วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

สะพายเป้ หิ้วกล้อง ท่องบาหลี ตอน 3 เที่ยวถ้ำช้าง (Goa Gajah) วัดเบซากี (Besakih) จบด้วยดูพระอาทิตย์ตกทะเลที่วัดทานาล็อต (Tanah Lot)


วันนี้เป็นวันที่สามในบาหลี แต่เป็นวันที่สองที่ได้ท่องเที่ยวในบาหลีจริงๆ ลืมบอกไปว่าผมเช่ารถทั้ง 3 วันเนื่องจากไม่อยากหาเจ้าใหม่ ไหนจะต้องมาตกลงราคา และทำความรู้จักกันอีก โปรแกรมคร่าวๆในวันนี้ก็คือ ไปถ้ำช้างหรือ Goa Gajah ต่อด้วยวัดที่สำคัญที่สุดในบาหลีคือ Besakih และกลับมาที่เมืองเก่าแก่อย่างกลุงกุง สุดท้ายไปดูพระอาทิตย์ตกทะเลที่วัด Tanah Lot ก่อนกลับที่พักยังคูตาอีกครั้งหนึ่ง


อย่างที่บอกครับ ทุกโรงแรมจะมีสระน้ำไว้บริการนักท่องเที่ยวที่มาพัก ผมว่าการที่มีสระน้ำแม้ไม่ใหญ่มาก จะทำให้โรงแรมหรือรีสอร์ทดูดีและน่าพักขึ้นมาเลย


วันนี้นัดกับคนขับรถให้มารับประมาณ 10 โมงเช้า เราจึงเตรียมข้าวของมาที่เคาน์เตอร์เพื่อเช็คเอาท์และทานอาหารเช้าประมาณ 9 โมง อาหารมื้อนี้ผมสั่งข้าวผัดหรือ Nasi Goreng ที่นี่เขาจะทอดข้าวเกรียบแถมโปะมาบนข้าวผัดด้วย น่ารักไปอีกแบบ ทานไปพร้อมกับเขียนโปสการ์ดใบที่เหลือให้ใครบางคนแถวๆนี้แหล่ะ(ถ้าไม่ส่ง SMS ที่อยู่มาในเช้านี้เฮาก็ส่งให้คนอื่นแล้ว)


เดินออกมาจากรีสอร์ทก็เจอกับกระทงบูชาใหม่เอี่ยมวางอยู่บนพื้นเพื่อบูชาความชั่ว


วันนี้เริ่มโปรแกรมด้วย Monkey Forest ที่ซึ่งจะมีลิงมากมายหลายตัวอาศัยอยู่ที่นั่น ลิงส่วนใหญ่มันชอบเล่นกันเองหรือไม่ก็ฆ่าเวลาด้วยการหาหมัดให้กันแล้วเอามากิน


เดินไปอีกหน่อยตรงเส้นทางที่จะไปวัดด้านบนเนินจะเจอลูกลิงในหัวใจ ลิงมันอยู่ไม่สุขจริงๆ หันไปหันมาตลอด ถ่ายรูปให้นิ่งยากมาก


ใกล้ๆจะมีวัด Dalem Agung Padangtegal ตั้งอยู่


ต่อจากนั้นเราเดินทางออกจากอูบุดเพื่อไปวัด Besakih แต่ระหว่างทางเราแวะที่ถ้ำช้างหรือ Goa Gajah


ที่นี่สร้างมาแล้วอย่างน้อย 700 ปี แต่ถูกค้นพบเมื่อช่วงปี 1920 และได้ถากถางบริเวณนี้ในเวลา 30 ปีต่อมา


