วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ชวา อินโดนีเซีย..วังสุลต่าน-บุโรพุทโธ-ภูเขาไฟโบรโม่ ตอน 2 จิตใจสงบ รอรับอรุณสำหรับเช้าวันใหม่ ณ บุโรพุทโธ


วันที่สามของทริปบุโรพุทโธ-ภูเขาไฟโบรโม่ แต่ถ้าไม่นับวันเดินทางวันแรกที่มาถึงตอนดึกก็ถือเป็นวันที่สองเท่านั้นเอง วันนี้เราต้องตื่นเช้ามืดก่อนพระอาทิตย์จะสาดส่องแสงเพื่อเผื่อเวลาในการเดินจากที่พักมายังบุโรพุทโธ มหาสถูปอันยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีตามที่เราได้ลองเดินเล่นเมื่อวานค่ำ แต่ถึงกระนั้นเราก็ต้องตื่นก่อนประตูที่จะเปิดครึ่งชั่วโมงกันพลาด 

วันนี้อากาศยังคงหนาวเหมือนเมื่อตอนเย็นๆ ... แปลกจัง อินโดฯเองก็เป็นประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรกว่าเรา แต่กลับอากาศเย็นกว่าประเทศไทยซะอีก หรือว่าบริเวณรอบๆเต็มไปด้วยป่าเขาและต้นไม้กระมัง จึงทำให้อากาศไม่ร้อนแต่กลับเย็นอย่างกับเข้าหนาวซะอีก

แผนของวันนี้เราคงใช้เวลาช่วงเช้าขึ้นไปรับอรุณใหม่ที่บุโรพุทโธ และใช้เวลาอยู่บนนั้นจนกว่าจะเริ่มร้อนหรือเกือบๆแปดโมงเช้าค่อยลงกลับมาที่พักและเตรียมตัวเดินทางต่อเพื่อกลับไปยังตัวเมืองยอกยาการ์ตาและนั่งรถไฟไปเมืองสุราบายาทางเกาะชวาตะวันออก(East Java) ต่อไป แต่ถ้าพอมีเวลาก่อนที่รถไฟจะออก เราจะใช้เวลาเดินเล่นซื้อของที่ตัวเมืองแห่งนี้ซึ่งเขาว่าใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเมืองหลวงจาการ์ตาก่อน โปรแกรมในวันนี้คงไม่แน่นอะไรมาก แต่จะไปหนักตรงที่ใช้เวลาเดินทางนานเกือบทั้งวันโดยเฉพาะในรถไฟเพื่อไปเมืองสุราบายาซึ่งตั้งอยู่อีกแถบนึงของเกาะชวานั่นเอง


วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม 2551
เราตื่นเช้ามืด แล้วเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าบุโรพุทโธได้เกือบๆสิบนาทีก่อนประตูเปิดเวลาหกโมงเช้า มาถึงก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวจากกรุ๊ปทัวร์ทะยอยเดินเข้ามาต่อแถวเพื่อรอเข้าไปซื้อตั๋วภายในกันแล้ว เราเองยืนรออยู่ห่างๆสักพักพอได้เวลาประตูเปิดก็รีบต่อแถวเพื่อเข้าไปซื้อตั๋วต่อไป


ตั๋วเข้าชมบุโรพุทโธราคาคนละ 11 USD หรือถ้าเป็นเงินรูเปี๊ยห์อินโดฯก็ราคา 99,000 Rp. โดยที่อัตราแลกเปลี่ยนในวันนั้นคือ 1 USD = 9,000 Rp. พอซื้อตั๋วเสร็จก็เดินผ่านประตูซึ่งเราต้องเดินเข้าไปอีกไม่ไกลมากนัก โดยเราจะเห็นมหาสถูปบุโรพุทโธที่มียอดเจดีย์ทรงโอ่งคว่ำมาแต่ไกล


จากระดับพื้นเราต้องเดินขึ้นบันไดไปถึงจะเจอกับฐานของมหาสถูปนี้ ยิ่งใหญ่เพียงใด ดูกันเองครับ


จ๊ะเอ๋ขอเก็บภาพที่ด้านหน้าทางขึ้นบุโรพุทโธก่อน


แม้ว่าเราจะเข้ามาในตอนที่ประตูเปิดพอดี แต่ก็ยังไม่ทันนักท่องเที่ยวอีกหลายสิบคนที่รีบเดินมาจับจองมุมสวยด้านบนเพื่อจะได้ชมก่อนใครและเก็บภาพสำคัญๆไว้


