แม้ว่าจะมองอยู่ด้านหลังพระพุทธองค์ แต่ภาพที่ปรากฎข้างหน้าก็ทำให้จิตที่โลดเต้นนั้น สงบได้บ้างเหมือนกัน ช่างเป็นบรรยากาศและช่วงเวลาดีๆที่หาไม่ได้ง่ายๆเลยในโลกปัจจุบันนี้
ประวัติของบุโรพุทโธ
บุโรพุทโธถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร เป็นสถูปแบบมหายาน สันนิษฐานว่าสร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 7-9 หรือ พุทธศักราช 1393 ตั้งอยู่ทางภาคกลางของเกาะชวา บนที่ราบเกฑุ ทางฝั่งขวาใกล้กับแม่น้ำโปรโก ห่างจากยอกยาการ์ตา ทางตะวันตกเฉียงเหนือ 40 กิโลเมตร บุโรพุทโธสร้างด้วยหินภูเขาไฟประมาณ 2 ล้านตารางฟุตบนฐานสี่เหลี่ยม กว้งด้านละ 121 เมตร สูง 403 ฟุต เป็นรูปทรงแบบปิรามิด มีลานเป็นชั้งลดหลั่นกัน 8 ชั้น และใน 8 ชั้นนั้น 5 ชั้นล่างเป็นลาน 4 เหลี่ยม 3 ชั้นบนเป็นลานวงกลม และบนลานกลมชั้งสูงสุดมีพระสถูปตั้งสูงขึ้นไปอีก 31.5 เมตร เป็นมหาสถูปที่ระเบียงซ้อนกันเป็นชั้นๆลดหลั่นกันไป
=====
ข้อมูล http://th.wikipedia.org/
เชื่อกันว่าแผนผังของบุโรพุทโธคงหมายถึง “จักรวาล” และอำนาจของ “พระอาทิพุทธเจ้า” ได้แก่พระพุทธเจ้าผู้ทรงสร้างโลกในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซึ่งแสดงโดยสถูปที่บนยอดสุดก็ได้แผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งจักรวาลนี้แบ่งออกเป็น ๓ ตอน คือชั้นบนสุดได้แก่ “อรุปธาตุ” ชั้นรองลงมาคือ “รูปธาตุ” และชั้นต่ำสุดคือ “กามธาตุ”
ทั้งเมฆและหมอกที่กำลังก่อตัว เคลื่อนไหวไปช้าๆ
เราเดินวนไปมาหลายรอบ แล้วก็กลับมาเก็บภาพมุมที่เห็นภูเขาไฟเมอราปิอีกแล้ว สวยงามไม่มีที่ติเลยจริงๆ ครับ
สายหมอกเองยังคงปกคลุมบริเวณรอบๆบุโรพุทโธอยู่ตลอด ทำให้อากาศยังคงเย็นอยู่แม้ว่าแสงอาทิตย์จะเริ่มสาดส่องมาทุกทีแล้ว
สำหรับ “กามธาตุธรรมกาย” ที่ตรงกับ “อรูปธาตุ” นั้นไม่มีภาพสลักตกแต่งแต่ก็มี “เจดีย์ทึบ” ล้อมรอบไว้โดยเจดีย์ทึบเจาะเป็นรูโปร่งสามแถวและมี “พระพุทธรูปนั่งปางปฐมเทศนา” อยู่ภายใน (ยังถกเถียงกันคือ บางท่านก็ว่าเป็น “พระธยานิพุทธไวโรจนะ” แต่บางท่านก็ว่าเป็น “พระโพธิสัตว์วัชรสัตว์” ประจำองค์พระอาทิพุทธเจ้า)
นับได้ว่าเป็นบุญของเราจริงๆที่ได้มาเยือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ๆเราได้สร้างขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ดินแดนที่เกือบจะไม่มีชาวพุทธอาศัยอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะมุมไหน พระองค์ท่านก็เด่นสง่าน่าเลื่อมใสไปทุกๆมุมมองไป
ทานบักโสเสร็จด้วยความที่ขี้เกียจเดินกลับที่พักแล้ว เพราะใช้เวลาพอควร เลยจ้างรถสามล้อถีบมาส่งจากสามแยกบุโรพุทโธ เรื่องราคาคุยกับคุณลุงแกไม่รู้เรื่องอีก เพราะได้แต่ยิ้ม เลยหยิบธนบัตรอินโดฯขึ้นมา 2,000 Rp. แกก็ยิ้มอีก เป็นอันว่ายอมรับด้วยราคานี้ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
