งสู้ของเพื่อนหญิงดังกล่าวว่าขอถามเพื่อนก่อน นั้นเป็นสิ่งที่ยังคาใจผมอยู่ว่าจะได้คำตอบออกมาเช่นไร ไม่นานอีกสองวันก็ได้คำตอบว่าไป ! ผมดีใจสุดๆ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ก็เป็นอันว่า สิ่งที่ผมอธิฐานไว้ตอนไปเที่ยวเชียงของนั้นอยู่ไม่ไกลเกินไปนัก จึงดลใจให้ผมกลับมาโทรหาเธอคนนี้อีกครั้งหลังจากที่ห่างหายในการคุยเชิงเพื่อนมานานเป็นปี
การเตรียมตัวไปหมู่เกาะสุรินทร์นั้น ตอนแรกเริ่มผมคิดไว้ว่าจะไปเมื่อปีที่แล้วหลังจากกลับจากทริปตรัง แต่ก็ไม่ได้ไปเนื่องจากแม่ไม่สบาย ทริปต่างๆต้องหยุดพักไปโดยปริยายและไม่เคยเสียใจเลย มาช่วงนี้ คงต้องกลับมาปัดฝุ่นทริปดังกล่าวให้ได้ เพื่อจะได้ปิดทริปทะเลอันดามันซะที หลังจากที่ไปมาเกือบจะหมดจนเหลือเกาะใหญ่ๆก็แค่ หมู่เกาะสุรินทร์นี้เอง
ผมโชคดีเล็กน้อยตรงที่ตอนแรกคิดว่าจะไปคนเดียว แต่แล้วก็ได้เพื่อนร่วมทริปทั้งครอบครัวอย่างพี่เก๋(ป้าพาฝัน)จากคลับเรารักโปสการ์ดที่พอจะทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาว่าคราวนี้คงจะไม่เหงาอีกแล้ว การจองเรือ รถทัวร์ สิ่งที่เกี่ยวข้องทุกๆอย่างเริ่มขึ้นเมื่อกลับมาจากเชียงของ ผมทำเองทั้งหมดโดยได้รับความช่วยเหลือจากบาราคูด้าเป็นอย่างดี โดยพี่เก๋ที่ใครๆในนี้ก็ให้ recommend ว่าบริการสุดยอด ใจเกินร้อยซึ่งผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ผมเฝ้ารอวันที่จะไปทุกๆวินาที พร้อมๆกับสานสัมพันธ์กับเธอคนนั้นที่ผมเลือกที่จะชวนไปด้วย แต่แล้ว โชคคงจะไม่เข้าข้างผม อีกหนึ่งสัปดาห์เธอเป็นฝ่ายโทรมาบอกแบบนุ่มนวลว่าคงไปไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม... ผมเองก็เลยต้องกลับมาโหมดเศร้าและเหงาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนไปไม่กี่วันก็ลองโทรชวนเอ(ตัวเรา)จากคลับเรารักโปสการ์ดไปด้วยเพราะนึกขึ้นได้ว่าเอเคยบอกๆว่า "ถ้าพี่จะไปเที่ยวไหนช่วยบอกผมด้วย ผมจะขอติดตามไปด้วยถ้าไม่รังเกียจ" เอขอเวลาถึงวันจันทร์จึงจะให้คำตอบผมได้ ซึ่งเอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง สามารถเดินทางไปได้ ผมรู้สึกดีขึ้นมาอีกครั้งเพราะจะได้เดินทางจากกทม.แบบไม่โดดเดี่ยวแล้ว
