วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

ทุ่งบัวตอง ดอยแม่อูคอ ตอน 2 อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์...สถานที่ที่เคยพลาดหวังเมื่อสามปีที่แล้ว


หลังจากเต็มอิ่มกับการถ่ายรูปกับทุ่งบัวตอง ดอยแม่อูคอ  พอๆกับการหมดแสงพระอาทิตย์ที่สาดส่องขอบฟ้า ณ เวลานั้น ผมบอกกับน้องให้เรารีบกลับไปที่อช.น้ำตกแม่สุรินทร์ เนื่องจากถ้าเวลามืดแล้ว การขับรถบนเขาค่อนข้างยาก ประกอบกับมีการทำทางอยู่ตลอด เกรงว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้น เราจึงได้เคลื่อนตัวประมาณเวลาหกโมงเย็นได้

เย็นวันนี้อากาศเย็นพอควร ทั้งคู่ผลัดกันอาบน้ำที่ห้องน้ำของอุทยาน เราสังเกตเห็นว่า ไม่มีนักท่องเที่ยวรายใดมาอาบน้ำเลย จะมีก็แต่ผมกับน้องนี่แหล่ะ น้ำเย็นเข้ากระดูกใช้ได้เลย 

คืนวันนี้ดูท่าบรรยากาศจะไม่ดีดังใจหวังซะแล้ว เพราะมีนักท่องเที่ยวที่ขาดจิตสำนึก โดยคิดแต่จะเปลี่ยนบรรยากาศการร้องเพลงคาราโอเกะจากตัวเมืองมาร้องที่ป่าเขาลำเนาไพรแทน ทำให้ผมรู้สึกเซ็งมากๆ พวกเขาน่าจะมากันประมาณ 5-6 คันได้ ใช้เครื่องเสียงระดับที่คนละแวก 1-2 กม.ได้ยินแบบร้องตามได้ละกัน ทำให้ความเงียบสงบแบบป่าเขาที่นักเดินทางที่ดีต่างเฝ้ารอที่จะเจอนั้นมลายหายไป เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการเปิดไฟแฟลชเป็นจังหวะด้วย นอนหลับตาก็จะสะดุ้งกับแสงแฟลชที่สาดแว๊บเข้ามา ค่ำคืนนี้จึงกลายเป็นค่ำคืนแห่งความอดทน แต่ไม่เป็นไร เราก็คงต้องนอนหลับเพื่อเอาแรงต่อไป


เช้าวันใหม่ จากเสียงมือถือที่ตั้งปลุกไว้ ทำให้เราตื่นนอนประมาณ 6:30 น. อากาศหนาวเย็นจนต้องหยิบเสื้อแจ็คเก็ตที่นำมาด้วยสวมไปอีกชั้น

การจัดการเกี่ยวกับลานกางเต็นท์ของที่นี่ยังด้อยกว่าที่อื่นมาก เห็นได้จากการที่ให้นักท่องเที่ยวนำรถไปจอดได้อย่างสบายใจ ทั้งที่บริเวณดังกล่าวเป็นลานกางเต็นท์ที่มีการปรับพื้นที่ไว้ ภาพที่เห็นก็จะมีการจอดระเกะระกะดูไม่เป็นระเบียบเอาซะเลย


เช้าๆแบบนี้จะมีอะไรดีเท่ากับการได้กินไข่ปิ้ง(ต้ม)จากร้านที่ชาวบ้านนำมาขาย เราซื้อคนละ 2 ลูกพอประคองความหิวไปได้ แต่เสียดายตรงที่ซอสหรือซีอิ๊วขาวดันมาหมดซะ เลยได้แต่กินแบบฝืดๆ


พอทานไข่ต้มจนหมดก็เริ่มเดินมาตามทางที่จะไปยังจุดชมวิวน้ำตกแม่สุรินทร์ มีนักท่องเที่ยวกำลังถ่ายรูปอยู่ก่อนแล้ว 1 คู่