เราใช้เวลาที่ถ้ำช้างไม่นานนักเนื่องจากไม่มีอะไรมาก จึงเริ่มเดินทางต่อไปยังวัด Besakih
ที่นี่แหล่ะที่เขาว่ากันว่ามีมาเฟีย(เด็กวัด)เรียกเก็บเงินค่าเข้าเยอะเกินจริงโดยจะอ้างว่าจำเป็นต้องมีไกด์ไปด้วย พอเสียเงินค่าตั๋วด้านหน้าเสร็จก็เริ่มมีสิ่งที่แปลกๆคือ หลังจากจอดรถในที่จอดรถ คนขับบอกกับเราว่าเขาเสียเงิน 10,000 Rp ให้กับตำรวจก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเก็บไปทำไม คราวนี้ถึงตาเราที่จะต้องไปแสดงตั๋วกับ Local Guide มันพูดต่างๆ นานาเลยอย่างที่เราคิดไว้อยู่แล้ว สุดท้ายเรียกค่าไกด์มา 150,000 Rp แล้วให้เราต่อรอง ฮ่าๆๆ ผมขำสิครับ ให้ก็จะฉลาดน้อยเป็นครั้งที่สองที่สามในบาหลีแล้ว ผมไม่เอาไกด์และบอกว่าจะเดินขึ้นไปเอง ยังไม่ต่อด้วยซ้ำ กลับกลายเป็นว่าราคาเหลือ 75,000 Rp ผมก็ไม่เอาอยู่ดี และยังจะมีรถมอเตอร์ไซด์อ้อนจะไปส่งด้านบนอีก บอกว่าไกลถึง 900 เมตร ผมก็ไม่เอา เดินดีกว่า อากาศสบายๆ พอเห็นเราเดินไปเรื่อยๆ ก็จะมีไกด์อีกคนซึ่งพยายามเสนอราคากับเรา 35,000 Rp ผมเดินไปต่อไปเพราะยังไงซะก็อยากรู้เรื่องราวของที่นี่เหมือนกัน สุดท้ายผมต่อเหลือ 15,000 Rp ก็เป็นอันตกลงกัน สังเกตจาก 150,000 เหลือ 15,000 ตั้ง 10 เท่าแหน่ะ เบื่อที่สุดทริปนี้ก็เรื่องนี้แบบนี้แหล่ะครับ


เดินขึ้นมาจนถึงด้านบน สวยงามมากครับ ที่นี่มีวัดน้อยใหญ่อยู่ด้วยกัน 22 วัด มีวัดที่เป็นวัดหลักในการประกอบพิธีกรรม 4 วัด


มองย้อนกลับไปเมื่อขึ้นมาด้านบนตรงระดับกลางๆ


เมรูเป็นชั้นๆจากหลายๆวัดสวยงามมาก


เมรูจะทำเป็นหลังคาด้วยกากมะพร้าว จำนวนชั้นจะเป็นเลขคี่ คือ 1,3,..9,11 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด


อีกมุมหนึ่ง


อีกหนึ่งเมรู


ไกด์ที่มากับผมพูดภาษาอังกฤษได้ดี ทำให้เราเข้าใจเรื่องราวและที่มาต่างๆในวัดแห่งนี้มากขึ้น จนทำให้ผมนึกในใจว่าคงจะให้ทิปเพิ่มเป็น 20,000 Rp แต่ก็ต้องทำให้เราผิดหวังอีกครั้งกับชาวอินโดฯ เพราะเพียงแค่เราจะให้พาไปดูอีกวัดที่อยู่ห่างไป 500 เมตร ก็งอแงจะขอเงินเพิ่มเป็น 25,000 Rp ทำให้ผมเซ็งไปเลย สุดท้ายช่วงที่จะไปดูวัดด้านบนสุด(Last Temple) ผมบอกว่าจะไปดูเองแล้วให้รออยู่ที่เดิม แต่ปรากฎว่าไกด์เราขอเงินเลยครับ ผมไม่ให้ 25,000 หรอก เพราะผมบอกว่ายังไม่ได้ตกลงเป็นครั้งที่ 2 เลย ผมหยิบธนบัตรใบละ 20,000 Rp ให้ไป ในใจคิดว่าจะเอาหรือไม่เอา แต่สุดท้ายก็ต้องรับไป เราจึงเดินมาที่วัดที่อยู่ด้านบนสุดของ Besakih ที่นี่ยังมีเด็กวัดมายืนคุมอีก ผมไม่สนใจ ไม่ให้เข้าไปก็ไม่เข้า ยืนตรงหน้าประตูหันหลังมาดูวิวทะเลสวยๆดีกว่า


ดูเสร็จก็เดินลงมาด้วยความเซ็งๆครับ ข้างทางจะมีร้านขายของที่เป็นงานเขียนสีไม่ว่าจะเป็นหมวก ภาพต่างๆ กรอบรูป และของที่ระลึกอื่นๆ