พอถึงวันจันทร์สัปดาห์ที่จะเดินทาง ผมไปรับหนังสือจากเพื่อนสนิทที่เขาให้ยืมไปอ่านซึ่งเขียนเกี่ยวกับหมู่เกาะสุรินทร์พร้อมกับคุยกันในหลายๆเรื่อง แต่แล้วไม่ทราบว่าเพราะอะไร เธอคนนั้น คนที่ผมเฝ้ารอก็โทรมาคุยอีกครั้ง ผมเลยลองถามไปอีกครั้งว่าตกลงถ้าเบื่อๆ ไปเที่ยวหมู่เกาะสุรินทร์กันมั้ย ซึ่งผมเองก็ทำใจในคำตอบแล้วว่าคงจะไม่ไป ผมคิดผิด....เธอคนนั้นถามต่อในเรื่องต่างๆว่าจะทันหรือเปล่า เรื่องตั๋วรถทัวร์ เรือ และเต็นท์ ฯลฯ ผมบอกไปว่าไม่มีปัญหา สามารถมีที่นั่งและไปได้ ขอแค่ไปคำเดียวแค่นั้นเอง
วันนั้นดูโชคชะตาจะกลับมาเข้าข้างผมอีกครั้ง สุดท้ายเธอตอบตกลงไป คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของเพื่อนสนิทที่ผมมารับหนังสือได้ไปเลือกซื้อชุดต่างๆให้เธอ ต้องขอขอบคุณเพื่อนสนิทคนนี้มากนะ
ในที่สุดวันเดินทางจริงก็มาถึง ทุกอย่างดูราบรื่นดี รถที่จะไปผมได้ความเอื้อเฟื้ออย่างที่ไม่เคยได้รับจากทัวร์ไหนๆมาก่อน นั่นคือไปกับรถโค้ชแพ็คเก็จที่ขึ้นจากโลตัสอ่อนนุชของบาราคูด้า โดยไม่เสียค่าโดยสารแม้แต่บาทเดียวจากที่นั่ง 3 คนที่เดินทางจากกรุงเทพไปคุระบุรี โดยมี เอ, เธอคนนั้น และตัวผม ส่วนครอบครัวพี่เก๋จะไปสบทบอีกทีที่ออฟฟิศบาราคูด้า คุระบุรี จ.พังงา
นี่คือเรื่องราวทริปที่พิเศษสำหรับผมซึ่งผมอยากจะเล่าให้เพื่อนๆ BP ฟัง
หลังจากที่มีคนทราบว่าผมจะไปหมู่เกาะสุรินทร์ ผมก็ได้กล้องโอลิมปัสรุ่นที่กันน้ำได้มาสัมผัสและทดลองแบบไม่ต้องเสียเงินเลย แถมยังส่งมาให้ผมถึงที่ด้วยซ้ำไป หลังจากที่รับกล้องเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ไปทานอาหารกับครอบครัวเธอและรอเอมาสมทบที่โลตัสอ่อนนุช รถที่จะเดินทางไปมีอยู่ด้วยกัน 2 คัน เราทั้งสามได้รับสิทธิพิเศษโดยนั่งชั้นล่างกับสต้าฟแบบสบายๆ อภินันทนาการโดยพี่เก๋ บาราคูด้า
รถออกจริงๆประมาณทุ่มสิบนาที พอนั่งในรถเจ้าหน้าที่ก็จะมาบอกว่ามีแผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย 7.2 ริกเตอร์ ตอนนี้กำลังเช็คข่าวอยู่ตลอดว่าจะมีอะไรมั้ย เขาเตือนๆว่าอาจจะเกิดซึนามิก็เป็นได้ ส่วนตัวผมนั้นไม่กลัวอยู่แล้ว อยู่ที่ไหนก็ตายถ้าถึงคราวจริงๆ สิ่งนี้จึงทำให้เพิ่มดีกรีกับการเดินทางทริปพิเศษทริปนี้มากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ !
