วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2550

มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ "งานเฉลิมฉลอง ๑๐๐ ปี พระราชวังสนามจันทร์" กันครับ

หลังจากที่ต้องพลาดการไปชมงานเฉลิมฉลองพระราชวังสนามจันทร์ในบ่ายแก่ๆของวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม เมื่อวานนี้เนื่องจากไม่สามารถฝ่าด่านรถติดบริเวณดินแดงและอนุสาวรีย์ชัยไปได้ มาวันนี้(2 ธันวาคม) เลยมีความตั้งใจเต็มที่ที่จะรีบออกไปงานให้เร็วๆขึ้นกว่าเดิม 
ผมเลือกเส้นทางเปิดใหม่เพื่อไม่ต้องไปผจญกับการจราจรอันแสนจะติดขัดในวันอาทิตย์ คือถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งใต้ ที่เชื่อมระหว่างถนนบางนา-ตราดกับถนนพระราม 2 ด้วยกันเพียงระยะทาง 36 กม. ซึ่งทำให้การเดินทางจากฝั่งตะวันออกของกรุงเทพไปฝั่งใต้ของกรุงเทพสะดวกและประหยัดเวลามากขึ้นเป็นกอง  หลังจากนั้นจึงเข้าถนนเพชรเกษมเพื่อมุ่งหน้าจ.นครปฐมต่อไป


ผมมาถึงมหาวิทยาลัยศิลปากร จ.นครปฐมเกือบๆบ่ายสี่โมง จัดแจงหาที่จอดรถซึ่งไม่เยอะอย่างที่คิด เลือดจอดรถที่สนามฟุตบอลหลังจากนั้นก็เดินคลำทางไปหาทางเข้าพระราชวัง ความที่ไม่เคยมาที่นี่ก่อน เลยทำให้ต้องเดินอ้อมแทนที่จะไปออกอีกประตู ดันเดินออกประตูหน้าแล้วค่อยเดินเลียบมาด้านข้างมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ไม่เป็นไร ถือว่าออกกำลังกายกันเล็กน้อยก่อนจะถึงสนามจริง
ซื้อบัตรเข้าชมงานเสร็จก็เดินเข้ามาตามทางแล้วเลือกเลี้ยวซ้าย จุดแรกคือพระตำหนักทับขวัญ คนทยอยเดินเข้าเดินออกอยู่เนืองๆ


สักครู่ใกล้ๆกันอาคารสีแดงๆก็เป็นพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ ไม่สามารถเดินเข้าได้จากฝั่งนี้เนื่องจากเป็นทางออก


เหงื่อพอซิบๆ แต่มีลมเลยไม่เหนียวตัว เดินมานั่งหามุมสวยๆที่ใครๆเขาถ่ายรูปกันดีกว่า


ที่เห็นตรงหน้าก็คือพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ หลายคนมาที่นี่เพื่อบันทึกภาพแห่งความทรงจำที่นานๆจะมีสักที


ก่อนจะเดินอ้อมไปยังด้านหน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ขอเก็บภาพสะพานเชื่อต่อ 2 พระตำหนักอีกครั้ง


ได้ยินเรื่องเล่าของย่าเหล สุนัขทรงเลี้ยงในล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 เพิ่งมารู้ตอนนี้ว่าอนุสาวรีย์นั้นอยู่ในพระราชวังแห่งนี้นี่เอง


โอว...ด้านหน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์คนเยอะไม่ใช่น้อย เพราะต่างคนก็อยากที่จะมาบันทึกรูปสถาปัตยกรรมของพระตำหนักสวยๆกัน


บริเวณใกล้ๆก็จะมีรถตู้โฟล์คที่ใช้ในพระราชวังสีสันฉูดฉาด มาจอดโชว์ให้เราได้ชมกัน


ไหนดูทะเบียนใกล้ๆซิ  ร.ย.ล. 1530


เดินย้อนไปสักการะอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนครับ


มาดูรายละเอียดของรถคันนี้ใกล้ๆกันครับ
ร.ย.ล. 898 ใช้ยางขนาด 205/70 R15 จำนวน 4 เส้น
เปลี่ยนยางวันที่ 28 ก.ค. 47 เลขไมล์ 64537 กม.



