วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

มัลดีฟส์...หมู่เกาะในฝัน สรวงสวรรค์บนพื้นดิน ตอน 3 สำรวจเกาะของชาวมัลดิเวียน ทำสปา ดูปลากระเบน ก่อนจะกลับไทยวันรุ่งขึ้น


วันนี้เป็นวันที่ 3 ของการมาเที่ยวมัลดีฟส์แล้ว เขาบอกว่า ช่วงเวลาที่มีความสุขมักจะผ่านไปเร็ว อันนี้ก็คงใช่ เพราะพรุ่งนี้เราก็ต้องกลับบ้านกันแล้ว ช่างเร็วจริงๆครับ

โปรแกรมวันนี้ช่วงเช้าเราจองไปเที่ยวเกาะที่ชาวมัลดิเวียนคนท้องถิ่นเขาอาศัยอยู่ ดูความเป็นอยู่และอาจซื้อของที่ระลึกไปฝากเพื่อนที่ไทยกัน ส่วนช่วงบ่ายก็จะทำสปา ซึ่งจองไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำๆ ช่วงเย็นกะจะไปดูปลากระเบนที่เขาให้อาหารกัน

งั้นตามมาเที่ยวด้วยกันเลยครับ


เรือออกจากท่าที่ล๊อบบี้ประมาณ 9 โมงครึ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ  30 นาที ก็จะถึงท่าเรือของเกาะชาวมัลดิเวียน เกาะนี้มีชื่อว่า Dhangethi


ที่ท่าก่อนเดินเข้าไปยังตัวเกาะ น้ำใสๆมีเจ้าปลาตัวยาวๆ ปากแหลมๆสีดำอย่างที่เห็น มองดูคล้ายๆตัวพยาธิเลย


มองย้อนกลับไปที่ท่าเรือที่เราลงเรือมา แดดแรงๆ ก็จะได้ฟ้าเข้มๆอย่างนี้หล่ะครับ ตอนนี้ยังไม่เที่ยงวัน แค่ 10 โมงเช้าเท่านั้น


หลังจากนั้น จนท.โรงแรมที่ทำหน้าที่ไกด์ประจำโปรแกรมนี้ก็แจ้งให้พวกเรายืนรวมกลุ่มกันและจนท.ก็จะบรรยายเกี่ยวกับประวัติของเกาะนี้และสถานที่สำคัญๆ ร้านค้าจะตกแต่งทาสีฉูดฉาดคล้ายๆที่อินเดียเลยครับ เห็นแล้วก็ทำให้นึกถึง ซึ่งมัลดีฟส์ก็คงมีวัฒนธรรมคล้ายๆกัน


พอบรรยายเสร็จก็จะพาเดินรอบๆหมู่บ้าน บ้านเป็นปูนมีรั้วรอบขอบชิดกั้นอาณาเขตชัดเจน เดินผ่านบางจุดก็จะชี้ให้ดูผลของต้นไม้ต่างๆ เดินไปก็ร้อนไปครับ


ช่วงตอนที่เราไป พอดีกำลังมีการหาเสียงเลือกตั้ง ก็เลยจะเห็นป้ายหาเสียงของนักการเมืองได้ตามกำแพง ชอบนโยบายของเบอร์ไหนก็เลือกเบอร์นั้นนะครับ


เดินมาครบรอบบรรจบจุดที่รวมตัวกัน ก็จะเป็นช่วงฟรีไทม์ ให้นักท่องเที่ยวเลือกเดินซื้อของฝากกัน จริงๆตามที่ผมคิดและเห็นรายการในโทรทัศน์ที่ไปมัลดีฟส์มา เหมือนกับว่าเกาะชาวท้องถิ่นจะไปมันคนละเกาะกัน จึงดูแล้วไม่เหมือนกับที่เห็นในโทรทัศน์ ซึ่งน่าจะคึกคักและคนเยอะกว่านี้นะ แต่นี้เงียบๆครับ ไม่มีกิจกรรมอื่นให้ทำด้วย เดินวนหมู่บ้านและซื้อของฝาก แค่นั้นเอง