ระหว่างทางได้คุยกับพี่สต้าฟคนหนึ่งชื่อปริม พี่คนนี้เป็นนักเดินทางตัวยงเช่นกัน ไปมาแล้วหลายที่ทั่วประเทศไทย ครั้งนี้มาช่วยงานกับบาราคูด้าคอยเทคแคร์ลูกค้าเป็นอย่างดี คุยกันหลายๆเรื่องระหว่างเดินทางเพราะผมยังไม่หลับ แล้วยังได้รับรู้เรื่องราวอันตื่นเต้นจากพี่ปริมตอนที่เกิดซึนามิที่ผ่านมาด้วย พี่ปริมเขาอยู่ในเหตุการณ์ซึ่งฉุกละหุกน่าดู ฟังไปก็ลุ้นไป ตีหนึ่งหรือตีสองก็จำไม่ได้แล้ว รถแวะพักกลางทางที่ร้านอาหารสาหร่าย คนเยอะแยะไปหมด หลังจากนั้นจึงเดินทางต่อและไปสิ้นสุดที่บ้านสวน ซึ่งเป็นเนื้อที่ของบาราคูด้าโดยตรง มีห้องน้ำ อาบน้ำ และโรงทานอาหารเช้าฟรีก่อนที่จะเปลี่ยนพาหนะเป็นเรือไม่ว่าจะเป็นเฟอร์รี่หรือสปีดโบทก็ตามแต่นักท่องเที่ยวเลือกใช้บริการ
รถโค้ชมาถึงประมาณตีห้ากว่าๆ อากาศเย็นมาก เสียดายที่ไม่ได้เอาเสื้อแจ็คเก็ตมา ทุกคนลงจากรถเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน หรือไม่ก็อาบน้ำกัน หลังจากนั้นก็ทานอาหารซึ่งเป็นข้าวต้มและกาแฟหรือโอวัลตินตามแต่จะชอบฟรี เพื่อรอเวลาแสงพระอาทิตย์ขึ้นและจะได้เดินทางกันไปหมู่เกาะที่สวยอีกแห่งหนึ่งของไทย
กรุ๊ปผมเลือกซื้อเฉพาะตั๋วเรือไม่ได้เดินทางแบบแพ็คเกจ โดยชนิดเรือนั้นพี่เก๋(ป้าพาฝัน)เลือกที่จะไปแบบเร็วๆคือนั่งสปีดโบ้ทนั่นเอง ลำที่จะพาเราไปคือพวงพยอม รอเวลาที่น้ำจะขึ้นและฟังการสรุปการไปใช้ชีวิตที่หมู่เกาะสุรินทร์คร่าวๆจากพี่โก้ แฟนพี่เก๋ บาราคูด้า โดยพี่โก้ได้ให้เกร็ดเล็กๆน้อยๆและใหญ่ๆจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี
แปดโมงครึ่งก็เริ่มเดินทางกันแล้ว เรือสปีดโบ้ทค่อยๆแล่นอย่างช้าๆจากท่าเรือของตัวเองที่บ้านสวน แล้วเร่งสปีดจนเต็มกำลังของเครื่องยนต์แบบ V6 ถึง 2 เครื่องด้วยกัน ช่วงที่ออกมาอยู่ในน้ำเต็มที่แล้ว
เรือทิ้งโค้งอย่างกับรถแข่งยังไงยังงั้น ส่งผลให้ฟองน้ำขาวๆของผืนน้ำแตกกระจายออกไปเป็นแนวยาวตามทางโค้งที่เรือแล่นผ่าน
ไม่นานนักหลังจากที่เรือเริ่มแล่นออกไกลจากฝั่งเรื่อยๆ ผ่านคลื่นๆหลายๆลูก บางคนไม่เคยมาแบบนี้ถึงกับออกอาการอาเจียนกันอยู่หลายคน น้องๆเด็กๆจะเป็นมากหน่อย ส่วนผมและเอคงชินแล้วมั้ง แค่นอนหลับเพื่อพักผ่อนร่างกายทดแทนเวลาที่นอนไม่พอบนรถนั่นเอง
ไม่นานนัก ชั่วโมงกว่าๆเรือก็เริ่มลดสปีด เพราะเข้าใกล้เกาะที่พวกเรารอคอยแล้ว เห็นเรือประมงหาปลาอยู่ใกล้ๆ คงอีกไม่กี่อึดใจเราก็จะมีความสุขร่วมกันแล้วที่ท้องทะเลแห่งนี้ หมู่เกาะสุรินทร์