น้ำตกแม่สุรินทร์ดูสูงและยิ่งใหญ่จริงๆ เราคุยกันก่อนที่จะเดินลงไปเก็บภาพด้านล่าง


ที่จุดชมวิวของน้ำตก ทางอุทยานทำทางดินที่ลดระดับไปหลายๆชั้นก่อนที่จะมาหยุด ณ จุดด้านล่างซึ่งเลยจากนั้นก็จะเป็นหน้าผาสูงชัน

ณ เวลานั้นมีนักท่องเที่ยวเยาวชนกลุ่มหนึ่งประมาณ 8 คนมาชมวิวน้ำตกพร้อมๆกับเราเลย สอบถามได้ความว่าขี่มอเตอร์ไซด์มาจากเชียงใหม่กัน

กล้องของพวกเขามีฝีมือถ่ายรูปจากผมอยู่ 4 รูปตั้งแต่ร้านที่กินไข่ต้ม และมาที่จุดชมวิวน้ำตกแม่สุรินทร์นี้


เสียงน้ำตกที่ตกลงมากระแทกหินนั้น เสียงดังสนั่นดังกับเสียงน้ำที่ตกลงมากระทบกันกังหันน้ำตามโรงไฟฟ้าพลังน้ำยังไงยังงั้นเลย


ณ จุดชมวิวบริเวณนี้ คนยังมาไม่เยอะมาก จึงเป็นการดีที่จะหามุมถ่ายภาพต่างๆได้อย่างสะดวก

ณ ตรงนี้คงไม่มีนักท่องเที่ยวมารบกวนมากนัก เจ้าแมงมุมเพื่อนรักจึงชักใยแผ่ขยายขอบเขตของตัวเองกว้างใหญ่ถึงขนาดนี้


เวลาย่างเข้าแปดนาฬิกาแล้ว แสงอาทิตย์เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ


สักพักก็ได้เวลาอำลาน้ำตกแม่สุรินทร์แล้ว คงจดจำที่นี่ไปอีกนาน แต่มาครั้งต่อไปคงไม่พลาดการเช็คสุขภาพในการลงไปยังด้านล่างของน้ำตกเป็นแน่ ครั้งนี้เวลามีไม่พอ

นักท่องเที่ยวต่างสวนกับเราเพื่อมาชมวิวน้ำตก


เราขับย้อนมาที่ทุ่งบัวตอง ผมไม่ลืมที่จะจอดรถเพื่อถ่ายรูปป้ายในมุมเดิมๆกับครั้งที่แล้ว เพื่อเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลง ครั้งก่อนหน้านี้ถนนยังเป็นดินลูกรังรถผมไม่สามารถไปได้ แต่มาครั้งนี้เราได้มาถึงนั่นเอง


ขับผ่านทุ่งบัวตอง อดไม่ได้ที่จะเก็บรูปนักบิดมอเตอร์ครอส ไม่รู้สนามไหนเหมือนกัน


แพลนครั้งแรกว่าจะผ่านไปเพื่อไม่ให้เสียเวลา แต่สุดท้ายก็อดใจไม่อยู่กับสีสันสดใสของดอกบัวตองที่เร่งเร้าให้เราต้องจอดรถเพื่อมาถ่ายอีกครั้ง


แดดแรงๆแบบนี้ก็จะได้สีสันสดใสในอีกแบบ


ดอกบัวตองกับท้องฟ้าสีครามเข้มๆอีกรูปส่งท้าย


ออกจากทุ่งบัวตองเสร็จ เราเลือกใช้เส้นทางกลับเส้นใหม่โดยไม่กลับเส้นทางเดิมที่มาเมื่อวาน เราขับเข้าอ.ขุนยวมเพื่อแวะเติมน้ำมันพร้อมกันนั้นได้หาอาหารทานมื้อกลางวัน โดยเป็นร้านครัวปีกไม้ซึ่งเป็นร้านเดิมที่ผมเคยมาทานก่อนเข้าทุ่งบัวตองเมื่อสามปีที่แล้ว