เราเองได้หาของฝากที่เป็น magnet พวกปลาทะเลชนิดต่างๆ ต่อได้ชิ้นละ 2 USD จาก 3 USD ลืมบอกไปว่าไม่ต้องใช้เงินสกุลท้องถิ่นนะครับ ใช้ดอลล่าร์ซื้อของได้เลย เขาขายเป็นดอลล่าร์


หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรทำแล้ว จนท.นัดไว้ 11 โมงให้ไปรอที่ท่าเรือ ก็จะมีคนที่มาช้าบ้างเพราะคงเลือกของฝากกันอยู่ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีนครับ มีคนไทยคือเราสองและอีก 1 ครอบครัวที่มากันพ่อแม่และลูกชาย รวมเป็นคนไทย 5 คน

เรือแล่นผ่านรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป เห็นสีน้ำแตกต่างกันชัดเจนระหว่างสีเข้มและสีเทอร์ควอยซ์


อีกรีสอร์ทถัดมาครับ บ้านพักตั้งอยู่ระหว่าง 2 เกาะเลยทีเดียว


เกาะเล็กๆเกาะนี้เหมือนกับในนิยายเลย ดูเหงาๆยังไงไม่รู้สิ


และแล้วก็กลับมาถึง Centara Grand Island ประมาณเที่ยงนิดๆได้ ชักเริ่มหิวแล้วสิ


มาถึง Aqua Bar ก็สั่งเครื่องดื่มดับกระหายกันเลย แก้วซ้าย Centara Sunset ส่วนแก้วขวา Ocean Blue


มื้อกลางวันนี้ walk in เข้าไปทานอาหารไทยที่ Lotus Restaurant กันเลย มื้อกลางวันไม่ต้องจองครับ แต่เราดูๆคนแล้ว คาดว่าอีกไม่นาน มื้อกลางวันที่นี่คงต้องให้จองก่อนแน่ๆ เพราะคนเยอะขึ้นครับ

อาหารไทยที่นี่จะเสริฟคล้ายๆ แบบฝรั่งคือ มีออร์เดิร์ฟก่อน แล้วค่อยเข้าอาหารหลัก ตบท้ายด้วยของหวาน อาหารที่มาเสริฟเป็นออร์เดิร์ฟคือ ลาบปลากับยำมะม่วง อาหารจานหลักก็จะมีเนื้อสเต๊ํะและปลาหมึกทอด พร้อมกับต้มยำกุ้งและผัดผัก เครื่องดื่มสั่งได้หมด ไม่ว่าจะเป็นไวน์หรือม๊อคเทล ส่วนของหวานเป็นน้ำแข็งใส


ทานอาหารกลางวันเสร็จก็กลับห้องพักก่อน แล้วประมาณบ่าย 3 ค่อยออกมาทำสปาตามที่จองไว้ ได้เลือกทำสปาแบบนวดหัวและไหล่ ส่วนแฟนเลือกทำแบบนวดตัว ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เร็วมากครับ แล้วคนนวดของผมเป็นชาวอินเดีย ตอนแรกไม่รู้คิดว่าชาวมัลดิเวียน แต่เขาถามผมว่าเคยไปลาดักห์มาเหรอ ผมงงหน่อยๆ เขาชี้ที่เสื้อ ลืมไปเราใส่เสื้อปัก LADAKH (ลาดักห์) เขาเลยทักและเริ่มคุยว่ามาจากอินเดีย มาทำที่นี่ได้ปีกว่าแล้ว บ้านอยู่เหนือเดลีขึ้นไป

ทำสปาเสร็จก็ออกมาชมวิวที่ด้านนอก ซึ่งจุดทำสปาจะอยู่ด้านหน้าทางเข้าบ้านพักแบบ Deluxe Family Villa พอดี