น้ำใสๆสีเขียวมรกต มองเห็นช่องขาดอยู่ด้านขวามือ ตรงเบื้องหน้าไกลออกไปคือท่าเรือที่เราจะลงนั่นเอง
พอถึงท่าเรือที่อ่าวช่องขาด พวกที่พักที่หาดไม้งามอย่างกรุ๊ปเราก็ต้องถ่ายเรือและสัมภาระจากสปีดโบ้ทไปเรือหางยาว สัมภาระของพวกเราก็เอาไปไม่ใช่น้อย ไหนจะขาตั้งกล้องเอย กล้อง 3 ตัวพร้อมเลนส์ 3 ตัว เป้เสื้อผ้า เต็นท์ที่หอบหิ้วไปเอง ฟินและสน็อคเกิ้ลส่วนตัว ทำให้ดูๆแล้วอย่างกับคนย้ายบ้านยังไงยังงั้นก็ว่าได้
เรือหางยาวพร้อมออกจากท่าแล้ว เพื่อมุ่งไปยังจุดกางเต็นท์ที่หาดไม้งาม
ผมได้แต่เก็บภาพอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ของอ่าวช่องขาดแบบไกลๆผ่านผืนน้ำทะเล โดยยังไม่ได้ไปเหยียบทรายที่นั่นด้วยซ้ำ
มาถึง 200 เมตร ณ หาดไม้งานแล้วก็ต้องหอบหิ้วสัมภาระอย่างกับบ้าหอบฟางมาที่จุดกางเต็นท์ที่บาราคูด้าได้จองไว้ให้เราแถมยังอุตส่าห์ไปกางเต็นท์ส่วนตัวของผมจองไว้ให้ด้วย
วันแรกนี้เราแพลนว่าจะสบายๆ ไม่เร่งรีบไปดำน้ำ ดังนั้นช่วงบ่ายจึงเป็นช่วงเวลาเงียบสงบ เป็นช่วงแห่งความสุขที่แต่ละคนจะเลือกสรรกันมาทำกิจกรรมต่างๆบนหาดทรายที่นี่ หลังจากทานอาหารกลางวันที่แสนจะแออัด ผมขอตัวกับคนอื่นๆเพื่อพาเธอมาถ่ายรูปและพักผ่อนบริเวณนี้ เธอดูจะมีความสุขเมื่อได้เห็นปูเสฉวน
ณ บ่ายๆแบบนี้จะมีอะไรดีเท่าได้เดินย่อยอาหารไปตามชายหาดซึ่งโค้งเว้าเข้าหากันของที่นี่
ดูเธอจะผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเห็นหาดทรายและทะเลสีฟ้าใส ซึ่งผมก็รู้สึกดีที่เป็นอย่างนั้น
ชอบภาพนี้จัง ใบหน้าเธอไม่เปลี่ยนมาก ผมยังจำเธอได้เมื่อตอนผมบ๊อบกระโปรงบานเมื่อครั้งเรียนม.ต้นด้วยกัน
เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก แป๊บๆตกเย็นแล้ว และสิ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือการได้ไปดูพระอาทิตย์ตกทะเล(หลังภูเขา)ที่อ่าวกระทิง
ขอถ่ายกับป้ายอุทยานฯที่หาดไม้งามก่อนจะเดินไปที่ 200 เมตร
และอีกที่ที่ไม้แกะสลักที่จุด 200 เมตรหน้าหาด เพราะตอนมาถึงหมดแรง ไม่มีเวลาถ่ายรูปอะไรทั้งนั้น
ตกเย็น ห้าโมงเกือบหกโมงน้ำจะลด เราจึงเดินเลาะตามโขดหินไปได้
เธอบอกให้ถ่ายใบไม้ที่หล่นบนผืนทรายด้วย
อีกรูปที่เธอเลือกมุมมองเอง แต่ผมดันถ่ายเองซะนี่ น่าตีจริงๆเลยเรา
พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว เธออีกนั่นแหล่ะที่แนะนำให้ถ่ายมุมนี้
