จึงไม่รอช้ากดจองผ่านเว็บเอมิเรตส์ตัดบัตรเครดิตด้วยราคาไป-กลับ กรุงเทพ-ฮ่องกง 6,355 บาท/คนเท่านั้น(สุทธิแล้ว) ซึ่งลองดูแอร์เอเชียแล้ว ราคานี้ไม่มีเลย 8 พันกว่าบาททั้งนั้น ประกอบกับการได้ขึ้นเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกซะด้วยสิ ต้องลองเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นทริปนี้จึงเกิดขึ้นล่วงหน้า 3 เดือน
จริงๆแล้ว ฮ่องกงผมเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งแอร์เอเชียยังไม่เปิดบินตรงไปลงฮ่องกง(9 ปีมาแล้วมั้ง) คงสามารถทำได้เพียงนั่งเครื่องแอร์เอเชียไปลงมาเก๊าแล้วจากมาเก๊านั่งเรือข้ามเกาะไปฮ่องกงอีกทีหนึ่ง ตอนนั้นถือว่าเสียเวลาพอควรแต่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะเซฟเงินในกระเป๋าเรา ครั้งนั้นไปเพียง 3 วันเองมั้ง พักแค่คืนหรือ 2 คืนไม่แน่ใจ ครั้งนี้เลยอยากไปอีกให้จุใจแถมบินตรงสู่สนามบินเช๊กแล็บก๊อก ฮ่องกงด้วย
หลังจากจองตั๋วเครื่องบินไปแล้วก็ดูข้อมูลเพิ่ม เนื่องจากไปนานมาแล้วจำสถานที่ท่องเที่ยวไม่ได้ จึงได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากเว็บ http://www.hongkongpackage.net เยอะมาก และอีกเว็บรองลงมาคือ http://www.hongkongfanclub.com โปรแกรมที่คลอดมา 4 วัน 3 คืนจึงเป็นดังนี้ครับ
DAY 1 : สนามบินสุวรรณภูมิ - สนามบินเช๊กแลบก๊อก ฮ่องกง - เข้าที่พัก King De Nathan ย่านเหยาหม่าเต๋ย (Yau Ma Tei) ถนนนาธาน - SOL(Symphony of Light)
DAY 2 : หาด Repulse bay ไหว้เจ้าแม่กวนอิม – Ocean Park - Victoria Peak – ช้อปปิ้งย่านนาทาน & ย่านจิมซาจุ่ย
DAY 3 : นั่งเรือไปมาเก๊า - เที่ยว Venetian Macau , City Of Dreams , Galaxy Macau - เซนาโด้ สแควร์ , ซากโบสถ์เซนต์ปอล etc. - กลับฮ่องกง
DAY 4 : กระเช้านองปิง – พระใหญ่ลันเตา(วัดโปลิน) – City Gate Outlet - วัดหวังต้าเซียน – วัดนางชี - วัดแชกงหมิว – สนามบินเช๊กแลบก๊อกฮ่องกง – สนามบินสุวรรณภูมิ
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่แผนนะครับ ไปถึงจริงเป็นยังไงก็คงต้องตามดูกันต่อไป วันต่อวันครับ
วันแรก : วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557