ขึ้นมาถึงด้านบนของมหาสถูปแต่ยังไม่ถึงชั้นบนสุด แต่ก็ต้องใช้แรงอยู่มากโขทีเดียว ใครพาผู้สูงอายุมาก็ให้ท่านค่อยๆเดินนะครับ
สายหมอกยามเช้าแบบนี้เห็นแล้วสดชื่นดีจัง โดยเฉพาะกับพุทธสถานอันยิ่งใหญ่แบบนี้แล้ว ยิ่งพลอยจะทำให้ร่างกายสดชื่น จิตใจสงบ ตามไปด้วยเมื่อขึ้นมาถึงด้านบน


ช่วงนี้พระอาทิตย์คงขึ้นเร็ว เราเลยไม่สามารถเก็บแสงแรกของวัน ณ บุโรพุทโธ บนนี้ได้ แต่ไม่เป็นไร บรรยากาศแบบนี้เราก็ประทับใจมากๆแล้ว
แสงจากพระอาทิตย์ที่เริ่มทำมุมสูงขึ้นมาเรื่อยๆสาดส่องมาทางขวามือ สายเกินไปที่จะเก็บดวงอาทิตย์กลมๆ ณ ยามเช้าแบบนี้


เราจึงเริ่มด้วยการเดินหาวิวสวยๆ มาเจอะกับวิวตรงมุมนี้ ภูเขาไฟเมอราปิ(Merapi) พอดีเลย


แม้ว่าจะมองอยู่ด้านหลังพระพุทธองค์ แต่ภาพที่ปรากฎข้างหน้าก็ทำให้จิตที่โลดเต้นนั้น สงบได้บ้างเหมือนกัน ช่างเป็นบรรยากาศและช่วงเวลาดีๆที่หาไม่ได้ง่ายๆเลยในโลกปัจจุบันนี้


ประวัติของบุโรพุทโธ
บุโรพุทโธถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร เป็นสถูปแบบมหายาน สันนิษฐานว่าสร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 7-9 หรือ พุทธศักราช 1393 ตั้งอยู่ทางภาคกลางของเกาะชวา บนที่ราบเกฑุ ทางฝั่งขวาใกล้กับแม่น้ำโปรโก ห่างจากยอกยาการ์ตา ทางตะวันตกเฉียงเหนือ 40 กิโลเมตร บุโรพุทโธสร้างด้วยหินภูเขาไฟประมาณ 2 ล้านตารางฟุตบนฐานสี่เหลี่ยม กว้งด้านละ 121 เมตร สูง 403 ฟุต เป็นรูปทรงแบบปิรามิด มีลานเป็นชั้งลดหลั่นกัน 8 ชั้น และใน 8 ชั้นนั้น 5 ชั้นล่างเป็นลาน 4 เหลี่ยม 3 ชั้นบนเป็นลานวงกลม และบนลานกลมชั้งสูงสุดมีพระสถูปตั้งสูงขึ้นไปอีก 31.5 เมตร เป็นมหาสถูปที่ระเบียงซ้อนกันเป็นชั้นๆลดหลั่นกันไป

=====
ข้อมูล http://th.wikipedia.org/


เชื่อกันว่าแผนผังของบุโรพุทโธคงหมายถึง “จักรวาล” และอำนาจของ “พระอาทิพุทธเจ้า” ได้แก่พระพุทธเจ้าผู้ทรงสร้างโลกในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซึ่งแสดงโดยสถูปที่บนยอดสุดก็ได้แผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งจักรวาลนี้แบ่งออกเป็น ๓ ตอน คือชั้นบนสุดได้แก่ “อรุปธาตุ” ชั้นรองลงมาคือ “รูปธาตุ” และชั้นต่ำสุดคือ “กามธาตุ”



ทั้งเมฆและหมอกที่กำลังก่อตัว เคลื่อนไหวไปช้าๆ


เราเดินวนไปมาหลายรอบ แล้วก็กลับมาเก็บภาพมุมที่เห็นภูเขาไฟเมอราปิอีกแล้ว สวยงามไม่มีที่ติเลยจริงๆ ครับ