โอ้ว....ช่างมีความสุขจริงๆเลย มากันสองคนแถมยังได้ชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน
บริหารร่างกายนิดนึง เธอคงชอบหล่ะสิ อยู่กรุงเทพก็นั่งแต่ทำงาน ไม่มีเวลาเที่ยวแบบนี้
รูปสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดจะเข้ามาเยือน พอเก็บภาพเสร็จเรารีบเดินกลับเพราะน้ำขึ้นมาแล้ว ขามาเดินเท้าแห้ง ขากลับเดินลุยน้ำถึงกลางแข้ง ช้ากว่านี้สงสัยจมแน่ๆเลย
พอเดินกลับมาถึงก็ได้พี่เก๋และเอที่เตรียมข้าวและกับข้าวไว้ให้แล้ว ไม่ต้องไปต่อแถวซื้อ ต้องขอบคุณมากๆครับพี่ แถมยังต้องขอขอบคุณพี่ต๋อยแฟนพี่เก๋ที่อุตส่าห์ขน Absolut Vodka อย่างดีมาให้เราชิมกัน (ทริปหน้าขอแบบนี้อีกนะครับ)
สภาพความหนาแน่นในโรงอาหารก็เป็นแบบนี้แหล่ะในยามช่วงหน้าเทศกาลหยุดยาว ถ้ามาช่วงธรรมดาคนคงไม่แออัดกันมากมายนัก
ดูสิ แน่นกันจนต้องออกมาปูผ้าใบทานอาหารกันที่ผืนทราย แต่ผมก็ว่าได้บรรยากาศไปอีกแบบนะ ถึงคนจะเยอะแต่ไม่มีเสียงอึกทึกโวยวายเลย
พอสามทุ่มกว่าๆเกือบสี่ทุ่ม ผมขอตัวเพื่อพาเธอมาคุยกัน ณ ผืนทรายที่ยามนี้น้ำขึ้นมาปิดเกือบหมดแล้ว ผมนำไฟฉายที่เตรียมมาเพื่อฉายปูลมและถ่ายรูปมันวิ่งไปวิ่งมา ถ่ายมาหลายรูป ได้รูปนี้ที่ดีที่สุดแล้ว เธอเป็นคนถือไฟฉายให้นั่นเอง
รุ่งเช้าวันที่สองบนเกาะแห่งนี้
ช่างเป็นเช้าวันสดใสกว่าเช้าใดๆเลยก็ว่าได้ เมื่อคืนอากาศเย็นจนผมต้องลุกขึ้นไปเอาผ้าเช็ดตัวมาห่มแทน ตอนแรกก่อนมาก็สืบข้อมูลว่าร้อนมากให้ซื้อแป้งตรางูมาก่อนนอน ผลปรากฏว่าไม่ได้ใช้ซะนี่
เธอชอบรูปนี้ เธอบอกให้ถ่ายมุมนี้ เสียดายที่ผมมือสั่นถ่ายเบลอไปหน่อย กางเกงเลบาติกสีที่เธอใส่ช่างบังเอิญกับเสื้อที่เธอนำมาพอดีเลย นั่นใช่เหตุบังเอิญหรือ ?
พอเก็บภาพยามเช้าและทานอาหารเช้ากันจนอิ่ม เราก็เริ่มเดินไปรอที่จุด 200 เมตรหน้าหาดเตรียมที่จะไปดำน้ำรอบแรกกัน คนเยอะอย่างที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย คิดว่าจะไปตลาดนัดกันซะอีก
ได้เวลาที่จะไปดำน้ำกันแล้ว พวกเราภาวนาว่าจะได้ไปกับเรือที่มีหลังคา สุดท้ายโชคยังเข้าข้างเรา อิอิ
ส่วนคนที่ขึ้นเรือลำนี้น่าสงสาร เจอแจ็คพ็อต ไม่มีหลังคา ร้อนไปตามๆกัน
จุดแรกที่เราลงดำคืออ่าวเต่า แต่มาทราบทีหลังว่าคนเรือมาส่งผิดตลอดตลอดทั้งรอบนี้เลย แต่น้ำใสๆก็ยังพอให้อภัยได้นะ
ต่อจุดที่สองคือกองหินแพ ซึ่งจุดนี้เธอสามารถหายใจทางปากได้ดีขึ้น ผมจึงไม่ได้ดำดูอะไรใต้น้ำมากนัก เพราะห่วงใครบางคน แต่ก็ไม่เสียดายเลย