กลับมาถึงโรงแรมที่พักก็จัดแจงอาบน้ำและเก็บของเพื่อเดินทางต่อไปยังสถานีรถโดยสารระหว่างเมืองเพื่อจะกลับไปเมืองยอกยาการ์ตาอีกครั้ง
ลายศิลปะสวยๆงามๆตามฉบับของอินโดฯที่ตกแต่งบริเวณระเบียงของชั้นสองห้องพัก
พอเก็บของเสร็จก็เดินออกมาที่เคาน์เตอร์เพื่อเช็คเอาท์ ผมลืมว่ามีข้าวให้ทานหรือไม่ เลยถามไป ปรากฎว่าไม่มี งั้นไม่เป็นไร เราจ่ายเงินและเดินออกไปที่หน้าโรงแรมซึ่งก็เจอกับรถม้าจอดรอคนอยู่พอดี
เมื่อลงรถที่สถานีรถโดยสารยอกยา เราก็เดินถามคนแถวนั้นว่าไปสถานีรถไฟ Tugu ไปคันไหน แม้ว่าคนที่มาคอยถามเราว่าไปแท็กซี่หรือเปล่า ก็ยังตอบเราอย่างดีว่าให้เดินไปทางโน้นและขึ้นรถสาย 4 เดินมารอรถได้ไม่กี่นาทีรถก็มาอย่างรวดเร็ว เอาหล่ะ...รถสาย 4 มาแล้ว รีบขึ้นกันไปเลยเพราะรถคันนี้ซิ่งมาก จอดแป๊บเดียวจริงๆ
ค่าตั๋วโดยสารขึ้นราคาอีกแล้ว จากที่ได้ข้อมูลมา ราคาตั๋วคนละ 2,000 Rp. แต่เราต้องจ่าย 2,300 Rp. เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่วายที่จะอธิบายว่าเพื่อนเราเคยจ่าย 2,000 Rp. สงสัยเพราะเป็นผลจากน้ำมันแพงก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ราคาค่าโดยสารแพงกว่าเดิมครั้งที่สองแล้วนะเนี่ย !?!?
เราลงรถใกล้ๆสถานีรถไฟ Tugu แล้วเดินต่ออีกหน่อย(ไกลเหมือนกันนะ) ถึงสถานีรถไฟจริงๆ 12.40 น. เนื่องจากมาถึงเร็วกว่ารถไฟขบวนที่เราจองไปถึง 1:30 ชั่วโมง เราเลยอยากไปเดินเล่นบริเวณรอบๆตัวเมืองยอกยาการ์ตานี้ เลยเข้าไปสอบถามว่ามีบริการฝากกระเป๋าหรือไม่ ปรากฏว่ามีแฮะ...ตู้ละ 10,000 Rp. หรือ 40 บาท ฝากได้ทั้ง 2 ใบเลย เราเลยฝากไว้และจ้างรถสามล้อถีบให้ไปส่งที่พลาซ่าที่ใดสักแห่งในเมืองนี้
พอทานจนอิมแปล้แล้วก็เดินออกมากันพร้อมกับโดนัทที่ซื้อมาทานบนรถไฟ 6 ชิ้น แต่ออกมาก็หารถสามล้อที่ให้จอดรอไม่เจอ เห็นบอกว่าจะจอดฝั่งตรงกันข้าม เดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เราเองก็ไม่อยากโกง หาจนทั่วเลย แต่ไม่เจอจริงๆ เลยกลายเป็นว่า เขามาส่งเราจากสถานีรถไฟแบบเหนื่อยฟรี ! ทำไงได้ ไม่รอเอง และก็เดินหาแล้วด้วยนะครับ แต่ถ้าไปเจอที่สถานีรถไฟก็จะให้ค่าจ้างแค่ 5,000 Rp. เพราะถือว่ามาส่งครึ่งนึง
หลังจากนั้นก็เดินซื้อชุดแบบอินโดฯของผู้หญิงสักหนึ่งตัวกลับไทย แล้วเดินต่อไปที่สถานีรถไฟซึ่งไม่ต้องจ้างรถสามล้อถีบแต่อย่างใดเพราะเดินได้ ไปถึงสถานีก็ไม่เจอคนถีบสามล้อ เป็นอันว่าได้นั่งสามล้อถีบฟรีจริงๆ ต่อจากนั้นก็ไปเอาของที่ฝากไว้ ปรากฎว่าคิดราคาแค่ 5,000 Rp. เท่านั้นเอง ถูกไปอีกครึ่ง !
เสร็จแล้วจึงนั่งรอรถไฟ แต่ก่อนจะนั่งรอก็ไปถามนายสถานีให้แน่ใจว่ารถสายที่เราจะขึ้นนั้นออกชานชะลาไหน และมาหรือยัง ตอนแรกคนที่เราถามบอกออกรางที่ 2 แต่ไปๆมาๆ ไปถามเจ้าหน้าที่อีกคนที่กำลังนั่งรอแถวๆนั้นอยู่ได้ความว่ารางที่ 3
ตั๋วที่จองมาจากเมื่อวานก็เป็นดังนี้
ขบวน ARGO_WILIS
ชั้น EKSECUTIF
โบกี้ที่ 4 ที่นั่ง 3A, 3B
จากสถานีตูกู ยอกยา ไปสถานีสุราบายากูเบง
ออกเวลา 14:22 น. ถึง 19:53 น.