เดินต่อไปจะเห็นคนทำท่าแปลกๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นสัมผัสเพดานซุ้ม ซึ่งก็คือ เทวาลัยคเณศร์  ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระคเณศหรือพระพิฆเศวร เทพเจ้าผู้มีเศียรเป็นช้าง ดูๆแล้วทุกๆคนที่มาเดินล้วนแต่มีความสุขทั้งนั้น เห็นได้จากรอยยิ้มบนใบหน้า และส่วนใหญ่ของผู้เข้าชมก็จะใส่เสื้อเหลืองกันพร้อมเพรียงกันด้วย


ยังไม่ทันจะ 5 โมงเย็นเลย แสงเริ่มจะน้อยลงแล้ว หลายๆคนก็มีความสุข ขี่คอกันบ้าง ถ่ายรูปบรรยากาศบ้าง หรือเด็กๆวิ่งไล่จับกันบ้าง เห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้


ผมเดินต่อไปเพื่อไปยังพระที่นั่งพิมานปฐม



บางส่วนของพระที่นั่งพิมานปฐม ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้นแบบตะวันตกแต่ดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองร้อน


ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ วงโยธวาธิตและขบวนพาเหรดคงใกล้เริ่มแล้ว น้องๆในชุดไทยตั้งแถวเดินกันมา


ถัดไปที่เห็นอยู่นั้นคือพระที่นั่งวัชรีรมยา เป็นพระที่นั่งทรงไทย 2 ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบทำนองเดียวกับหลังคาพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวัง มีคันทวย ช่อฟ้า ใบระกา นาคสะดุ้ง และหางหงส์งดงาม


แวะชมดอกลีลาวดีให้สดชื่นก่อนจะเดินต่อไป


เดินมาเรื่อยๆผมไม่แน่ใจแล้วว่ามีชื่ออย่างไร แต่เป็นส่วนที่แสดงนิทรรศการสมัยก่อนเช่นกัน


พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว


ผมกะจะเดินชมให้ครบ เลยได้มาเจอกับบริเวณสาธิตการปลูกพืชผักสวนครัวหรือเปล่า และมีการเลี้ยงจิ้งหรีดด้วย


เดินมาเรื่อยๆครับ จำไม่ได้เช่นกันว่าเรือนอะไร กลับไปต้องจดสถานที่อีกครั้ง


มาเรือนนี้เจ้าหน้าที่เริ่มเปิดไฟแล้ว


ส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นไปดูเท่าไหร่ จะถ่ายรูปซะมากกว่า


มาหยุดที่เรือนสุดท้ายของประตูทางออกฝั่งนี้ที่เรือนคฤหบดี


ได้เวลาทานอาหารเย็นกันแล้ว ประกอบกับแสงอาทิตย์ที่หายไปจากขอบฟ้าแล้ว มาแทนด้วยแสงไฟสวยงามที่เปิดประดับประดาเต็มพื้นที่แสดง เจ้าลูกไฟกลมๆเป้นผลงานจากพื้นที่ของเบียร์ช้าง


เทวาลัยคเณศร์  ยังคงคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย


ด้านหน้าพระที่นั่งพิมานปฐมเชื่อมต่อกับพระที่นั่งอภิรมย์ฤดี ยามเปิดไฟเวลานี้สวยงามจริงๆ


แสงไฟสะท้อนลงน้ำ


พระที่นั่งอภิรมย์ฤดีที่เชื่อมต่อกับพระที่นั่งวัชรีรมยา


สามแยกที่ ณ เวลานี้คนเดินกันขวักไขว่มากๆ


บรรยากาศทั่วไปที่สนามหญ้า สังเกตจะมีเครนสูงคอยสอดส่องดูแลด้วย


พระที่นั่งพิมานปฐมอีกครั้งในยามค่ำคืน


เดินวนกลับมาดูพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ในยามค่ำคืนอีกครั้ง คนเยอะเช่นกัน


พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ยามต้องแสงไฟปรากฏกายสีชมพูทั่วทั้งอาคารและสะท้อนไปที่น้ำ


สะพานที่เชื่อมต่อระหว่างพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ด้านขวากับพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ด้านซ้ายมือ


สะพานสวยงามมากๆ


ยังไม่หมด ไปต่อที่เรือนนนทิเสน เรือนรองสุดท้ายแล้ว


มาเก็บภาพสุดท้ายที่เรือนนี้ หลังจากนั้นก็เดินกลับเพื่อไปยังที่จอดรถ พอถึงทางออก คนที่เพิ่งจะมา ยืนต่อคิวเข้างานกันเยอะมากๆ ดีที่ผมมาตั้งแต่ตอนเย็นไม่งั้นคงเสียเวลาน่าดู
ออกจากนครปฐมประมาณ 2 ทุ่มเห้นจะได้ โดยรวมรถไม่ติดแล้ว ขากลับผมเลือกใช้เส้นทางนครชัยศรี-ปิ่นเกล้า แล้วค่อยเข้าวงแหวนต่อไป
ฝากภาพสะพานวงแหวนรอบนอกฝั่งใต้ช่วงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาครับ ณจุดนี้สามารถมองเห็นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมเช่นกัน ขอบคุณเพื่อนๆที่แวะเข้ามาชมครับ มีความสุขทุกย่างก้าวกับการเดินทาง สวัสดีครับ (_/\_)

Original Published on www.pantip.com at [ 3 ธ.ค. 50 22:52:41 ] as below link

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น