พอเรือแล่นมาจุดที่สามคืออ่าวแม่ยาย เธอเริ่มเมาเรืออีกแล้ว เลยลงดำที่จุดนี้ไม่ได้ ผมก็ตัดสินใจไม่ลงไปดำเช่นกัน แต่ก็ได้เห็นสิ่งดีๆก็คือนกอินทรีหรือเปล่า ? เขาว่ากันว่าจะโชคดี ผมในใจก็หวังลึกๆอย่างนั้นเช่นกัน
หลังจากนั้นก็กลับมาขึ้นฝั่งอีกครั้ง เอทราบดีว่าคนเรือพาไปผิดจุดเลยทักท้วงกับเจ้าหน้าที่ซึ่งก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี แล้วเขาจะสลับในช่วงบ่ายให้
ตกลงช่วงบ่ายเราทั้ง 7 ชีวิตเหลือดำน้ำอยู่คนเดียวคือเอนั่นเอง ผมเองก็อยากดำแต่คงเข้าใจดีว่าผมคิดอย่างไร ผมเลือกที่จะไม่ดำน้ำแต่ก็แลกมากับการเดินเล่นไปเรื่อยๆกับใครบางคน ณ เกาะแห่งนี้
สภาพเต็นท์ที่ผมนำมาเองทั้ง 2 เต็นท์เลย เต็นท์แรกทางด้านซ้ายมือเจ้าหน้าที่บาราคูด้าโดยพี่เก๋เห็นว่าบ้านอยู่ใกล้แก แกเลยให้ลูกน้องไปรับเต็นท์ผมที่บ้านเพื่อไปกางล่วงหน้า 2 อาทิตย์ ส่วนเต็นท์ทางด้านขวานำมากางเองในวันเดินทาง ค่ากาง 80 บาท/คน/คืน ถูกมากถ้าเปรียบกับเช่าเต็นท์อุทยาน
บรรยากาศเย็นสบายที่หน้าหาดไม้งาม
เธอแปลกใจเมื่อเห็นน้ำทะเลสีแปลกๆโดนซัดเข้ามาหาฝั่ง
รู้สึกตัดสินใจไม่ผิดที่ไม่ไปดำน้ำรอบบ่าย เพราะได้เก็บภาพบรรยากาศรอบๆเกาะหลายๆอิริยาบถเป็นอย่างดี อย่างเช่นการนอนบนเปลยามบ่ายแบบนี้
หรือไม่ก็ได้เห็นกายืนเกาะทุ่นพักเหนื่อยกลางทะเล
ยามบ่ายแบบนี้ เธอเลือกที่จะนำหนังสือที่เพิ่งซื้อมาเรื่อง Secret มานอนอ่านแถมยังอุตส่าห์อ่านให้ฟังอีกต่างหาก
พอเย็นๆหน่อยสักบ่ายสี่โมง น้ำก็ลด ทำให้มองเห็นทั้งโขดหินและปะการังเต็มผืนทะเลที่เมื่อเช้ายังถูกบดบังด้วยผืนน้ำสีฟ้าใสอยู่เลย
วันที่สองบนเกาะสุรินทร์เหนือคงจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ ผมคงต้องรอวันใหม่เพื่ออยากเจอใครบางคนแล้วขอให้เขาอ่านหนังสือให้ฟังอีก
เช้าวันที่สาม ณ เกาะสุรินทร์เหนือ
หลังจากทานอาหารเช้ากับครอบครัวพี่เก๋, เอ และเธอ ก็มีเด็กชาวมอแกนมาขายของที่ทำเองด้วยมือ หลายๆคนที่เล่นกล้องก็จะไปรุมกันถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เดินเข้าไปถ่ายน้องเขา มีเรือลำน้อยๆวางขายอยู่ตามแต่นักท่องเที่ยวจะมาเลือกซื้อ ไม่มีการคะยั้นคะยอให้ซื้อ
คงไม่ใช่เหตุบังเอิญแล้วกระมัง เพราะกางเกงสีชมพูที่ผมเตรียมมาให้ก็ยังเข้าชุดกับเสื้อสีชมพูที่เธอไม่รู้เลยว่าจะซื้อกางเกงสีอะไรมาให้ในวันเดินทาง หรือว่าเพราะอะไรบางอย่าง ?