อ้าว...นั่นไง มาแล้วหล่ะขบวนเรา แต่มาเลทไป 10 นาที
เป็นไงบ้าง ชั้นเอ็กเซ็กคลูทีฟ หรูหราไม่หยอกเลยนะครับ เบาะที่นั่งก็โอเค แถมปรับเอนได้พอควรเลย ข้างในแอร์เย็นฉ่ำ แต่พอขึ้นไปดันมีคนมานั่งที่เราครับ เป็นผู้ชาย เลยต้องเอาตั๋วไปสอบถามเด็กรถ ซึ่งสุดท้ายชายคนนั้นก็ลุกไปนั่งอีกที่หนึ่ง แต่พอสังเกตไปสังเกตมา ก็เลยทราบว่า "ขึ้นมามั่วครับ !" ไม่ได้ซื้อตั๋วมีที่นั่งกับเขา พอเวลานายตรวจมาตรวจก็จะทำหลบเข้าห้องน้ำตลอด และมีอยู่ด้วยกัน 2 คนด้วย สงสัยจะทำบ่อยและนายตรวจก็น่าจะเป็นใจให้ ไม่งั้นต้องสงสัยแล้วว่าย้ายที่นั่งบ่อยมากๆ
เอาหล่ะ....เรานั่งรอรถไฟออกอยู่นานแต่ก็ยังไม่ออกซะที มาสายแล้วยังออกช้าอีกซะด้วย ไปๆมาๆ โน่นเลยครับ ออกบ่ายสามสิบนาที เลทเกือบ 1 ชั่วโมง !
รถไฟเริ่มแล่นไปเรื่อยๆ ซึ่งก็คล้ายๆกับบ้านเราหล่ะ ไม่เร็วมากจนเกินไปแต่ก็ไม่ช้านะครับ สักพักก็จะมีคนเข็นรถเข็นและหยิบอาหารถาดยื่นมาให้เรา เรางงบอกว่าไม่ได้สั่ง เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกว่า "ฟรี" ซึ่งก็คงเป็นบริการที่รวมไปแล้วในราคาตั๋วชั้นนี้นะครับ
อาหารที่ให้มาคือ ข้าวกับไก่ทอดกับพริก และผัดอะไรถ้วยเล็กๆกับไข่เจียวขนาดย่อมๆ กับผลไม้ที่เป็นส้ม 1 ผล ผมทานแค่ไก่และส้มแค่นั้น เพราะจริงๆแล้วมันไม่อร่อยเลย ไก่ก็เย็นแห้งๆไม่ร้อนสงสัยเก็บไว้นานหลายชั่วโมง ไม่ได้อุ่นก่อนเสร็จ อ้อ....ที่นั่งดี แต่พอได้ถาดข้าวมาเลยรู้ว่า มันขาดอะไรไปบางอย่าง นั่นคือ ถาดที่วางอาหารสำหรับทานนั่นเอง ! ลืมทำไว้หรือเปล่า ? ทำให้เวลาทานอาหารลำบากมาก เพราะต้องวางบนตักเท่านั้น ไม่สะดวกเลย เจ้าหน้าที่การรถไฟอินโดฯเข้ามาอ่านก็นำไปปรับปรุงด้วยจะดีมากครับ อิอิ
รถแล่นไปได้ไม่นานเริ่มจะไม่มีอะไรทำแล้ว หนังสือก็ไม่ได้นำมาอ่านเวลาว่างๆซะด้วย เลยทำให้สิ่งที่สามารถทำได้อยู่อย่างเดียวคือนั่งหลับครับ ฉะนั้น เราทั้งคู่ก็หลับผลอยกันไป รถไฟจอดหรือแล่นไปที่ไหนบ้างเราไม่สนใจแล้ว จนแว่บๆว่าผู้โดยสารขึ้นกันมาเกือบเต็มทุกที่นั่งเลย
เกือบๆห้าโมงครึ่งก็ตื่นมา คราวนี้หิวอีกแล้วครับ เลยเรียกเจ้าโดนัทออกมาจัดการซะหน่อย โห....แต่ละรสอร่อยมากๆครับ ไม่ว่าจะเป็นช็อคโกแล็ต ชีส และอื่นๆ เสียอยู่รสเดียวที่ผมไม่ชอบก็คือ รสชาเขียวครับ ไม่อร่อย นอกนั้นอร่อยหมด ขอปรบมือให้
เวลาผ่านไป 5 ชั่วโมง เราก็มาถึงแล้วสถานีรถไฟ Surabaya Gubeng ในเมืองสุราบายากันแล้ว แปลกจัง ใน time table ของการรถไฟบอกว่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ชม. 47 นาที แต่เอาเข้าจริง ทั้งที่ออกสายกว่ากำหนดเดิม แต่ดันใช้เวลารวมในการเดินทางเร็วกว่าเดิมอีกแหน่ะ งั้นก็แสดงว่า เวลาที่กำหนดไว้นั่น เผื่อไว้เฉยๆ จริงๆถ้าเร่งเครื่องก็จะสามารถทำเวลาได้ดีกว่าที่บอกไว้ในกำหนดการ
