วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548

ปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน ครั้งที่ 2 ตอน 2 ได้เวลาลาจากบ้านรวมไทย(ปางอุ๋ง) ดินแดนที่ผมประทับใจสุดในเมืองสามหมอก วันลาปางอุ๋ง


วันนี้เราตื่นสายๆ เจ็ดโมงกว่าๆก็ออกมารับไอหนาวที่ลานภายในบ้าน เช้าวันอาทิตย์ที่บ้านรวมไทยดูแตกต่างจากกรุงเทพอย่างสิ้นเชิง ไม่มีภาระเร่งรีบ ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองของวิถีชีวิตแบบท้องถิ่นชาวบ้าน

น้องคนนี้เป็นหลานลุงปาละ เสียดายที่ผมจำชื่อน้องเขาไม่ได้ น่ารักสดใสแถมยังมีความสามารถพิเศษคือสามารถท่องบทชินบัญชรได้หมด และบทสวดต่างๆ ผมเองได้ฟังยังทึ่งเลย เด็กอะไรจะเก่งขนาดนั้น และรู้สึกว่าจะนับถือเจ้าแม่กวนอิมด้วย ไม่กินเนื้อ โตขึ้นเชื่อได้ว่าเรียนหนังสือเก่งแน่นอน


กิจกรรมของบ้านลุงปาละคงหนีไม่พ้นการที่สมาชิกครอบครัวเข้ามาร่วมกันจัดเมล็ดกาแฟสดที่คั่วจากเตาสดๆใหม่ๆนำเข้าในถุงเพื่อจัดจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมา จำได้ว่าผมซื้อกลับมา 1 ถุงขนาด 100 กรัม


อาหารมื้อแรกของเช้าวันอาทิตย์นี้ เรียบง่ายเป็นขนมปังทาแยมพร้อมกับกาแฟสดร้อนๆ


อากาศบนนี้ยังเย็นอยู่แม้ว่าจะล่วงเลยมาปลายๆเดือนกุมภาพันธ์แล้ว เนื่องจากที่ปางอุ๋งนี้สูงจากน้ำทะเลประมาณ 1,300 เมตร ลืมบอกไปว่าความหมายของปางอุ๋งคือ
ปาง หมายถึง ที่พักของคนทำงานในป่า
อุ๋ง หมายถึง แอ่งกระทะใบใหญ่ที่มีน้ำขังเฉอะแฉะ


ในยามที่ลุงปาละกับพี่ศรีอยู่บ้านกันตามลำพังเนื่องจากลูกๆทั้งสองไปเรียนหนังสือที่ตัวเมืองและกรุงเทพตามลำดับ จึงมีแต่เจ้าเหมียวตัวนี้และลูกๆมัน คอยเป็นเพื่อนคลายเหงาได้เหมือนกัน


อีกอิริยาบถหนึ่งที่รักสวยรักงามของเจ้าเหมียว


เช้าๆแบบนี้จะมีอะไรดีเท่าได้ชมความงามของดอกไม้เมืองเหนือสีสันสดๆอย่างนี้


เช้าๆแบบนี้จะมีอะไรดีเท่าได้ชมความงามของดอกไม้เมืองเหนือสีสันสดๆอย่างนี้


อยากพักต่อสักวันสองวันแต่ก็เป็นไปไม่ได้เนื่องจากมีภาระเหมือนคนอื่นๆที่ต้องกลับไปทำงานในเช้าวันจันทร์


สักพักเราขอตัวลุงไปสูดอากาศเย็นๆริมอ่างเก็บน้ำ และเลยไปโครงการเลี้ยงเขียดแลวที่อยู่ลึกเข้าไป


จากการสอบถามคนสวนที่กำลังตัดหญ้าและแต่งสวนอยู่ ได้ความว่าตอนนี้ไม่มีเขียดแลวแล้ว จะมีก็แต่เจ้าตัวนี้ที่เป็นรูปปั้นนั่งเล่นน้ำอยู่กลางลำธาร