เธอชอบดอกไม้ดอกนี้เลยอยากให้ถ่ายดอกไม้ออกมาชัดๆ
เกือบทุกๆภาพที่โพสต์ออกมาเธอเป็นคนจัดท่าเองทั้งนั้น อย่างนั่งชิงช้าเป็นต้น ผมเพียงแค่คอยลั่นชัตเตอร์ตามเธออย่างเดียว
ไม่น่าเชื่อว่าเราพบกันครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และมีเหตุต้องมาพบเจอกันอีก
ภาพนี้แม้จะไหวหน่อยแต่ก็ชอบเพราะดูเธออารมณ์ดีและสดชื่นเอามากๆ อยากเห็นอย่างนี้ตลอดไป
ว่างๆก็แอบแคนดิดพ่อลูกชาวฝรั่งเศสที่กำลังเล่นกันบนเปลอย่างสนุกสนาน รู้สึกจะมาพักที่นี่เป็นเดือนแล้ว
และแล้วมื้ออาหารเที่ยงก็เวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งในตอนนี้ อยากให้เห็นว่าช่วงเทศกาลนั้นมันหนักหนาสาหัสยังไงถึงจะได้ทานอาหาร แถมดต๊ะก็มีไม่เพียงพอด้วย ต้องนั่งทานตามขอบปูนไปพลางๆ
ถ่ายมาให้ดูว่าห้องน้ำห้องท่าสะดวกสบาย สะอาด และมีเยอะพอควรที่หาดไม้งามครับ ส่วนที่อ่าวช่องขาดจะน้อยไปนะครับ
พี่เก๋ บาราคูด้า เสนอออปชั่นให้เราว่าไปค้างที่อ่าวช่องขาดในคืนสุดท้ายคือคืนนี้(คืนที่สาม)มั้ย ? โดยจะมีเรือมารับเราไปและไปพักเต็นท์ของทางบาราคูด้าเอง แถมยังไม่เสียเงินอีกต่างหาก อะไรใจบริการเกิน 100 ขนาดนั้นครับพี่
ดังนั้น หลังจากดำน้ำในรอบบ่ายของวันนี้(รอบเช้า 6 คนบายไม่ได้ไปดำยกเว้นเอ) เราก็รีบมาเก็บข้าวของสัมภาระและเต็นท์ เป็นการเก็บเต็นที่รวดเร็วมากๆ 555 ไม่นานเราก็เอาของทั้งหมดขึ้นเรือหางของบาราคูด้าเพื่อถ่ายไปยังอ่าวช่องขาด ส่วนคนนั้นขอให้เดินไปตามชายหาดเหมือนๆกับที่เราเดินไปในวันแรก ทุกคนค่อยๆเดินอย่างสนุกสนาน เพราะวันนี้คนส่วนใหญ่เขากลับกันไปแล้ว เหลือคนไม่มากนักเพราะเรามา 4 วัน 3 คืน มาทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม
ถึงแล้วหล่ะ อ่าวช่องขาด นี่เป็นวิวยามเย็นเมื่อน้ำลด เสียดายที่ก่อนซึนามิจะสามารถลงเดินไปดูปะการังและเจ้าปลาการ์ตูนได้อย่างใกล้ชิดเลย แต่มาบัดนี้ ซึนามิทำให้ร่องน้ำเปลี่ยนไปกลายเป็นร่องน้ำลึก จนต้องมีป้ายเตือนให้นักท่องเที่ยวระวังเวลาเล่นน้ำเพราะมีกระแสน้ำวนบริเวณนี้ ซึ่งแต่ก่อน จุดนี้เปรียบเสมือนสวรรค์สำหรับนักดำดูนีโมเลยทีเดียว
ณ คืนที่สามคืนสุดท้ายที่หมู่เกาะสุรินทร์แห่งนี้ ใครเลยจะมีความสุขปนการกังวลใจเล็กน้อยแบบผมคงไม่มีอีกแล้ว นี่ผมกลับมาเป็นวัยรุ่นอีกครั้งหนึ่งเหรอ ได้แต่ถามตัวเอง แต่ยังไงซะทำในสิ่งที่ดี มีความสุขคงจะไม่ผิดอะไรมั้ง
คืนนี้ต้องขอขอบคุณพี่ต๋อย สปอนเซอร์เบียร์สิงห์ถึง 2 กระป๋องให้ผมคนเดียวเลย แถมยังไปต่อที่หน้าเต็นท์คุยกันไปแล้วดื่ม vodka ที่เหลืออยู่ด้วย ความสุขแบบนี้ผมบอกได้คำเดียวว่ายากมากสำหรับผมจริงๆ คงต้องขอขอบคุณมิตรภาพอันแสนงามที่ก่อขึ้นเพราะบ้านหลังนี้ Blue Planet ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า มิตรภาพไม่มีวันจางหายจริงๆและจะก่อกำเนิดในทุกๆที่ที่เรามีน้ำใจให้แก่กัน
ขอจบตอนแรกไว้แค่นี้ก่อนครับ แน่นอนว่ามีตอนที่สอง คงได้อำลาทริปแบบไหนก้ต้องติดตามกันต่อไปครับ ขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่เข้ามาอ่านและลง comment นะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ
Original Published on www.pantip.com at [ 11 มี.ค. 51 00:52:05 ]
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น