วันนี้เรามีบินเวลาบ่ายโมงกว่าๆ แต่ลาไปเต็มวันเพราะต้องมาเตรียมตัวและเก็บของที่ยังไม่เสร็จ โดยสิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้คือการเล่น Social Media ซึ่งทำให้ผมต้องซื้อซิมการ์ดของฮ่องกงเตรียมไว้ใช้งาน(ไปต่างประเทศอย่าเปิดใช้ Roaming โดยเด็ดขาด ให้ไปซื้อซิมการ์ดของประเทศนั้นๆแทน ค่าใช้จ่ายถูกกว่ากันเยอะมาก ไม่งั้นจะโดนค่า data เป็นหลายพันหรือไม่ก็เป็นหมื่นขึ้นมาหล่ะยุ่งเชียว) โดยสามารถซื้อมาใช้ได้จากในไทยเรานี้เลย เป็นซิมจากทางเว็บ hongkongfanclub ที่นำมาขายในไทยเลย และสามารถเปิดเบอร์ได้ในไทยก่อนที่จะไปถึงฮ่องกงด้วยซ้ำไป ราคา 400 บาท จากค่าย One2free มูลค่าในซิมเอง 88 HKD เลือกใช้อินเตอร์เน็ตแบบ 7 วัน unlimited เสีย 78 HKD (แนะนำ) คงเหลือเงินในซิม 10 HKD ขั้นตอนก็ไม่ยากครับ อ่านแล้วสามารถทำได้เลย สามารถรับสายและโทรออกได้เลยจากไทยเพราะเป็นซิมที่นำไปวางขายสำหรับต่างประเทศโดยตรง แล้วพอไปถึงฮ่องกงก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาเซ็ทอัพกันนาน ใครอยากใช้เน็ตไม่ควรพลาดครับ
มาใช้สนามบินสุวรรณภูมิอีกครั้งหลังจากที่มาใช้ตอนไปมัลดีฟส์เดือนกันยายนปีที่แล้ว ผมชอบสนามบินสุวรรณภูมิมากกว่าดอนเมืองนะครับ ทั้งใกล้บ้านทั้งของผมและของแฟน โดยเฉพาะบ้านแฟนใช้เวลาเพียง 5 นาทีก็มาถึงแล้ว ส่วนสนามบินดอนเมืองน่าจะโละทิ้งไปตั้งนานแล้ว ยังเสียดายไม่หายเลยที่แอร์เอเชียตัดสินใจกลับไปใช้ดอนเมือง แต่เข้าใจเพราะค่าแลนดิ้งและอื่นๆจะถูกกว่าสุวรรรภูมิเพราะการท่าอากาศยานเขาล่อใจตรงนี้ โลว์คอสต์ก็ต้องไปอยู่แล้ว แต่ไม่สะดวกเวลาต่อเครื่องด้วยประการทั้งปวงครับ
ด้วยความที่เรา Self Check In มาแล้วทางเน็ต ทำให้ไม่ต้องต่อแถวยาวเหมือนปกติเพราะมี boarding pass พิมพ์มาแล้ว ทำเพียงหย่อนสัมภาระที่เคานเตอร์เท่านั้น ตรงป้ายสีแดงที่เขียนว่า "Self Check in" นะครับ ทางสายการบินเอมิเรตส์เขาทำดี มีช่องเฉพาะเลย ส่วนใหญ่คนจะไม่ค่อย Self Check in กันนะครับ ทำให้แถวนี้สั้นมากๆมีแค่ 1 คิวเท่านั้น ส่วนแถวเช็คอินปกติก็ยาวกันตามระเบียบครับ(ไม่เหมือนแอร์เอเชีย ขนาดมี Self Check in ยังต้องมาเสียเวลาต่อแถวยาวๆเหมือนปกติอีก เพื่อมาหย่อนสัมภาระแค่เนี่ยนะ??)
หย่อนสัมภาระเสร็จแล้วก็ขอถ่ายกับยักษ์ตนนี้ซะหน่อยค้าาา
เดินเข้าไปรอข้างในดีกว่า ร้านนี้ตกแต่งแนวนี้ชอบมากเลยครับ ผมว่าคล้ายๆร้าน Coffee Today นะ แต่นี่จะหรูกว่า
บอร์ดดิ้งพาสบอกเราเกต E8 ลงตรงนี้เลย ไกลกว่าเกตอื่นๆเลยแฮะ แต่มุมนี้สวยมากครับ
เดินลงบันไดเลื่อนไปแล้วเดินต่อไปอีกก็จะเจอกับศาลาทรงไทยแบบนี้ มีต้นตาลอยู่รอบๆด้วย สวยงามแบบไทยๆครับ
ไฟล์เรา EK384 ยังไม่ถึงเวลา แถมคนเข้าคิวรอที่ทางเข้าเกตก็เยอะมากเลยขอถ่ายรูปก่อนละกัน
เดินสำรวจหามุมสวยๆไปเรื่อย ยังไม่เดินลงไปที่เกตหรอก อิอิ
นั่นไง...เครื่องบินแอร์บัส A380 ลำใหญ่สุดในโลกมาจอดรอแล้ว เสียอย่างเดียวสีสันภายนอกตกแต่งไม่สวยเท่าไหร่ แต่ภายในเขาว่าสวยมาก ต้องรอดูต่อไป
