วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มาเลเซีย...กัวลาลัมเปอร์-มะละกา ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2557 ตอน 2 เก็บตกมะละกาอีกครึ่งวัน ก่อนจะเดินทางกลับกัวลาลัมเปอร์ในช่วงบ่าย


วันที่สองของทริปส่งท้ายปีเก่า วันนี้เรายังคงอยู่ในมะละกา แต่มีเวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น เพราะเราต้องเดินทางกลับกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซียในช่วงบ่าย ฉะนั้น ครึ่งวันนี้เราจะเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของมะละกาให้หมด หลังจากที่เมื่อวานเรามาถึงซะเย็นแล้ว เลยทำให้ไม่สามารถเที่ยวอีกหลายๆที่ได้ทัน

วันนี้เราเลยเปลี่ยนแผนที่จะเดินทางกลับช่วงสายๆของวันเป็นช่วงบ่ายเล็กน้อย เพื่อชดเชยให้กับเมื่อวาน หลังจากนั้นก็จะต้องนั่งรถบัสกลับ KL เหมือนเดิม(เสียดายเล็กน้อยที่มีเวลาอยู่ในมะละกาเมืองมรดกโลกเพียงแค่ 1 คืนเท่านั้น) ส่วนแพลนที่จะไปเที่ยวปุตราจายา ส่วนราชการแห่งใหม่ของมาเลเซียนั้นคงต้องยกเลิกไป เอาไปวางไว้ในวันพรุ่งนี้แทนละกัน งั้นตามเรามาเที่ยวต่อละกันครับ


วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2556
วันนี้เราตื่นกันสายๆ เกือบ 10 โมงก็ออกมาทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมมีบริการมาให้ ที่ทานอาหารเช้าก็ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้แม้ว่าจะล้อมรอบไปด้วยอาคารปูนก็ตามซึ่งไม่ทำให้อึดอัดเลยครับ เราไม่เสียใจที่เลือกมาพักโรงแรมนี้จริงๆ ทุกอย่างประทับใจไปหมด


ด้านในเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ มีขนมปัง, เบเกอรี่ และไข่ดาว ตามแบบอเมริกัน เลือกทานได้ตามชอบ


ผมเลือกแบบเบาๆ ไข่ดาว + ขนมปังปิ้งกับแยม และน้ำส้ม แค่นี้ก็พอรองเท้าไปได้หลายชั่วโมง

ทานอาหารเช้าเสร็จก็กลับไปเก็บของที่ห้องพักเพราะเราต้องเช็คเอาท์ก่อนเที่ยงวัน แล้วนำกระเป๋าลงมาฝากกับเคาน์เตอร์ไว้ก่อนค่อยไปเที่ยวต่อได้


เราเดินออกมาหาขนมทานกันก่อนจะไปเที่ยวต่อ ซึ่งร้านขนมหวานที่เป้นร้านยอดฮิตของที่มะละกาหนีไม่พ้นร้านนี้ครับ Jonker Dessert 88 คนเยอะมากจนบางเวลาต้องยืนต่อคิวล้นกันออกมานอกร้าน แต่เวลานี้ที่เราไปยังมีคนไม่มากนัก เลยเดินเข้าไปข้างในพอมีที่ว่างได้ แต่ก็หาที่นั่งยากมากๆ ต้องยืนรอหลายนาทีทีเดียว



ในร้าน Jonker Dessert 88 ที่นั่งเรียกได้ว่าเก้าอี้ดนตรีกันเลยทีเดียว พอรอสักพักนี่ครับ ขนมหวานที่เราสั่งไป 1 ถ้วย ทานกัน 2 คน เมนูนี้เรียกว่า Baba Cendol หรือน้ำแข็งใสในบ้านเรานั่นเอง ราคา 3 RM ข้างในเป็นลอดช่องแล้วราดด้วยน้ำแข็งใสและน้ำกะทิ ส่วนสีน้ำตาลๆ คือน้ำเชื่อมมะพร้าวหวานๆ หอมๆ ครับ