ต้นไผ่ที่ปลูกบริเวณรอบๆโครงการเพาะเลี้ยงเขียดแลว


เส้นทางต่อไปจากโครงการฯ ถนนเปลี่ยนจากคอนกรีตเป็นดินธรรมดาแล้วครับ ครั้งที่แล้วไม่ได้ไป ครั้งนี้ก็เปลี่ยนใจไม่ไปอีกเพราะถนนไม่ดี แต่จากการสอบถามคนสวนได้ความว่าไปเรื่อยๆจะเป็นเขตชายแดนไทย-พม่า มีทหารประจำการอยู่


ขากลับเจอห่านหรือหงส์กำลังจะลงเล่นน้ำ มีทั้งสีดำและสีขาว การเดินเข้าไปถ่ายรูปค่อนข้างจะต้องระวังและอย่าทำเสียงดัง เนื่องจากมันจะตกใจและรีบลงน้ำหนีไปทางอื่นได้



ส่วนเจ้าตัวนี้ลงว่ายน้ำอยู่ตัวเดียว ปากก็พยายามค้นหาอาหารจากสัตว์น้ำเล็กๆที่อาศัยอยู่ในน้ำบริเวณรอบๆ


ต้นไม้ต้นนี้สูงมากทีเดียว แต่น่าเสียดายที่โดนไฟไหม้จนสีดำช่วงโคนลำต้น ใบไม้ก็ไม่มีเหลือแม้แต่ใบเดียว


เรากลับมาบ้านลุงปาละช่วงเที่ยง เก็บสัมภาระที่เหลือภายในบ้านพักเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับตัวเมือง ภายในบ้านไม้หลังนี้ใครจะคิดว่า เมื่อเข้าไปแล้วมีความอบอุ่นเพียงพอยามอากาศหนาวในตอนกลางคืน


หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว ก่อนจะลาเจ้าของบ้านลุงปาละกับลูกและญาติๆ เราไม่ลืมที่จะขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน้าบ้านลุงเพื่อเป็นการยืนยันการมาเยือนที่นี่ในครั้งที่สอง


ขี่มอเตอร์ไซด์ลงมาจากดอยเพื่อไปคืนรถที่ตัวเมือง เราใช้เวลาเท่าๆกับตอนขามา แต่มีเหตุการณ์หวาดเสียวเล็กน้อยตรงที่ช่วงลงเขาช่วงหนึ่งผมเปลี่ยนเกียร์จาก 2 ไป 1 ด้วยเห็นว่ารถเริ่มเคลื่อนตัวเร็วแล้ว ทำให้รถกระตุกเบี่ยงไปอีกเลนเกือบเสยกับรถตู้ที่ขับขึ้นมาพอดี โชคดีพระยังคุ้มครอง เบี่ยงกลับมาได้ทัน
หลังจากคืนรถและจ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อยเนื่องจากเกิน 24 ชม.เราก็เดินต่อไปยังสนามบินแม่ฮ่องสอน อีก 15 นาที บ่าย 4 โมงก็ถึงยังสนามบิน


ข้างๆสนามบินจะมีวัดอยู่วัดหนึ่งแต่จำชื่อวัดไม่ได้แล้ว มีเจดีย์รูปทรงคล้ายๆกับเจดีย์ที่วัดจองคำ


มาถึงก่อน 1.30 ชม. ได้เวลา check-in แล้ว


นั่งรอเครื่องเกือบ 1 ชม.ที่ Gate 1


สักครู่ใหญ่ๆ เจ้าหน้าที่สนามบินก็ประกาศขึ้นเครื่อง ถึงเวลาที่จะต้องลาเมืองสามหมอกแล้วนะ


ผมได้นั่งที่นั่งด้านหลังของตัวเครื่องบิน อีกเช่นเคย ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ


17:30 น. ก็ได้เวลาลาเมืองสามหมอก จังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่างแท้จริงแล้ว เราเก็บไว้เพียงภาพถ่ายในตัวกล้องและความทรงจำในสมองที่จะไม่ลืมความสงบสุขและเรียบง่ายอย่างแท้จริงในสถานที่ที่ได้ชื่อว่าสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ซึ่งก็คือปางอุ๋งนั่นเอง ครั้งนี้ไม่ใช้ครั้งสุดท้ายมีเวลาหยุดยาวๆเราจะกลับมาอีก ก่อนที่อะไรๆจะกลายเป็นธุรกิจไปหมด


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น