มาถึงสถานีก็ประมาณ 2 ทุ่ม 10 นาที เดินออกไปก็จะเจอกับเหล่าแท็กซี่ที่เดินเข้ามาถามว่าจะไปไหน เนื่องจากดึกแล้ว ข้อมูลเรื่องรถโดยสารปกติไม่มีมาซะด้วย เลยเลือกใช้บริการแท็กซี่ละกัน ผมบอกว่าจะไปโรงแรม Grand Kalimas Hotel พวกนั้นก็มาช่วยๆกันดูและเสนอราคาผมมา คือ 50,000 Rp. ซึ่งผมเคยจำมาจากคนในเว็บท่องเที่ยวนี้แหล่ะว่าให้เลือกเปิดมิเตอร์ เพราะแท็กซี่ที่มีมิเตอร์มีเยอะ เราเลือกได้ ผมเลยบอกให้ใช้มิเตอร์ พวกนั้นคนหนึ่งเลยรีบๆพาเราไปที่รถและยังมาตบไหล่ผมและพูดในทำนองว่า "ใช้มิเตอร์หน่ะเหรอ ....เสร็จแน่ๆ อาจถึง 70,000 Rp. ด้วยซ้ำไป" ซึ่งผมก็ใจไม่ดีแล้ว เพราะเวลาขึ้นรถ มิเตอร์ช่วงแรกจะขยับน้อย แต่พอนานเข้าๆ มันขยับเยอะมาก จนผมต้องบอกกับคนขับว่า "ถ้ามิเตอร์เกิน 50,000 Rp. ผมจะจ่ายแค่ 50,000 Rp." หักคอซะงั้น 555 ทำไงได้ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเกิน 50,000 Rp. ไปแล้ว จนสุดท้ายไปถึงที่โรงแรมด้วยราคาประมาณ 63,XXX Rp. ผมเลยจ่ายไปแค่ 50,000 Rp. ซึ่งเจ้าโชเฟอร์หนุ่มนั้นงงมาก แต่ก็ต้องรับเงินไป เพราะเถียงกลับมาเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ อิอิ
แต่จริงๆแล้ว เรายังสามารถต่อราคาให้ถูกกว่า 50,000 Rp. ได้นะครับ 30,000 Rp. ผมว่ายังได้เลย เลยมาเตือนว่า เวลาขึ้นแท็กซี่อย่าใช้มิเตอร์ถ้าคุณไม่ทราบระยะทางหรือเส้นทางมาก่อนนะครับ ต่อแบบราคาเหมาไปเลย จะได้ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะออกมาเท่าไหร่ ด้วยราคาเหมาเราจะได้ทราบว่าเราจะเอาหรือไม่เอาก็จบเรื่องครับ
เราได้ห้อง 301 ชั้น 3 ห้องแรก ห้องนอนถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ครับ และก็มี Welcome Drink ด้วย เราเลือกน้ำส้มครับ จืดไปนิดแต่พอทานได้จนหมดแก้วครับ อิอิ
เก็บข้าวของเสร็จก็เดินลงมาหาอะไรทานกัน ถนนยามค่ำคืนของที่นี่ ชุมชนมุสลิมเมืองสุราบายา
เราเดินดูหลายๆร้านแล้วสรุปว่ามาทานร้านนี้กัน เป็นร้านขายสะเต๊ะกับอาหารทอดครับ มีทั้งสะเต๊ะแกะและสะเต๊ะไก่ เนื้อแกะทอดและไก่ทอด ก่อนสั่งก็สื่อสารกันนานอยู่พอควรเลย แต่พอผมไปชี้ที่รูปไก่แกก็เริ่มเข้าใจว่าเราจะทานไก่ เลยเรียกเราเข้าไปดูใกล้ๆว่าจะเอาไก่ที่กำลังหมักกระหรี่อยู่เพื่อจะทอดหรือเอาไก่สะเต๊ะ เราบอกไก่สะเต๊ะ ก็เป็นอันเข้าใจกันครับ
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/07/E6850414/E6850414.html
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น