ทานเสร็จ ฝนดันตกลงมา เราเลยรีบกลับไปหลบฝนที่โรงแรมกันก่อน แต่แล้วจ๊ะเอ๋ปวดเท้าเลยไม่ขอออกไปอีกครั้งด้วย เลยทำให้ผมต้องไปเก็บตกสถานที่สำคัญคนเดียว

เดินผ่านมาจนจะข้ามสะพานก็เห็นกับคนที่ยืนรอคิวที่ร้านแหง่นี้ Kedai Kopi Chung Wah ร้านที่อยู่ติดกับ Hard Rock Cafe ซึ่งเป็นร้านขายข้าวมันไก่แบบลูกบอลที่เขาว่าอร่อยที่สุดในมะละกานั่นเอง ใครอยากชิมว่าจะอร่อยสักแค่ไหนก็คงต้องยืนรอคิวกันแบบนี้หล่ะครับ สำหรับผมขอบายครับ


มาที่โบสถ์คริสต์ของมะละกาอีกครั้ง ณ ตอนนี้นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะเท่าเมื่อวานตอนมาถึงเท่าไหร่ครับ


ผมเดินขึ้นเนินเขาไปเล็กน้อย อยากรู้ว่าที่ไหน ที่นี่คือ Admiral Cheng Ho Gallery ซึ่งกำลังปิดปรับปรุงอยู่พอดี เลยไม่ได้เข้าไป


มุมด้านบน ยังไม่เปิดให้เข้าชม ซึ่งแกลอรี่นี้เป็นของสะสมระหว่างเดินทางของนายพลเรือเอกเชงโฮ นักเดินเรือที่มีชื่อเสียงของชาวจีนที่เดินทางมาเชื่อมความสัมพันธ์ทั้งที่แอฟริกาและเอเชีย ของสะสมจะมีทั้งเครื่องลายครามโบราญ หนังสือทีเล่าถึงชีวประวัติและการผจญชัยของนายพลท่านนี้


ผมเดินขึ้นไปตามทางเดิน ณ มุมนี้จะมองเห็น Taming Sari ทางซ้ายและ Maritime museum ที่เป็นเสากระโดงทางขวาอย่างชัดเจน


เห็นทางเดินขึ้นไปโบสถ์เซนต์ปอล(St Paul's Church) ทางซ้ายมือแล้ว เดินขึ้นไปด้วยกันเลยครับ
  • โบสถ์เซนต์ปอลเป็นโบสถ์เก่าสร้างอยู่บนเนินเขาใกล้กับ Dutch square สร้างขึ้นโดยคณะบาทหลวงจากโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 1521

ที่หน้าโบสถ์เซนต์ปอลมีรูปปั้นนักบวชชาวคริสต์อยู่ มีชื่อว่า Saint Francis Xanvier ท่านเป็นนักบวชชาวสเปนที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มือที่หักนี้สอดคล้องกับเรื่องจริงที่พระสันตะปาปา รับสั่งให้ตัดมือของศพ Saint Francis Xanvier จากอินเดีย ไปเก็บไว้ยังสำนักวาติกัน ในกรุงโรม


ด้านหน้าโบสถ์เซนต์ปอลมีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นมาชมโบสถ์นี้เยอะทีเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นชาวญี่ปุ่นที่มากับกรุ๊ปทัวร์ ช่วงนี้อากาศยังไม่ร้อน กำลังเย็นสบายๆ เลยครับ


เดินเข้ามาภายในโบสถ์เก่ากันครับ


หันมองย้อนกลับไปด้านหน้าทางเข้า


ตรงนี้เป็นหินสลักเกี่ยวกับอะไรครับเนี่ย ใครรู้ช่วยบอกที


เดินลงมาทางด้านหลังโบสถ์จะพบหลุมศพของชาวดัทช์เรียงรายอยู่ ใครมาตอนกลางคืนก็ตัวใครตัวมันหล่ะครับ