ถ่ายรูปกัน สักครู่จะได้ยินคนเหมือนจะคุยกับเรา หันไปคือเจ้าคนนี้พอดี คะยั้นคะยอจะให้นำมะพร้าวกับเรา เราเห้นเลยไม่อยากปฏิเสธ คิดว่าใจดี เลยรอชม ดีที่ถ่ายรูปมาด้วย พอเฉาะเสร็จก็ยื่นมาให้เราเอาไปดื่ม ก็ดื่มพอนิดหน่อย เจ้านี้ดันพูดออกมาว่า 2 USD เรางงเลย อะไรวะ ทำไมต้องเสียเงินด้วย หลอกกันนี่หว่า เลยลองควักเงินดู ปรากฎว่ามีแต่แบ็งค์ 10 USD ถามกลับว่ามีทอนเปล่า เจ้านี้บอกไม่มี ก็เลยไม่ต้องเสียเงิน 2 USD แต่ผมฉุนมาก ตอนแรกคิดว่าใจดีเอามาให้นักท่องเที่ยว มะพร้าวก็ของรีสอร์ทเขา ดันมาเก็บเงินแขกอีก เลยเอาเรื่องไปแจ้งจนท.ที่รีเซฟชั่นครับ เขารับเรื่องไว้และขอโทษ คุณดอยคนไทยเขารับเรื่องไว้


กลับมาที่ Aqua Bar สั่งม๊อคเทลอีกแล้ว เป็น Tequila Pineapple กับ Perfect Pina Corada มาที่นี่ถ้าเลือก All Inclusive ก็จะฟรีหมดนะครับ ไม่ต้องจ่ายแล้ว



เกือบได้เวลา 6 โมงเย็น เราย้ายจาก Aqua Bar ที่ล๊อบบี้มาที่ Coral Bar เพื่อรอดูการให้อาหารปลากระเบน แต่ก่อนที่ปลากระเบนจะมา เจอเจ้าตัวนี้บินมาก่อน ค้างคาวนั่นเอง


ระหว่างรอก็จะมี Seaplane ลำหนึ่งเพิ่งมาส่งนักท่องเที่ยว 1 คู่ แต่เอ...ทำไมมาเย็นจัง เพราะเห็นแจ้งว่า Seaplane จะไม่บินหลัง 5 โมงเย็น แต่นี่มันเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว


ส่งเสร็จก็บินกลับเข้าสนามบินมาเล่


หลังจากรอ พระเอกของเราก็มาแล้ว เจ้ากระเบนสีเผือกนั่นเอง


เจ้าตัวนี้สีดำ ดูน่ากลัวจัง ตาโผล่มาที่ผิวน้ำด้วย


ปลากระเบนสีดำกับเพื่อนต่างสายพันธุ์อย่างฉลาม มาคอยกินอาหาร


พอแสงแดดหมดไป มีแต่แสงไฟที่สาดส่อง กระเบนที่เคยว่ายมากินอาหารก็ว่ายหนีไปหมดแล้ว เหลือแต่เจ้าฉลามกับปลาอื่นๆแทน ปลาอื่นๆไม่ยักกลัวเจ้าฉลามแฮะ


สั่งม๊อคเทลกับถั่วลิสงทอดกินฆ่าเวลาก่อนทานอาหารมื้อเย็น


สักพักฝนก็เทลงมา แต่ตกแบบปรอยๆ ครับ ตกไม่แรง ไม่นานก็หยุด ตามที่เขาบอกเลยว่า ที่มัลดีฟส์ฝนตกไม่แรง มาแล้วก็หยุดไป


ได้เวลา 1 ทุ่ม Reef Restaurant ก็พร้อมเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปทานอาหารกัน วันนี้ออกแนวอาหารอิตาเลี่ยน มีเส้นและพวกพาสต้า


คนไม่เยอะมากครับ มื้อเย็นนี้จะเป็นมื้อสุดท้ายที่เราจะทานในมัลดีฟส์นี้แล้ว พรุ่งนี้ก็จะกลับกันแล้ว เสียดายเหมือนกัน ยังไม่จุใจเลย :(