สายหมอกเองยังคงปกคลุมบริเวณรอบๆบุโรพุทโธอยู่ตลอด ทำให้อากาศยังคงเย็นอยู่แม้ว่าแสงอาทิตย์จะเริ่มสาดส่องมาทุกทีแล้ว


สำหรับ “กามธาตุธรรมกาย” ที่ตรงกับ “อรูปธาตุ” นั้นไม่มีภาพสลักตกแต่งแต่ก็มี “เจดีย์ทึบ” ล้อมรอบไว้โดยเจดีย์ทึบเจาะเป็นรูโปร่งสามแถวและมี “พระพุทธรูปนั่งปางปฐมเทศนา” อยู่ภายใน (ยังถกเถียงกันคือ บางท่านก็ว่าเป็น “พระธยานิพุทธไวโรจนะ” แต่บางท่านก็ว่าเป็น “พระโพธิสัตว์วัชรสัตว์” ประจำองค์พระอาทิพุทธเจ้า)


เราสามารถมองผ่านเข้าไปยังองค์พระพุทธรูปที่อยู่ด้านใน หลายคนเชื่อกันว่า ถ้าเอื้อมมือเข้าไปสัมผัสพระพุทธรูปด้านในแล้ว จะยิ่งเป็นมงคลแก่คนที่ได้สัมผัส ซึ่งเราก็ทำแบบนั้นเช่นกัน


พระเจดีย์องค์ใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุดของ “บุโรพุทโธ” ก็คือสัญลักษณ์แทนองค์ “พระอาทิพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้า “สูงสุด” ในคติพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ส่วน “สถูปเจดีย์” ที่มีรูปทรงโอ่งคว่ำเป็นแบบทึบนั้นก็คือสัญลักษณ์ของ “อรูปธาตุ” (ไม่ปรากฏร่างกาย) และเป็นเพียงสัญลักษณ์พระสถูปเจดีย์ดังกล่าวอันเป็นพลังสากลทั่วไปที่แผ่ไปทั่ว “วสกลจักรวาล” ซึ่งก็คือพุทธานุภาพพุทธบารมีแห่งองค์ “พระอาทิพุทธเจ้า” (อาทิหมายถึงต้นกำเนิดของสรรพสิ่งบนโลก)


นับได้ว่าเป็นบุญของเราจริงๆที่ได้มาเยือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ๆเราได้สร้างขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ดินแดนที่เกือบจะไม่มีชาวพุทธอาศัยอยู่แล้ว


ไม่ว่าจะมุมไหน พระองค์ท่านก็เด่นสง่าน่าเลื่อมใสไปทุกๆมุมมองไป


สงบนิ่ง.....ทำจิตใจให้ผ่องใส........


คนเริ่มทยอยเดินขึ้นมากันแล้ว มองได้จากแว่นตาคู่นี้


เราเลยต้องเดินลงไปเพื่อเก็บผลงานแกะสลักชนิดนูนต่ำของฐานแต่ละชั้น แต่ละชั้นโดยรอบจะมีซุ้มโดยมีกาลอยู่หน้าซุ้ม และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน


สัตว์ประหลาดนี้ที่มีชื่อว่า "มกร" หรือไม่ เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญซะด้วยสิ


รอบๆฐานจะมีหินแกะสลักลักษณะนูนต่ำซึ่งบอกเล่าเรื่องราวชาดกหรือพุทธประวัติ


นี่ก็ด้วย


แสงเริ่มแยงตาเข้ามาทุกที ประมาณแปดโมงเราจึงลงมาจากบุโรพุทโธ


พอเดินออกมาจึงเริ่มหิว เพราะยังไม่ได้ทานอะไรมาเลย จึงเดินหาร้านก๋วยเตี๋ยวที่กะจะมาทานในวันนี้ที่ฝั่งตรงข้ามบุโรพุทโธใกล้ๆนี้เอง เป็น Bakso เส้นบะหมี่เหลืองเหนียวๆกับลูกชิ้นเนื้อพร้อมเต้าหู้กรอบๆ อร่อยดี แต่เวลาเก็บเงิน หาคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เลยใช้แบ็งค์บอกราคากัน ตกชามละ 6,000 Rp. แพงไปนิด สงสัยเห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยว


ทานบักโสเสร็จด้วยความที่ขี้เกียจเดินกลับที่พักแล้ว เพราะใช้เวลาพอควร เลยจ้างรถสามล้อถีบมาส่งจากสามแยกบุโรพุทโธ เรื่องราคาคุยกับคุณลุงแกไม่รู้เรื่องอีก เพราะได้แต่ยิ้ม เลยหยิบธนบัตรอินโดฯขึ้นมา 2,000 Rp. แกก็ยิ้มอีก เป็นอันว่ายอมรับด้วยราคานี้ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด


กลับมาถึงโรงแรมที่พักก็จัดแจงอาบน้ำและเก็บของเพื่อเดินทางต่อไปยังสถานีรถโดยสารระหว่างเมืองเพื่อจะกลับไปเมืองยอกยาการ์ตาอีกครั้ง

ลายศิลปะสวยๆงามๆตามฉบับของอินโดฯที่ตกแต่งบริเวณระเบียงของชั้นสองห้องพัก


บริเวณตรงกลางห้องพักจัดเป็นสวนดอกไม้ร่มรื่นจริงๆ ดูดอกบัวนี้สิ เบ่งบานตอบรับกับเช้าวันใหม่ได้เป็นอย่างดี หรือจะดูอีกมุมหนึ่งว่าเป็นบัวที่พ้นจากน้ำแล้ว เราๆต้องทำตัวให้เป็นแบบบัวพ้นน้ำ เข้าใจอะไรที่ง่าย สอนอะไรก็เอาไปคิดและตรึกตรอง อย่าทำตัวเป็นบัวใต้น้ำใต้โคลนตรมเชียว รอวันแต่ให้เต่ากัดกินเป็นอาหาร .....เอ่อ...เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้วเรา


พอเก็บของเสร็จก็เดินออกมาที่เคาน์เตอร์เพื่อเช็คเอาท์ ผมลืมว่ามีข้าวให้ทานหรือไม่ เลยถามไป ปรากฎว่าไม่มี งั้นไม่เป็นไร เราจ่ายเงินและเดินออกไปที่หน้าโรงแรมซึ่งก็เจอกับรถม้าจอดรอคนอยู่พอดี


ผมเลยถามไปว่า "ไปสถานีรถโดยสารเพื่อจะไปเมืองยอกยา ราคาเท่าไหร่ ?" เขาคิดราคามา 30,000 Rp. เพื่อไม่ให้เสียเวลาและข้อมูลที่เรามีอยู่นั้นมันราคา 50,000 Rp. เราเลยตอบตกลงไปโดยไม่ต่อสักคำ แต่พอไปถึงแล้วก็เลยรู้ว่าไม่ไกลมากนัก 15,000 - 20,000 Rp. ก็น่าจะโอเคแล้ว แต่ได้นั่งรถม้าครั้งนี้ก็สนุกไปอีกแบบนะ แปลกดีไม่เคยนั่งแบบนี้มาก่อน

จากสถานีรถโดยสารใกล้ๆบุโรพุทโธไปถึงสถานีรถโดยสารที่เมืองยอกยาการ์ตาใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง เนื่องจากไปถึงยอกยาแล้ววิ่งอ้อมส่งคนเลยนานหน่อย ราคาค่าโดยสารที่ต้องจ่ายจริงคือคนละ 15,000 Rp. ซึ่งข้อมูลที่เรามีคือคนละ 10,000 Rp. ต่อรองยังไงก็ไม่ลดราคาให้ บอกว่าเพื่อนเคยเสีย 10,000 Rp. ก็ไม่ยอดลด บอกท่าเดียวว่าไกล เราเลยต้องจ่ายไปตามนั้น เป็นครั้งแรกที่ราคาค่าโดยสารแพงกว่าที่หาข้อมูลมา


เมื่อลงรถที่สถานีรถโดยสารยอกยา เราก็เดินถามคนแถวนั้นว่าไปสถานีรถไฟ Tugu ไปคันไหน แม้ว่าคนที่มาคอยถามเราว่าไปแท็กซี่หรือเปล่า ก็ยังตอบเราอย่างดีว่าให้เดินไปทางโน้นและขึ้นรถสาย 4 เดินมารอรถได้ไม่กี่นาทีรถก็มาอย่างรวดเร็ว เอาหล่ะ...รถสาย 4 มาแล้ว รีบขึ้นกันไปเลยเพราะรถคันนี้ซิ่งมาก จอดแป๊บเดียวจริงๆ