แล้วก็ถึงเวลาบอร์ดดิ้ง เดินตามมาเลยค่ะ ชั้นล่างเป็นที่นั่งสำหรับ economy ทั้งหมด มีแอร์โฮสเตสด้านหลังยืนยิ้มให้เราอยู่ อิอิ
ได้ที่นั่ง 81B และ 81C ก็โอเคอยู่นะครับ เดี๋ยวเราต้องลองเจ้าจอแบบทัชสกรีนข้างหน้าเราแล้ว อ้อ...มีที่ชาร์จแบตด้วย
แรกสัมผัสกับ A380 รู้สึกดีมากครับ หรูหราอลังการ แม้จะเป็นแบบประหยัดก็เถอะ
แล้วก็ถึงเวลาเทคออฟครับ เรามาดูวิดีโอกันว่าจากจอด้านหน้าเราจะมีอะไรให้เราดูได้บ้าง ซึ่งจะมีมุมมอง 3 มุมมองด้วยกันครับ แบบกัปตัน, แบบจากหางด้านบน และแบบ top view จากท้องเครื่อง เยี่ยมมาก
ส่วนนี่คือวิธีการใช้จอส่วนตัวในการดูหนังฟังเพลงและอื่นๆครับ
นั่งไปสักพัก 2.5 ชั่วโมงเราก็มาถึงสนามบินเช๊กแล็บก๊อก ฮ่องกงแล้ว เวลาที่ฮ่องกงเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงครับ ณ ขณะนี้ในไทย 5 โมงเย็นจึงเป็นเวลา 6 โมงเย็นในฮ่องกง
เดินมาตามทางก็ต้องลงบันไดเลื่อนเพื่อมารอรถไฟฟ้าแบบนี้ซึ่งวิ่งส่งระหว่างเทอร์มินอลแบบใน KLIA เพื่อไปยังตม.ของฮ่องกง
รอไม่นานแค่ 1 นาทีก็ได้ขึ้นแล้ว แถมได้นั่งด้วย อิอิ
ก็มาถึงทางที่จะต้องผ่านตม.ครับ เลยรีบถ่ายรูปซะตรงนี้ก่อนไม่งั้นจะถ่ายไม่ได้แล้ว ตม.ฮ่องกงเฮี๊ยบเหมือนกันนะจ๊ะ
ผ่านตม.เสร็จก็ออกมาเติมเงินในบัตร Octopus กันก่อน ต้องขอขอบคุณน้าปลานิลจิ๋ว แห่งห้องสินธร พันทิปที่ให้เราหยิบยืมบัตรนี้มา 2 ใบด้วยกัน :)
เวลาเติมเงินขั้นตอนก็ง่ายๆ 1.เสียบบัตรจนสัญญาณไฟสีเขียว แล้ว 2.เอาธนบัตรฮ่องกงใบละ 50 หรือ 100 HKD เสียบเข้าไปในช่องขวามือสีเขียว จนมันดูดเข้าไป พอหน้าจอบอกเสร็จสิ้นก็ 3.ดึงบัตรด้านซ้ายมือออกได้ครับ เป็นอันเสร็จสิ้นการเติมเงินในบัตร ซึ่งไปฮ่องกงควรมีบัตร Octopus เพื่อควรสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยสินค้าแทบจะทุกชนิดนะครับ ร้านเซเว่นก็ใช้ได้ ซื้อตั๋วรถไฟใต้ดิน และอื่นๆอีกมากมาย
ออกจากสนามบินก็ดูป้ายตรงที่เขียนว่า Bus นะครับ เดินมาตามทางและต้องลงลิฟท์ไปข้างล่าง สัมผัสแรกที่ต้องออกจากอาคารสนามบินที่ควบคุมอุณหภูมิให้เราอุ่นๆ แล้วมาเจอกับอากาศข้างนอกจริงๆ โห....อากาศเย็นมากๆ ดูจากมือถือ 8 องศาเซลเซียส!! มิน่า จนต้องหยุดแล้วเอาเสื้อคลุมที่อยู่ในกระเป๋ามาใส่ ไม่งั้นไม่รอดแน่
ลงมาตรงถนนเราจะเจอกับป้ายรถบัสหลายจุดทีเดียว สังเกตดีๆ มีคนยืนต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบ(ไม่เหมือนในไทย)