เราทานเสร็จก่อนที่นักดนตรีจะเดินมาเล่นที่โต๊ะเรา


ก่อนกลับที่พักแวะเดินเข้าไปดูร้านขายของฝากก่อนครับ อยู่ก่อนทางเข้า Reef Restaurant โดยรวมของก็แพงกว่าที่เราซื้อมาจากเกาะชาวมัลดิเวียนครับ เลยเดินดูเฉยๆ ไม่ได้ซื้อ


ค่ำคืนสุดท้ายที่มัลดีฟส์ อยากลองถ่ายเส้นทางดาวหน่อยครับ ก่อนจะหาถ่ายแบบจริงจังในครั้งต่อๆไป


ยังไม่ง่วงนอน เลยชวนกันมาเดินที่ทางเข้าบ้านพักแบบ Luxury Sunset ขอเก็บภาพยามค่ำคืนหน่อย


มุมนี้อยากให้ออกมาเป็นแบบรูปหัวใจ แต่ทำได้แค่นี้ ใครเมาและเดินคนเดียวเสี่ยงมากๆกับการเดินกลับบ้านพักนะครับ อาจเผลอเดินเซหล่นทะเลก็เป็นได้ ต้องเดินกันหลายๆคน จะได้ช่วยๆ กัน


ภาพนี้ที่ Azzuri Mare Italian Restaurant ที่อยู่ด้านซ้ายมือ และ Aqua Bar ด้านขวามือ จะเห็นเมฆและพระจันทร์กำลังเคลื่อนตัว

ดึกวันนี้ก็จบลงด้วยดี เตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของเพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้ไม่เสียเวลา และออกไปรอเช็คเอ้าท์ได้เลย


ณ เช้าวันสุดท้ายที่มัลดีฟส์ ตื่นแต่เช้าเพื่อมาทานอาหารเช้าที่ Reef Restaurant โดยเลือกแบบง่ายๆ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น แต่ขอบอกว่าไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ จืดๆครับ วันนี้ต้องทำเวลานิดหนึ่งเพราะต้องไปรอที่ล๊อบบี้ตอนเวลา 8 โมงเช้าเพื่อรอขึ้น Seaplane


ทานอาหารเสร็จก็เดินไปรอที่ล๊อบบี้ได้เลย ส่วนกระเป๋าเดินทางใหญ่วางไว้ที่หน้าห้อง จะมีจนท.มาเก็บแล้วนำมาที่ล๊อบบี้ให้เรา

ลงเรือแล้วก็รอนิดหนึ่ง สักครู่เสียงเครื่องบินน้ำก็ดังมาด้านหลังของ Deluxe Family Villa จะเป็นลำนี้หรือเปล่านะ ?


ใช่แล้วหล่ะ ลำนี้จริงๆด้วย วนลดระดับแล้วลงจอดที่โป๊ะของรีสอร์ท


ค่อยๆเดินขึ้น Seaplane ทิ้ง Centara Grand ไว้เบื้องหลัง


รอบนี้ที่กลับจะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มฝรั่งอีกกลุ่มหนึ่ง รวมๆ กับเราแล้วประมาณ 11 คนได้


เครื่องไต่ระดับขึ้นเรื่องๆ ในที่สุด เราก็คงต้องบอกลา Centrara Grand Island Resort & Spa Maldives แห่งนี้ไปแล้ว เราอาจจะได้กลับมาเจอกันใหม่อีกก็เป็นได้ ใครจะไปรู้


ขากลับผมมานั่งฝั่งเดิมคือฝั่งซ้ายมือของเครื่องบินน้ำ ทำให้ได้ชมวิวอีกฝั่งหนึ่งไม่เหมือนกับตอนขามา


ภาพ Atoll ระหว่างทางกลับสนามบินมาเล่ ยังคงประทับใจเราอยู่เสมอ เกิดมาเพิ่งเคยได้เจอ แปลกตาและสวยจริงๆ