รถโดยสารสาย 4 ใช้เวลาเดินทางไปถึงจุดที่ใกล้สถานีรถไฟเกือบๆ 45 นาทีทีเดียว แม้ว่าดูจากแผนที่จะไม่ห่างกันมากก็ตาม แต่เพราะจอดรับส่งคนและวิ่งอ้อม แต่ไม่เป็นไร เรามีเวลาอยู่ ไม่รีบๆ

ค่าตั๋วโดยสารขึ้นราคาอีกแล้ว จากที่ได้ข้อมูลมา ราคาตั๋วคนละ 2,000 Rp. แต่เราต้องจ่าย 2,300 Rp. เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่วายที่จะอธิบายว่าเพื่อนเราเคยจ่าย 2,000 Rp. สงสัยเพราะเป็นผลจากน้ำมันแพงก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ราคาค่าโดยสารแพงกว่าเดิมครั้งที่สองแล้วนะเนี่ย !?!?


เราลงรถใกล้ๆสถานีรถไฟ Tugu แล้วเดินต่ออีกหน่อย(ไกลเหมือนกันนะ) ถึงสถานีรถไฟจริงๆ 12.40 น. เนื่องจากมาถึงเร็วกว่ารถไฟขบวนที่เราจองไปถึง 1:30 ชั่วโมง เราเลยอยากไปเดินเล่นบริเวณรอบๆตัวเมืองยอกยาการ์ตานี้ เลยเข้าไปสอบถามว่ามีบริการฝากกระเป๋าหรือไม่ ปรากฏว่ามีแฮะ...ตู้ละ 10,000 Rp. หรือ 40 บาท ฝากได้ทั้ง 2 ใบเลย เราเลยฝากไว้และจ้างรถสามล้อถีบให้ไปส่งที่พลาซ่าที่ใดสักแห่งในเมืองนี้


MAL MALIOBORO คือห้างที่อยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟและอยู่กลางเมืองยอกยาแห่งนี้ ซึ่งจะเดินก็ได้แต่เราไม่รู้จักนั่นเอง เราเห็นเลยบอกให้สามล้อถีบจอดรอเราสัก 30 นาทีแล้วเราจะออกมา ที่ให้รอเพราะสามล้อคิดราคาเหมาจะถีบรถให้เราชมเมืองเล่นประมาณ 1 ชม. ราคา 10,000 Rp. แต่เราเห็นว่าไปนั่งหาอะไรทานในห้างเย็นๆดีกว่า แล้วค่อยกลับออกมาและกะจะให้ไปส่งที่สถานีรถไฟเลย


เข้าไปในห้างก็รับรู้ถึงอากาศเย็นๆ ไม่ร้อนอีกแล้ว มีอะไรให้ทานเยอะแยะเลย(ก็มันห้างสรรพสินค้านี่หน่า) เราเลยตรงดิ่งไปที่ร้าน MC Donald และสั่งไก่และชีสเบอร์เกอร์มาทาน ราคาก็พอๆกับบ้านเรา ไก่รสชาติไม่เหมือนของไทยเราเท่าไหร่ สงสัยถูกปากคนมุสลิมเขา เลยไม่ถูกปากชาวพุทธอย่างเรา เสร็จแล้วก็ย้ายร้านมาที่ร้านนี้ครับ ร้าน J. CO ซึ่งเป็นร้านที่ขายกาแฟสดและโดนัท อยากบอกว่าคนอินโดฯเข้าแถวเพื่อเลือกซื้อโดนัทกันเยอะมาก เราก็ด้วย เราสั่งกาแฟกันมาทานซึ่งเขาก็แถมโดนัทให้แก้วละชิ้น(ดังที่เห็นมันแหว่งๆอยู่) และซื้อโดนัทอีก 6 ชิ้น ราคาไม่ถึง 120 บาทซึ่งคนข้างๆเขาบอกว่าไม่แพง พอได้กัดโดนัทเท่านั้น โอ้โห....นุ่มและอร่อยมากๆครับ ขนาดผมไม่ค่อยได้ทานพวกนี้ยังติดใจเลย เดี๋ยวมีรูปให้ดูตอนขึ้นรถไฟนะครับ