ก่อนจะเดินลงไปด้านล่างอีกครั้ง เป็นประตูซานติเอโกที่เรามาแล้วเมื่อวานตอนกลางคืนครับ


ลงมาถึงด้านล่างแล้ว ที่ประตูซานติเอโกนักท่องเที่ยวยืนถ่ายรูปกับปืนใหญ่ก้านหน้ากันเยอะเลย


เดินสำรวจมาเรื่อยๆจะเจอกับ Proclamation of Independence Memorial ซึ่งเป็นอาคารที่แสดงประวัติและรูปถ่ายก่อนประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสุลต่านของมาเลย์ ในอาคารแบ่งเป็นหลายส่วนโดยแสดงประวัติการพัฒนาของประเทศจากแต่ก่อนจนถึงวันที่ประกาศเอกราชของมาเลเซีย



ใกล้ๆกันจะเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ของมะละกา Muzium Umno Melaka



ฝั่งตรงกันข้ามของพิพิธภัณฑ์มีรถไฟโบราณอยู่ด้วยครับ เด็กๆชอบมาเล่นกันหลายคน


ข้างในใกล้ๆกับรถไฟโบราณจะมีซากเครื่องบินเก่าจอดโชว์อยู่ด้วย


ผมเดินเตร็ดเตร่บริเวณนี้สักพักก็ได้เวลาเดินกลับแล้วครับ ทางด้านขวามือเป็นพิพิธภัณฑ์อิสลามของมะละกา(Muzium Islam Melaka) มีนักท่องเที่ยวสาวมาถ่ายรูปด้วย


กลับมาถึงโรงแรม ได้เวลาเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ของโรงแรมกันบ้างแล้ว ตั้งอยู่ชั้นล่างสุดของอาคารที่พัก ที่นี่จะมีรูปถ่ายและประวัติต่างๆเกี่ยวกับเมืองมะละกาอยู่เยอะทีเดียว ได้อ่านและดูรูปที่นี่ก็สามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้เหมือนกันครับ


บริเวณนี้มีตัวอย่างเครื่องมือเครื่องใช้แบบโบราณแสดงอยู่ พร้อมกับโมเดลจำลองของเรือสำเภาที่ครั้งชาวดัทช์, โปรตุเกส และชาวยุโรปได้เดินเรือมาสร้างสัมพันธ์และการค้าที่ช่องแคบมะละกาแห่งนี้


สมควรแก่เวลา บ่ายโมงครึ่งเราก็ออกจากโรงแรมมายืนรอรถเมล์ที่ตรงจุดนี้ เป็นจุดเยื้องๆทางเข้าถนน Jonker Walk ที่อยู่ด้านหลัง คนละฝั่งกับขามานะครับ


รอประมาณ 5-10 นาที รถเมล์ก็มาจอดตรงป้าย ครั้งนี้ได้นั่ง คนไม่เยอะมากครับ ค่าโดยสารเท่าเดิม คนละ 1 RM


แล้วก็ลงที่สถานีรถบัสมะละกาเหมือนเดิม มองหาช่องขายตั๋ว ไปได้เจ้านี้ Transnasional ราคาดันแพงกว่าขามาซะอีก :( ราคาคนละ 13.60 RM ได้เวลาบ่าย 3 โมงตรง อ้อ...มีเที่ยวไปสิงคโปร์ด้วยนะครับ ครั้งต่อไปนั่งไปสิงคโปร์ดีกว่า อิอิ ราคาไม่แพงมากด้วย แต่นานหน่อยเท่านั้นเอง


เหลือเวลาอีกตั้ง 1 ชั่วโมงกว่ารถจะออก เราเลยเดินไปหาของที่ระลึกและหาอะไรรองท้อง ของที่ระลึกส่วนใหญ่เวลาที่เราไปต่างประเทศ เรามักจะซื้อไม่หมวกก็เสื้อยืดแสดงเอกลักษณ์ของประเทศนั้นๆ ครับ ครั้งนี้เลยได้เสื้อยืด 2 ตัวนี้ ราคาไม่แพง


