วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2551

ผมกลับไปเยี่ยมแม่ เธอกลับไปเยี่ยมพ่อ ณ ผืนน้ำกว้างใหญ่แห่งเกาะสีชัง

หลังจากสิ้นสุดทริปหมู่เกาะสุรินทร์ เราทั้งคู่ได้คุยกันมากขึ้น คำถามและคำตอบต่างๆจากบทสนทนาของเราได้พรั่งพรูออกมาตามประสาคนที่เคยเป็นเพื่อนกันมาถึง 20 ปีตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.3 แต่ก็ห่างๆกันออกไปเมื่อตอนม.ปลายและมหาวิทยาลัย เนื่องจากผมต้องไล่ล่าความฝันของตัวเองที่โรงเรียนดังระดับประเทศแถวๆสามย่าน 

เราคุยกันทุกๆเรื่องเท่าที่เวลาและความทรงจำจะมีให้เราได้  ผมได้เล่าถึงคุณแม่ผมที่ท่านเสียไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แล้วได้นำกระดูกไปลอยอังคารที่ทะเล เกาะสีชัง ส่วนเธอเองก็นึกขึ้นได้ว่าพ่อของเธอนั้นตอนเสียก็นำกระดูกมาลอยที่นี่เหมือนกันเมื่อ 6-7 ปีก่อน ซึ่งผมก็ได้ไปงานศพพ่อเธอด้วย เราทั้งคู่ได้มีอะไรๆที่ช่างคล้ายๆกัน ทริปนี้จึงดูจะเป็นทริปที่เราทั้งสองได้คิดขึ้นมาอย่างไม่นานนัก โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกลับเยี่ยมไปพ่อและแม่ของแต่ละคน โดยพาคนที่รู้ใจไปด้วย คล้ายๆกับพาไปแนะนำตัวเหมือนครั้งกับตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่


เราเลือกที่จะสวมเสื้อสีเดียวกันโดยทั้งคู่ต่างก็ชอบสีนี้คือสีฟ้า ไปถึงเกาะลอยซึ่งเป็นที่ที่ทุกคนจะต้องไปขึ้นเรือเพื่อไปยังเกาะสีชังตอนประมาณ 11 โมงเห็นจะได้ ราคาตั๋วเรือคนละ 40 บาทใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ก่อนไปเธอบอกกับแม่ว่าจะไปหาพ่อนะ ส่วนผมก็บอกกับพี่สาวว่าจะไปเยี่ยมแม่


ไปถึงก็เข้าไปซื้อตั๋วเรือและเดินไปเลือกที่นั่ง เราเลือกที่จะนั่งในชั้นล่าง ซึ่งจะได้สะดวกเวลาโปรยดอกไม้ที่กลางทะเล เรือหลากหลายลำจอดเทียบเฉยๆอยู่ที่ท่าแห่งนี้ พอดีกับมีเรือโดยสารจากเกาะสีชังเข้ามาเทียบที่ท่า ผู้โดยสารกำลังทะยอยเดินลง


เช้าวันก่อนเดินทาง เธอไปตลาดเพื่อไปซื้อดอกไม้มาเพื่อเตรียมโปรยระหว่างทางที่จะไปเกาะสีชัง ดอกไม้ประกอบด้วย ดอกกุหลาบ ดอกดาวเรือง และดอกมะลิถูกเด็ดกลีบใบแล้วมาผสมกันในถุงพลาสติกส่งกลิ่นหอมฉุยออกมายามเมื่อเปิดปากถุง


การจับมือกันถือเป็นการให้คำมั่นสัญญาบางอย่างที่มีอยู่ในใจของทั้งคู่และพร้อมที่จะนำมาบอก ณ ผืนน้ำกว้างใหญ่แห่งเกาะสีชังนี้


ระหว่างที่นั่งอยู่ในเรือ ผมก็คอยสังเกตจุดที่หยุดเรือเพื่อลอยอังคารโดยจำได้ว่าใกล้ๆกับเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งก่อนถึงเกาะสีชัง พอถึงเราทั้งคู่ก็ออกมาด้านท้ายเรือเพื่ออธิษฐาน เธอได้กล่าวในใจว่าหนูพาคนที่จะดูแลเธอมาให้พ่อดูแล้วนะ ส่วนผมบอกกับแม่ว่าผมพาคนที่จะพร้อมเคียงข้างกายผมไปตลอดชีวิตมาหาแม่เช่นกัน


โปรยดอกไม้ให้พ่อและแม่ ทั้งสองท่านคงมีความสุขน่าดูถ้าท่านได้เห็นเราทั้งสอง


ไม่นานเรือก็มาส่งผู้โดยสารที่ท่าเทียบเรือเกาะสีชังท่าบน ซึ่งผมเคยมาตอนลอยอังคารแม่ที่ท่าล่าง นักท่องเที่ยวเดินทางมาในวันนี้เยอะแยะไปหมด มาทราบอีกทีว่าอยู่ในช่วงงานตรุษจีน นักท่องเที่ยวเลยทะยอยมากันแน่นผิดหูผิดตา


ระหว่างทางเดินเราจะได้เห็นการตากปลาหมึกทั้งเล็กและใหญ่จนชินตา


เราเดินด้วยเท้าเพื่อไปหาพี่ที่รู้จักที่บ้านบริเวณท่าเทียบเรือด้านล่างแล้วค่อยจ้างรถสามล้อไปไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่เป็นอันดับแรก


ก่อนเดินขึ้นไปไหว้ก็เป็นเวลาที่เราทั้งคู่เริ่มหิวแล้ว เลยขอแวะนั่งทานก๋วยเตี๋ยวและปลาหมึกย่างที่ร้านตรงทางขึ้น ที่นี่ก็มีของแห้งนำกลับไปฝากเพื่อนพี่ๆน้องๆมากมายเช่น กุ้งแห้ง, ปลาหมึกแห้ง ฯลฯ