โอ้ว...โชคดีได้เจอรุ้งกินน้ำด้วย


Seapalne ใช้เวลาบินเพียง 30 นาทีก็พาเรามาถึงมาเล่แล้ว


ขาไปได้ขึ้น Seapalne สีแดง ขากลับได้ขึ้นสีเหลือง ถือว่าคุ้มจริงๆ ครับ


เรากลับไปยังสนามบินมาเล่ เช็คอินเสร็จก็รออีกเกือบ 3 ชม. เครื่องบินบางกอกแอร์เวย์จากไทยก็ลงมาจอดแล้ว ได้เวลากลับบ้านกันแล้วครับ


เครื่องบินใช้เวลาบิน 4 ชม.ด้วยกัน ในที่สุด เกือบ 1 ทุ่มเครื่องก็ลดระดับเตรียมลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นอันว่า ทริปมัลดีฟส์ สวรรค์บนโลกใบนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ด้วยระยะเวลา 4 วัน 3 คืน ขอบอกว่า เราทั้งสองประทับใจมากๆ ทำความฝันให้เป็นจริงกับคนคู่ใจได้แล้ว และเราจะสัญญาว่า เราจะจดจำทริปมัลดีฟส์นี้ตลอดไป ว่าครั้งหนึ่งเราได้มาเที่ยวที่สรวงสวรรค์บนโลกใบนี้ ดั่งประโยคที่ว่า  "Maldives...The Paradise on Earth"

สรุปค่าใช้จ่าย
1.ค่าตั๋วเครื่องบินบางกอกแอร์เวย์(โปรโมชั่น ฉลองครบ 45 ปี)ไป-กลับ กทม.-มาเล่-กทม. 12,705 บาท/คน รวม 25,410 บาท
2.ค่าแพ็คเกจที่พัก Deluxe Water Villa @Centara Grand Island Resort, Maldives แบบ All Inclusive รวม Seaplane(ไป-กลับ) จองผ่าน Agoda 94,552.84 บาท
3.ค่าของฝาก ของที่ระลึก 27 USD * 32 บาท/USD = 864 บาท
รวมทั้งหมด 120,826.84 บาท หรือ 60,413.42 บาท/คน



เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

1 ความคิดเห็น:

  1. วันนี้วันที่สามแล้ว เร็วมากๆ พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว อยากอยู่ต่อเสียจริงๆ อิอิ วันนี้ช่วงเช้าเราได้ไปชมเกาะที่มีชาวมัลดิเวียนพักอาศัยอยู่ มีหน่วยงานราชการ โรงเรียน ร้านค้า และได้ซื้อแม็กเนตเป็นของฝากจากที่นี่ด้วย อุดหนุนชาวบ้าน ยังคิดว่าไม่รู้จะแพงกว่าที่สนามบินรึเปล่า โชคดีที่ได้ราคาจะถูกกว่า แต่ก็ต้องต่อรองราคาสักหน่อย เพราะติดราคาขายไว้แพงเหมือนกัน และช่วงบ่ายๆ ไปทำสปาสบายๆ เสียดายที่ทำได้ครั้งเดียว เพราะมาจองช้า คิวเต็มเร็วมาก แล้วก็โชคดีมารู้ว่ามีโชว์ให้อาหารปลากระเบนช่วงเย็นประมาณ 6 โมง ที่ Coral Bar เราก็เลยไปดูกัน ตัวใหญ่มาก มีทั้งสีดำและสีขาว และก็มีฉลามด้วย แต่อยู่ๆ ก็มีฝนตก โชคดีตกไม่นาน หลังจากทานอาหารมื้อค่ำเสร็จ เราก็มานั่งดูดาวกันจนดึก เพราะเป็นคืนสุดท้าย พรุ่งนี้ทานอาหารเช้าเสร็จก็ต้องเตรียมตัวกลับแล้ว จบทริปนี้ด้วยความประทับใจ ที่มิอาจลืมเลือน ขอบคุณพี่อาร์ตมากๆ ค่ะ

    ตอบลบ