ซื้อเสื้อเสร็จก็มองหาร้านอาหาร มีร้านแม็คและร้าน KFC ด้วย ตอนแรกว่าจะเข้าไปทานแต่สุดท้าย เลือกมาทานร้านอาหารข้าวแกงท้องถิ่นของมาเลย์แบบนี้ดีกว่า ได้อารมณ์ด้วย ราคาไม่แพงครับ


ไก่ทอดกับแพนงเนื้อราดข้าว


ได้เวลารถออกแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้ถ่ายรูปรถบัสมาด้วย นั่งไปคุยกันไป ไม่นานก็มาถึงสถานีรถบัส TBS (Terminal Bersepadu Selatan) ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งด้วยกัน เราประทับใจสถานีรถบัสระหว่างเมืองแบบใหม่ของกัวลาลัมเปอร์เขาครับ สะอาดสะอ้าน หมอชิต 2 เราหรือสายใต้ไม่ติดฝุ่นเขาเลย เฮ้อ....


แล้วเดินขึ้นชั้น 2 เข้าไปที่ล๊อบบี้ก่อนจะข้ามสะพานไปสถานีรถไฟฟ้า KLIA Transit กันต่อ มีชายและหญิงแต่งชุดประจำชาติมาเลย์มาต้อนรับเราทั้งคู่เลยครับ


กำลังเดินข้ามสะพานจากสถานีรถบัส TBS ไปอีกฝั่งหนึ่ง มีรถไฟ KTM Comutor กำลังแล่นมาพอดี แต่เราไม่ได้ขึ้นสายที่ว่านี้นะครับ


เรามารอสาย KLIA Transit ขบวนนี้ครับ กำลังแล่นเข้าจอดชานชลาพอดี


มาถึง KL Sentral แล้ว ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นชุมสายของการขนส่งทางรางย่อมๆเลยก็ว่าได้ เราไม่ลืมที่จะเดินขึ้นไปชั้น 2 เพื่อไปเอากระเป๋าใบใหญ่ที่ฝากไว้เมื่อวานนี้ก่อนไปมะละกา แต่คนรับฝากดันจะให้เราจ่ายอีก 10 RM เราไม่ยอมครับ บอกว่าราคา 10 RM ได้จ่ายไปแล้ว ไม่ยอมจ่ายอีก เซ็งเลยครับ จะขี้โกงเรา ต้องระวังกันไว้ด้วย


เอากระเป๋าเสร็จก็เดินลงมาชั้นล่าง ทางเชื่อมไป Monorail กำลังปรับปรุง เลยต้องเดินผ่านช่วงนี้ที่กำลังมีงานปรับปรุงอยู่พอดี


ขึ้นรถไฟสาย Monorail ครั้งแรก นั่งจากสถานี KL Sentral ไปลงสถานี Imbi เพราะโรงแรมที่จองไว้คืนนี้อยู่บริเวณนั้น


โรงแรมที่ว่าคือ Hotel Metro เป็นโรงแรมใหม่เอี่ยมอ่องเลยก็ว่าได้ ยังไม่ค่อยมีคนรีวิวใน Agoda เลยครับ แต่เราก็จองเพราะเชื่อในโรงแรมใหม่ อยากพักสวยๆ พอลงจากรถไฟสถานี Imbi แล้วทุลักทุเลมากๆ เพราะคนเยอะ กระเป๋าก็ใหญ่แถมไม่มีบันไดเลื่อนด้วย โอ้ย....หนักมากๆ สุดท้ายลงมาถึงชั้นพื้นดิน มองหาโรงแรมกันเลิ่กลัก อยู่ทางไหนหว่า หาทิศจากแผนที่ Google ในมือถือเอาแล้วเดินตาม สุดท้ายแหงนมองไปก็เจอป้ายโรงแรมอย่างที่เห็น อยู่ใกล้จากสถานี Imbi มากๆครับ อยู่ริมถนนและริมทางรถไฟ Monorail ผ่านเลย ไม่ต้องเข้าซอยด้วย อันนี้ขอแนะนำเลยถ้ามาพักที่ KL ย่าน Bukit Bintang แถมยังอยู่เยื้องๆกับห้าง Berjaya Times Square อีกด้วย หาของกินง่ายมากๆ