ได้เวลาเดินขึ้นไปไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่กันแล้ว


หน้าปากถ้ำเจ้าพ่อเขาใหญ่มีคนออรอไหว้กันหลายคนทีเดียว


อธิษฐาน


ตัวอักษรภาษาจีนสีดำบนพื้นสีแดง แต่ไม่ทราบความหมาย(ใครทราบช่วยบอกด้วย)


ไหว้เสร็จก็ออกมาชมวิวมังกรน้อยกับเกาะแก่งสวยๆ


เธอถามกับผมว่ามาครั้งนี้ต่างกับครั้งที่มาลอยอังคารมั้ย ผมคิดและตอบกลับไปว่า ใช่...มาครั้งนี้ความรู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครั้งนั้นรู้สึกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ แต่ครั้งนี้รู้สึกดีใจ รู้สึกมีความสุขในใจอย่างบอกไม่ถูก


ไหว้พระประจำวันเกิดกัน


ขอถ่ายกับเกาะและเรือขนสินค้าด้านหลังหน่อย


วิวที่เห็นกันจนคุ้นตาเมื่อมาไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่ ณ เกาะสีชังแห่งนี้


โปรแกรมต่อไปเราแวะที่ "เขาช่องขาด" หรือ "ช่องเขาขาด" ชื่อนี้ทำให้เธอนึกถึง "อ่าวช่องขาด" ที่หมู่เกาะสุรินทร์


ที่ "เขาช่องขาด" หรือ "ช่องเขาขาด" ตั้งอยู่ด้านหลังของเกาะเหมาะสำหรับเดินชมทิวทัศน์อันสวยงาม


ถ้ามาตอนเย็นที่นี่เหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ตกทะเลที่สวยแห่งหนึ่งของเกาะ


และแวะไปดูศิลาจารึก


แล้วไปไหว้พระใหญ่กันเพื่อขอพร


เราทั้งคู่แปะทองคนละข้างของพระพุทธบาท เธออธิบายความหมายนี้ว่าคือ เนื่องจากเท้าเป็นอวัยวะสำคัญในการเดินทางไปไหนต่อไหนดังนั้น "เราจะเดินทางไปด้วยกันสองคนตลอดไป"


แวะชมวิวก่อนเดินทางจากไป


สถานที่สุดท้ายเราจะไปพระจุฑาธุชราชฐาน ที่นี่มีต้นลีลาวดีที่มีดอกเบ่งบานหลากหลายสีทีเดียว


แวะนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ก่อนนะคะ


ใครจะไปรู้ที่นี่ก็มีเรือไททานิค


ในยามบ่ายๆแบบนี้ แม้จะร้อนไปบ้างแต่พอได้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ก็คลายร้อนไปทันที


จ๊ะเอ๋ ณ สะพานอัษฎางค์ มีคนเคยบอกไว้ว่า เป็นสะพานที่โรแมนติกที่สุดในโลก เห็นท่าจะจริง


มุมนี้ต้องขออนุญาตคุณ CobraGolD ก็อปปี้มุมมองมา


แล้วเราก็เดินตัดไปยังเรือนไม้ริมทะเล สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5 ปัจจุบัน ได้รับการบูรณะ และใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการที่น่าสนใจในเกาะสีชัง โดยตอนนี้ได้จัดเครื่องดื่มจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว ดื่มคลายร้อนไปชมวิวไป


ดอกลีลาวดีสีแดงสดสวยๆภายในอ่างน้ำหน้าเรือนไม้ก่อนจะเข้าไปภายใน


เราซื้อชาเย็นคนละแก้วแล้วถือเดินออกมาที่ม้านั่งข้างนอก เพราะที่นั่งด้านในร้อนมากๆ


ดอกลีลาวดีเหลืองขาวสวยๆ ควรคู่กับหญิงสาวสวยๆอย่างจ๊ะเอ๋


ส่วนบริเวณนี้ก็ดอกสีแดงเต็มไปหมด


รูปนี้ดูจ๊ะเอ๋จะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะดอกสีแดงมันอยู่ด้านบนศีรษะเธอพอดี


ดอกทีมีทั้งสามสี เหลือง ขาว แดง สวยงามจริงๆ


กับสุดท้ายภาพความประทับใจของเราทั้งสองที่เรือนวัฒนา ซึ่งสร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5 ตามพระนามสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี

ขอขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาติดตามชม ลงชื่อและทักทายกันนะครับ มีความสุขกับทุกๆสิ่งที่ได้ประสบเจอกันมากๆ

ขอขอบคุณ
คุณ Clinker สำหรับเลนส์ไวด์ Sigma 10-20 mm. ที่เอื้อเฟื้อให้หยิบยืม
ข้อมูลสถานที่ พระจุฑาธุชราชฐาน จาก http://th.wikipedia.org/

Original Published on www.pantip.com at [ 19 มี.ค. 51 05:44:27 ]

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

2 ความคิดเห็น:

  1. เพิ่งมีเวลาเข้ามาอ่าน ค่ะ ปกติอ่านจากพันทิพย์ เนื่้อหาโรแมนติคมากๆ เลย อ่านแล้วอยากมีใครสักคนทำให้แบบนี้บ้าง อิอิ

    ตอบลบ
  2. เพิ่งมีเวลาเข้ามาอ่าน ค่ะ ปกติอ่านจากพันทิพย์ เนื่้อหาโรแมนติคมากๆ เลย อ่านแล้วอยากมีใครสักคนทำให้แบบนี้บ้าง อิอิ

    ตอบลบ