ตอนแรกผมจะลองนั่งรถสาย S1 ก่อนเพื่อไปลงสถานี MTR Tung Chung เพื่อไปนั่ง MTR สายสีส้มแล้วไปต่อสายสีแดงไปลงเหยาหม่าเต๋ย โดยราคารวมจะถูกที่สุด แต่ดูๆแล้วจะทุลักทุเลน่าดูเพราะหลายต่อและคนเยอะด้วย เลยตัดสินใจไม่เอาดีกว่า
สุดท้ายก็ต้องเดินมายืนรอคิวเพื่อขึ้นรถบัสสาย A21 ตรงไปถนนนาธานเลย ต่อเดียวจบ แต่ราคาจะแพงกว่าแบบแรก(33 HKD) ก็ไม่เป็นไร
ได้สัมผัสรถ 2 ชั้นแบบอังกฤษกันแล้ว เราเลยเลือกขึ้นไปชั้น 2 แต่นั่งได้สักพักก็รู้สึกเวียนๆหัว 555 ครั้งต่อไปไม่เอาแล้ว นั่งชั้นล่างดีกว่า
รถใช้เวลาวิ่งเกือบๆ 1 ชั่วโมงก็พาเรามาถึงย่านเหมาหม่าเต๋ย(Yau Ma Tei) ถนนนาธาน ลงรถเสร็จก็ต้องข้ามถนนมายังอีกฝั่งหนึ่ง ตรงนี้ใกล้ๆกับ 7-11 จะเห็นป้าย King De Nathan พื้นสีขาวยื่นออกมา นั่นแหล่ะครับ ที่พักของเราตลอด 3 คืนในฮ่องกง
ที่เลือกที่นี่ก็เพราะใกล้แหล่งสำคัญติดถนนนาธานเลย แถมใกล้สถานี MTR Yau Ma Tei ด้วยนะครับ ผมจองจาก Booking.com ซึ่งตอนแรกจะจองผ่าน Agoda แต่ดันเต็มซะก่อน เลยไปหาที่ Booking.com แทน ด้วยราคา 2,984.60 บาท/คืน แพงไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ยที่ฮ่องกง
โดยพอถึงหัวมุมถนนแล้วต้องเลี้ยวขวาเข้าไปไม่กี่เมตร ก็จะเป็นทางเข้า Lobby
เราไปเช็คอินกับเจ๊ด้านหน้าเลยครับ ยื่นใบจองจาก Booking.com แล้วขอพาสปอร์ตเราทั้งคู่ไปดู แล้วคืนกลับมาให้เราไม่ได้เก็บไว้นะครับ พร้อมกับเสียค่ามัดจำอีก 500 HKD ดีที่เราสามารถรูดบัตรเครดิตไปได้ ไม่งั้นต้องมาควักเงินสดก็แย่เลย เพราะต้องใช้ในการจับจ่ายตลอดทั้ง 4 วัน
เราได้ห้อง 1106 อยู่ชั้น 11 นั่นเอง สภาพภายในห้องก็โอเคเลยครับ ไม่แคบจนเกินไป แถมมีวิวถนนให้ดูตรงหัวนอนด้วย
ด้านนี้จะเป็นโต๊ะวางของ, ทีวี, ตู้เสื้อผ้า
ตรงนี้จะให้เห็นส่วนที่เป็นห้องน้ำกับเตียงนอนเมื่อเปิดประตูห้องออกมา
ภายในห้องน้ำครับ ด้านซ้ายจะเป็นโซนเปียกมีฝักบัว เครื่องทำน้ำอุ่น พยายามปรับความร้อนให้ดีๆนะครับ ไม่งั้นพออาบๆไป มันจะร้อนขึ้นมาอีก คราวนี้จะลวกตัวเอาได้
ด้านขวาของห้องน้ำจะเป็นโซนแห้ง มีชักโครก และอ่างล้างหน้า กระจกแต่งตัวยาวตลอดแนว แถวขวามือตรงกำแพงจะมีไดร์เป่าผมแถมมาด้วย เอาใจสำหรับสาวๆครับ
เปิดกระจกออกไปตรงหัวนอนจะพบวิวตึกสูงๆฝั่งตรงข้ามของถนนนาธาน เห็นบางคนบอกว่า แม้ว่าจะอยู่ชั้นสูงๆแต่ก็ได้ยินเสียงรถแล่นไปมาตลอดทั้งคืน แต่สำหรับเรา เราว่าไม่ดังขนาดนั้นนะ สบายใจได้
พอเก็บข้าวเก็บของแล้วเสร็จ ประมาณ 3 ทุ่มก็ออกมาจากโรงแรมเพื่อไปหาอะไรหม่ำกัน ตรงนี้ตกแต่งเป็นชั้นวางหนังสือของ lobby โรงแรม สวยดีครับ แม้ว่าจะแคบๆก็สามารถทำให้ดูสว่างและมีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น ไม่จำเจด้วย