อาหารที่นี่ขอยืนยัน นั่งยัน นอนยันเลยว่าอร่อยทุกอย่าง ไม่ทราบด้วยสาเหตุอะไรจึงทำให้เราสั่งอาหารมาเกือบเต็มโต๊ะ ทั้งที่มาแค่ 2 คน  อาจเป็นเพราะความหิวนั่นเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เกือบทุกอย่างก็หมดลงอย่างรวดเร็ว เป็นการเต็มพลังในการเดินทางอันยาวไกลได้เป้นอย่างดีทีเดียว


หลังจากทานอาหารจนอิ่มแปล้ ผมบอกกับน้องว่าเราจะขับยิงยาวจากขุนยวมไปแม่ลาน้อย แม่สะเรียงและไปออกฮอดเลย เพื่อไม่ให้เสียเวลา เพราะเราออกจากขุนยวมก็ 11 โมงแล้ว คงถึงดึกแน่นอน

ระหว่างทางผมรู้สึกง่วงๆ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ข้าวเหนียวแน่ๆ ขับมึนๆเป็นบางช่วง ดังนั้นเมื่อถึงสวนสนบ่อแก้วจึงเป็นการดีที่จะจอดแวะเพื่อพักรถและพักคนโดยเฉพาะผมไปในตัว

เรามาถึงสวนสนบ่อแก้วประมาณบ่ายโมงครึ่ง


เดินเข้าไปเรื่อยๆ ถ่ายแนวตั้งบ้าง


ที่นี่บรรยากาศดี สนามหญ้าก็นุ่ม น่าจะให้กางเต็นท์มั่งก็ดีนะ คงมีคนมากางกันเยอะพอควรเลย

ต่อจากนั้น เราก็แวะที่อช.ออบหลวงเพื่อให้น้องประทับตราอุทยานเป็นที่ที่ 3 จากทริปนี้ ส่วนผมไม่มีสมุดประทับ เลยเก็บไว้เพียงความทรงจำกับภาพถ่ายพร้อมการเล่าเรื่อง

ที่นี้ผมได้กาแฟกระป๋องเบอร์ดี้ช่วยให้หายง่วงไปอีกหลายชั่วโมงประกอบกับหมากฝรั่งที่น้องนำมาด้วย เลยช่วยให้ตาสว่างขึ้นเยอะเลย


บ่ายสองครึ่ง เราขับมาถึงวงเวียนหอนาฬิกาฮอด ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น 1,864 โค้งอย่างเป็นทางการ บนเส้นทางที่ผ่านแม่สะเรียง แม่ลาน้อย ขุนยวม จวบจนถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนนั่นเอง

ออกจากฮอดผมเลือกใช้เส้นทางปกติธรรมดาคือเข้าจอมทอง สันป่าตอง แล้วเข้าลำพูนเพื่อกลับไปยังลำปางตามปกติ ที่ไม่เลือกเส้นลัดที่ไปออกลี้และเถินก็เพราะว่าเข็ดกับโค้งถี่สุดๆบนเขา เกรงว่าอาหารที่ทานมาจะหายไปหมดกับโค้งดังกล่าว จึงเลือกเส้นปกติที่ไกลหน่อยแต่คงไม่เสียเวลาอะไรมากนัก ดังนั้นจึงมาถึงยังบ้านพักที่สระบุรีเกือบสี่ทุ่ม

ก็เป็นอันว่าจบทริประยะไกลแบบสมบูรณ์แบบแต่ใช้เวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ในการมาเยือนทุ่งบัวตอง ดอยแม่อูคอแห่งนี้ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชม และลงชื่อทักทายกันครับ แล้วไว้เจอกันใหม่ที่ สิมิลัน วันฟ้าใส ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ _/\_

Original Published on www.pantip.com at [ 23 พ.ย. 49 23:43:18 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น