พอทานจนอิมแปล้แล้วก็เดินออกมากันพร้อมกับโดนัทที่ซื้อมาทานบนรถไฟ 6 ชิ้น แต่ออกมาก็หารถสามล้อที่ให้จอดรอไม่เจอ เห็นบอกว่าจะจอดฝั่งตรงกันข้าม เดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เราเองก็ไม่อยากโกง หาจนทั่วเลย แต่ไม่เจอจริงๆ เลยกลายเป็นว่า เขามาส่งเราจากสถานีรถไฟแบบเหนื่อยฟรี ! ทำไงได้ ไม่รอเอง และก็เดินหาแล้วด้วยนะครับ แต่ถ้าไปเจอที่สถานีรถไฟก็จะให้ค่าจ้างแค่ 5,000 Rp. เพราะถือว่ามาส่งครึ่งนึง


หลังจากนั้นก็เดินซื้อชุดแบบอินโดฯของผู้หญิงสักหนึ่งตัวกลับไทย แล้วเดินต่อไปที่สถานีรถไฟซึ่งไม่ต้องจ้างรถสามล้อถีบแต่อย่างใดเพราะเดินได้ ไปถึงสถานีก็ไม่เจอคนถีบสามล้อ เป็นอันว่าได้นั่งสามล้อถีบฟรีจริงๆ ต่อจากนั้นก็ไปเอาของที่ฝากไว้ ปรากฎว่าคิดราคาแค่ 5,000 Rp. เท่านั้นเอง ถูกไปอีกครึ่ง !

เสร็จแล้วจึงนั่งรอรถไฟ แต่ก่อนจะนั่งรอก็ไปถามนายสถานีให้แน่ใจว่ารถสายที่เราจะขึ้นนั้นออกชานชะลาไหน และมาหรือยัง ตอนแรกคนที่เราถามบอกออกรางที่ 2 แต่ไปๆมาๆ ไปถามเจ้าหน้าที่อีกคนที่กำลังนั่งรอแถวๆนั้นอยู่ได้ความว่ารางที่ 3


ตั๋วที่จองมาจากเมื่อวานก็เป็นดังนี้
ขบวน ARGO_WILIS
ชั้น EKSECUTIF
โบกี้ที่ 4 ที่นั่ง 3A, 3B
จากสถานีตูกู ยอกยา ไปสถานีสุราบายากูเบง
ออกเวลา 14:22 น. ถึง 19:53 น.



อ้าว...นั่นไง มาแล้วหล่ะขบวนเรา แต่มาเลทไป 10 นาที


เป็นไงบ้าง ชั้นเอ็กเซ็กคลูทีฟ หรูหราไม่หยอกเลยนะครับ เบาะที่นั่งก็โอเค แถมปรับเอนได้พอควรเลย ข้างในแอร์เย็นฉ่ำ แต่พอขึ้นไปดันมีคนมานั่งที่เราครับ เป็นผู้ชาย เลยต้องเอาตั๋วไปสอบถามเด็กรถ ซึ่งสุดท้ายชายคนนั้นก็ลุกไปนั่งอีกที่หนึ่ง แต่พอสังเกตไปสังเกตมา ก็เลยทราบว่า "ขึ้นมามั่วครับ !" ไม่ได้ซื้อตั๋วมีที่นั่งกับเขา พอเวลานายตรวจมาตรวจก็จะทำหลบเข้าห้องน้ำตลอด และมีอยู่ด้วยกัน 2 คนด้วย สงสัยจะทำบ่อยและนายตรวจก็น่าจะเป็นใจให้ ไม่งั้นต้องสงสัยแล้วว่าย้ายที่นั่งบ่อยมากๆ

เอาหล่ะ....เรานั่งรอรถไฟออกอยู่นานแต่ก็ยังไม่ออกซะที มาสายแล้วยังออกช้าอีกซะด้วย ไปๆมาๆ โน่นเลยครับ ออกบ่ายสามสิบนาที เลทเกือบ 1 ชั่วโมง !


รถไฟเริ่มแล่นไปเรื่อยๆ ซึ่งก็คล้ายๆกับบ้านเราหล่ะ ไม่เร็วมากจนเกินไปแต่ก็ไม่ช้านะครับ สักพักก็จะมีคนเข็นรถเข็นและหยิบอาหารถาดยื่นมาให้เรา เรางงบอกว่าไม่ได้สั่ง เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกว่า "ฟรี" ซึ่งก็คงเป็นบริการที่รวมไปแล้วในราคาตั๋วชั้นนี้นะครับ