เสร็จจาก Besakih โปรแกรมต่อไปคือเมืองกลุงกุงอดีตเมืองหลวงของที่นี่ เรามาที่นี่เพื่อจะศึกษาดูประวัติศาสตร์ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ เก็บค่าเข้าชม ภายในจะมีข้อมูลต่างๆ และข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ พร้อมกับหุ่นตัวละครรำบารอง ตัวนี้ชื่อว่าบารองตัวแทนความดี ครึ่งคนครึ่งสิงห์


ส่วนตัวนี้น่ากลัวจริงๆ พ่อมดรังดา ตัวแทนความชั่วร้าย


อีกฝั่งหนึ่งของถนนจะมีหอสีดำ สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ปูปูตันที่เกิดการสู้รบระหว่างชาวบาหลีกับชาวต่างชาติในการมารุกราน


แหงนมองไปด้านบนศาลา ก็จะเจอกับภาพเขียนซึ่งเป็นเรื่องราวอะไรสักอย่างผมเองก็ไม่มีข้อมูล แต่ดูแล้วเก่าแก่พอสมควร


สักบ่ายแก่ๆ เราก็เดินทางไปยังที่ที่เป็นไฮไลท์ของวัน ซึ่งก็คือ วัดทานาล็อต (Tanah Lot) ตั้งอยู่ริมทะเล ระหว่างทางที่จะไปรถติดพอสมควรเนื่องจากได้เวลาประมาณ 5 โมงเย็นพอดี ประกอบกับถนนที่บาหลีนั้นแคบมากจึงทำให้รถค่อยๆเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ แต่พอมาถึงที่ Tanah Lot จำนวนนักท่องเที่ยวเยอะมากครับ เนื่องจากแต่ละคนก็จะมารอดูพระอาทิตย์ตกน้ำกันทั้งนั้น เราเดินเล็งไปเล็งมาก็ไปเจอกับป้ายว่า Holy Water น้ำศักดิสิทธินั่นเอง ได้ชาวบาหลีที่ยืนให้ข้อมูลอยู่บอกกับเราว่า ถ้าดื่ม 3 ครั้งจะโชคดี เราคิดสักพัก เป็นไงเป็นกัน เดินเข้าไปดื่มครับ โดยรองจากมือแล้วดื่มเข้าปาก 3 ครั้งด้วยกัน ฝรั่งเห็นเราทำก็เลยเอามั่ง ฮ่าฮ่า


วิวยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า


รีบเดินไปอีกฝั่งในรูปก่อนหน้านี้ เพื่อจะถ่ายวิวท้องฟ้ายามเย็นพร้อมกับทานาล็อต Sunset at Tanah Lot


อีกวิวหนึ่งเมื่อมองจากจุดชมวิว


เรากลับมาถึงที่พักในคูตาก็ค่ำแล้ว วันนี้พักที่ Bakungsari Hotel เป็นโรงแรมที่สวยและใหม่เหมือนกัน เรตราคาอยู่ที่ 20 USD


เก็บข้าวของเสร็จผมกับเพื่อนก็ออกมาหาร้านอาหารเพื่อทานมื้อเย็นกัน เดินไปเรื่อยๆตามแหล่งช็อปปิ้งย่านคูตา ที่นี่คึกคักคล้ายๆหาดป่าตองบ้านเรา


ผมติดใจร้านอาหารที่เคยมาทานเมื่อมาถึงบาหลีในวันแรก ก็เลยเดินมุ่งเพื่อที่จะมาร้านนี้ร้านเดียว สั่งเมนูเดิมๆ ถามไปยังสาวเสริฟว่าจำเราได้เปล่า ได้รับคำตอบว่าจำได้ นึกดีใจที่จำลูกค้าได้ วันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ ที่นี่มี surprise เล็กๆให้กับลูกค้าเมื่อพนักงานเสริฟนำขนมหวานซึ่งเป็นลูกๆ 4 ลูกด้วยกันโดยทำมาจากแป้งราดด้วยน้ำเชื่อมหวานมาก เป็น Thank you Friday สำหรับลูกค้าทุกคนที่มาทานอาหารในค่ำคืนวันศุกร์ ทำให้ร้านนี้คงติดในความทรงจำของผมอีกนาน

Original Published on www.pantip.com at  [ 27 ก.ค. 48 21:34:55 ]


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น