เดินออกไปตรงถนนหลักคือถนนนาธาน ทางด้านซ้ายมือจะเห็นป้าย Casa Deluxe Hotel ซึ่งที่นี่ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน แต่มันดูแคบๆเล็กๆไปหน่อยครับ
วิวแสงสีของฮ่องกงยามค่ำคืน ขนาด 3 ทุ่มแล้วยังคึกคักอยู่เลย
แล้วเราก็เดินเลี้ยวซ้ายตรงทางที่จะลงไปสถานี Yau Ma Tei แต่ยังไม่ลงไป เดินเลียบซอยเล็กๆ จะพบเจอร้านอาหารไทยชื่อว่า อัมพวา แต่ไม่ได้แวะทานนะครับ เดินไปหาอาหารแนะนำในฮ่องกงต่อไป
เลยเลยจากร้านอัมพวาแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเป็นซอยเล็กๆมีร้านอาหารขายอยู่เยอะแยะทีเดียว ที่ใหญ่ๆดังๆก็จะเป็นร้านนี้ Hing Kee Restaurant มีเต๊นท์ใหญ่ๆกางคร่อมถนนเลย เห็นคนเยอะเกินเลยหนีมาอีกร้านที่เป็นตึกแถวใกล้ๆกัน สั่งอาหารร้านนี้แหล่ะ
เหมือนๆไข่เจียวนะครับ มีน้ำจิ้มเผ็ดๆมาด้วย ชื่อเมนูอะไรจำไม่ได้แล้วแฮะ
กับอาหารยอดนิยมที่ใครมาฮ่องกงจะต้องลิ้มลอง นั่นคือ ข้าวอบหม้อดิน ใส่หมูและกุนเชียงพร้อมกับราดซีอิ๊วมาน่าทานทีเดียว พอชิมรสก็โอเคใช้ได้เลยครับ แต่ราคาแพงน่าดู ประมาณ 150 บาทได้ รวมแล้วมื้อนี้ 76 HKD ที่ฮ่องกงอาหารจะราคาแพงครับ
พอทานอาหารเสร็จก็เดินย่อยอาหารรอบๆ แวะมาร้านนี้ ขายพวกลูกชิ้น ปลาหมึก เต้าหู้เสียบไม้ ตอนแรกเราคิดว่าจะอุ่นให้ร้อนๆ พอใส่ปากถึงรู้ว่า เย็นมาก ไม่ได้อุ่นอะไรเล้ยยย เสียอารมณ์!! (2 ไม้ 20 HKD)
แล้วก็ได้ฤกษ์นั่งรถไฟใต้ดินกัน เดินลงไปตรงสถานี Yau Ma Tei กันเลยครับ อยู่ใกล้ๆ
ใช้สายสีแดง จะไปลงสถานี Tsim Sha Tsui เพื่อจะไปดู SOL ที่ไปไม่ทันซะแล้ว แต่ก็ยังอยากไปดูบรรยากาศอยู่ดี แล้วค่อยไปดูอีกทีวันหลังก็ได้
แม้ว่าจะเป็นประเทศจีน แต่รถไฟเขาก็สะอาดนะครับ
ออกจากสถานีจิ่มซาจุ่ยตะวันออก ก็เดินตามทางมาเรื่อยๆ ตามคนฮ่องกงมา ลัดเลาะไปตามทาง ผ่านสวนสาธารณะก็จะมาถึงริมทะเลแห่งนี้แล้ว รูปปั้นใครครับเนี่ย จุดเริ่มต้นของ Avenue of Star
ณ ขณะนี้อากาศยิ่งหนาวเข้าไปอีก ลมโกรกแรงทีเดียวครับ ต่ำกว่า 10 องศา
ไม่ได้ทันดู SOL ตามแพลนที่วางไว้ก็ไม่เป็นไร เก็บภาพแสงสีที่ทอดลงทะเลแบบนี้ก่อนละกัน
อีกมุมหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามคือฝั่งเกาะฮ่องกง มองจากฝั่งเกาลูน
มาดูภาพเคลื่อนไหวกันบ้าง อากาศหนาวสุดๆ
ออกกำลังกายกันหน่อย 555 มือและหน้าเย็นไปหมดแล้ว
อยู่ได้สักพักก็ต้องกลับครับ อากาศหนาวมากๆ แล้วไว้เจอกันใหม่พรุ่งนี้ ตามไปเที่ยว Repulse bay, Ocean Park และ Victoria Peak กันจ้า
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น