อาหารที่ให้มาคือ ข้าวกับไก่ทอดกับพริก และผัดอะไรถ้วยเล็กๆกับไข่เจียวขนาดย่อมๆ กับผลไม้ที่เป็นส้ม 1 ผล ผมทานแค่ไก่และส้มแค่นั้น เพราะจริงๆแล้วมันไม่อร่อยเลย ไก่ก็เย็นแห้งๆไม่ร้อนสงสัยเก็บไว้นานหลายชั่วโมง ไม่ได้อุ่นก่อนเสร็จ  อ้อ....ที่นั่งดี แต่พอได้ถาดข้าวมาเลยรู้ว่า มันขาดอะไรไปบางอย่าง นั่นคือ ถาดที่วางอาหารสำหรับทานนั่นเอง ! ลืมทำไว้หรือเปล่า ? ทำให้เวลาทานอาหารลำบากมาก เพราะต้องวางบนตักเท่านั้น ไม่สะดวกเลย เจ้าหน้าที่การรถไฟอินโดฯเข้ามาอ่านก็นำไปปรับปรุงด้วยจะดีมากครับ อิอิ


รถแล่นไปได้ไม่นานเริ่มจะไม่มีอะไรทำแล้ว หนังสือก็ไม่ได้นำมาอ่านเวลาว่างๆซะด้วย เลยทำให้สิ่งที่สามารถทำได้อยู่อย่างเดียวคือนั่งหลับครับ ฉะนั้น เราทั้งคู่ก็หลับผลอยกันไป รถไฟจอดหรือแล่นไปที่ไหนบ้างเราไม่สนใจแล้ว จนแว่บๆว่าผู้โดยสารขึ้นกันมาเกือบเต็มทุกที่นั่งเลย

เกือบๆห้าโมงครึ่งก็ตื่นมา คราวนี้หิวอีกแล้วครับ เลยเรียกเจ้าโดนัทออกมาจัดการซะหน่อย โห....แต่ละรสอร่อยมากๆครับ ไม่ว่าจะเป็นช็อคโกแล็ต ชีส และอื่นๆ เสียอยู่รสเดียวที่ผมไม่ชอบก็คือ รสชาเขียวครับ ไม่อร่อย นอกนั้นอร่อยหมด ขอปรบมือให้


เวลาผ่านไป 5 ชั่วโมง เราก็มาถึงแล้วสถานีรถไฟ Surabaya Gubeng ในเมืองสุราบายากันแล้ว แปลกจัง ใน time table ของการรถไฟบอกว่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ชม. 47 นาที แต่เอาเข้าจริง ทั้งที่ออกสายกว่ากำหนดเดิม แต่ดันใช้เวลารวมในการเดินทางเร็วกว่าเดิมอีกแหน่ะ งั้นก็แสดงว่า เวลาที่กำหนดไว้นั่น เผื่อไว้เฉยๆ จริงๆถ้าเร่งเครื่องก็จะสามารถทำเวลาได้ดีกว่าที่บอกไว้ในกำหนดการ

มาถึงสถานีก็ประมาณ 2 ทุ่ม 10 นาที เดินออกไปก็จะเจอกับเหล่าแท็กซี่ที่เดินเข้ามาถามว่าจะไปไหน เนื่องจากดึกแล้ว ข้อมูลเรื่องรถโดยสารปกติไม่มีมาซะด้วย เลยเลือกใช้บริการแท็กซี่ละกัน ผมบอกว่าจะไปโรงแรม Grand Kalimas Hotel พวกนั้นก็มาช่วยๆกันดูและเสนอราคาผมมา คือ 50,000 Rp. ซึ่งผมเคยจำมาจากคนในเว็บท่องเที่ยวนี้แหล่ะว่าให้เลือกเปิดมิเตอร์ เพราะแท็กซี่ที่มีมิเตอร์มีเยอะ เราเลือกได้ ผมเลยบอกให้ใช้มิเตอร์ พวกนั้นคนหนึ่งเลยรีบๆพาเราไปที่รถและยังมาตบไหล่ผมและพูดในทำนองว่า "ใช้มิเตอร์หน่ะเหรอ ....เสร็จแน่ๆ อาจถึง 70,000 Rp. ด้วยซ้ำไป" ซึ่งผมก็ใจไม่ดีแล้ว เพราะเวลาขึ้นรถ มิเตอร์ช่วงแรกจะขยับน้อย แต่พอนานเข้าๆ มันขยับเยอะมาก จนผมต้องบอกกับคนขับว่า "ถ้ามิเตอร์เกิน 50,000 Rp. ผมจะจ่ายแค่ 50,000 Rp." หักคอซะงั้น 555 ทำไงได้ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเกิน 50,000 Rp. ไปแล้ว จนสุดท้ายไปถึงที่โรงแรมด้วยราคาประมาณ 63,XXX Rp. ผมเลยจ่ายไปแค่ 50,000 Rp. ซึ่งเจ้าโชเฟอร์หนุ่มนั้นงงมาก แต่ก็ต้องรับเงินไป เพราะเถียงกลับมาเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ อิอิ