เข้ามาตัวโรงแรม หน้าล๊อบบี้ตกแต่งหรูหรา โอ่โถง แต่ราคาพันบาทนิดๆ (ราคาที่พักเด๊่ยวจะสรุปให้ตอนสุดท้ายครับ)


ขึ้นมาที่ห้องพักกันบ้าง เราขอชั้นสูงๆไป ได้มาอยู่ที่ชั้น 7 ห้อง 703 ห้องพักโรงแรมดูหรูแบบ 4 ดาวมากๆ สะอาดสะอ้าน เพราะเป็นโรงแรมใหม่ เตียงใหญ่นุ่ม ดูดีไปหมด


มุมตรง


มุมที่มองย้อนจากปลายเตียงไปยังประตูห้องพัก ห้องน้ำจะอยู่ทางขวามือ


หน้าต่างของห้องสามารถชมวิวถนนตรงที่เป็นสี่แยกได้ เรียกได้ว่าลงตัวไปหมดครับ


มาดูห้องน้ำกันบ้าง ก็สะอาดดีครับ


เก็บข้าวของเสร็จ ทุ่มนิดๆ เราก็ออกมาหาอะไรทานกัน จุดหมายคือตรงหน้าเรานี้ ห้าง Berjaya Times Square


ภายในห้างใหญ่โตกว้างขวางจริงๆ ครับ ตกแต่งเสาสีแดงแบบจีน


คิดเมนูอาหารไม่ออก ก็นี่เลย ไก่ทอด KFC ซึ่งไม่มีช้อนส้อมให้มานะครับ หันไปมองคนมาเลย์เขาทานกัน ใช้มือเปิดสดๆนี้เลย เอ้า...เอาก็เอา ใช้มือครับ ร้อนมือจริงๆ


ภายในห้างก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าอะไรดีหล่ะ พื้นเป็นบล็อกสีแดงและสีม่วง เอาเท้ากดลงไปก็จะเหมือนเรากดลงพื้นที่เป็นน้ำหมึก แปลกดี จะเห็นว่ามีหลายคนที่ทดสอบพื้นเหล่านี้ดู ส่วนบันไดก็จะเป็นคล้ายๆเปียโนครับ เดินเหยียบทีก็จะมีเสียงเหมือนเราเล่นเปียโนยังไงยังงั้นเลย อิอิ


เรามาชมคลิปวิดีโอกันครับ 


ทานไก่ทอด KFC ไม่อิ่มครับ เลยมาทานราดหน้าทะเลแบบไทยๆเราที่ KL นี่แหล่ะ รสชาติก็ใกล้เคียงพอทานได้ แต่ยังไม่เหมือนกันซะทีเดียวนัก


ด้านหน้าห้าง มีสิ่งประดิษฐ์อะไรสักอย่าง เขาบอกว่า World's Largest Capsule Vending Machine ยืนยันสถิติโดยกิเนสเรคคอร์ดเลยนะครับ


ก่อนจากกันคืนนี้ เราหาของหวานทานกันอีกแล้ว(ทานไม่อิ่มสักทีนะ) ได้ร้านคริสปี้ครีม เลือกเจ้าโดนัทชิ้นนี้มา Snowman red กับ Almond all over ทานแล้วก็ฟิน อิ่มอร่อย 

แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้ วันส่งท้ายปีเก่า 2556 โดยเราจะไป countdown ที่ตึกแฝดปิโตรนาสกันครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น