แต่จริงๆแล้ว เรายังสามารถต่อราคาให้ถูกกว่า 50,000 Rp. ได้นะครับ 30,000 Rp. ผมว่ายังได้เลย เลยมาเตือนว่า เวลาขึ้นแท็กซี่อย่าใช้มิเตอร์ถ้าคุณไม่ทราบระยะทางหรือเส้นทางมาก่อนนะครับ ต่อแบบราคาเหมาไปเลย จะได้ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะออกมาเท่าไหร่ ด้วยราคาเหมาเราจะได้ทราบว่าเราจะเอาหรือไม่เอาก็จบเรื่องครับ


มาถึงแล้ว Hotel Grand Kalimas อยู่ย่านดีซะด้วยสิ เป็นชุมชนคนมุสลิมครับ อาหารการกินพร้อมเลย จองมาทางเน็ทด้วยราคา 25 USD


เช็คอินเสร็จก็ขึ้นมาชั้นบน ตัวโรงแรมดูหรูๆนะครับ จัดแต่งได้ดีเลย


เราได้ห้อง 301 ชั้น 3 ห้องแรก ห้องนอนถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ครับ และก็มี Welcome Drink ด้วย เราเลือกน้ำส้มครับ จืดไปนิดแต่พอทานได้จนหมดแก้วครับ อิอิ


มีทีวีจอแบนติดผนังให้ดูด้วย ส่วนด้านหลังก็จะเป็นห้องน้ำครับ


เก็บข้าวของเสร็จก็เดินลงมาหาอะไรทานกัน ถนนยามค่ำคืนของที่นี่ ชุมชนมุสลิมเมืองสุราบายา


เราเดินดูหลายๆร้านแล้วสรุปว่ามาทานร้านนี้กัน เป็นร้านขายสะเต๊ะกับอาหารทอดครับ มีทั้งสะเต๊ะแกะและสะเต๊ะไก่ เนื้อแกะทอดและไก่ทอด ก่อนสั่งก็สื่อสารกันนานอยู่พอควรเลย แต่พอผมไปชี้ที่รูปไก่แกก็เริ่มเข้าใจว่าเราจะทานไก่ เลยเรียกเราเข้าไปดูใกล้ๆว่าจะเอาไก่ที่กำลังหมักกระหรี่อยู่เพื่อจะทอดหรือเอาไก่สะเต๊ะ เราบอกไก่สะเต๊ะ ก็เป็นอันเข้าใจกันครับ


นั่งรอทำอยู่สักพักไม่นานมากอาหารที่สั่งไปก็มา.....ไก่สะเต๊ะ น่าทานมั้ยครับ เขาเสริฟพร้อมข้าวเปล่าด้วย แต่เราบอกไม่เอา เอาแต่สะเต๊ะอย่างเดียว ราคาไม่ได้แพงอะไรแต่จำไม่ได้แล้ว

วันนี้หลังจากทานไก่สะเต๊ะเสร็จก็กลับที่พักเข้านอนเอาแรงเพื่อที่ว่าเช้าวันรุ่งขึ้นเราจะมีโปรแกรมไปไหว้หลวงพ่ออ้วน หรือ Joko Dolok พระพุทธรูปศํกดิ์สิทธิ์ของชาวเมืองสุราบายากันก่อนจะเดินทางด้วยรถบัสต่อไปที่เมืองโปรโบลิงโก และนั่งรถตู้ขึ้นเขาไปดูสิ่งมหัศจรรย์อีกหนึ่งสิ่งในประเทศอินโดนีเซียคือ  ภูเขาไฟโบรโม่นั่นเอง  วันนี้ลาไปก่อนสวัสดีครับ

Published on http://www.pantip.com on [ 31 ก.ค. 51 23:56:07 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/07/E6850414/E6850414.html


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น