วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ชวา อินโดนีเซีย..วังสุลต่าน-บุโรพุทโธ-ภูเขาไฟโบรโม่ ตอน 1 การเดินทางที่สุดแสนจะอ่อนล้า แต่ทว่าไม่ย่อถอย มุ่งสู่พุทธสถานอันยิ่งใหญ่ "บุโรพุทโธ"


ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อนช่วงเดือนเดียวกันนี้คือเดือนกรกฎาคม 2549 ผมได้จองตั๋วแอร์เอเชีย โปร 0 บาทที่ออกมาในปลายปี 2548 เพื่อฉลองการครบรอบอะไรบางอย่าง หนึ่งในนั้นของผู้คนที่ได้จองตั๋วโปรสำเร็จก็เป็นผมและหนึ่งใน 3 ทริปต่างประเทศจากการจองตั๋วของแอร์เอเชียครั้งนั้นก็คือ ทริปไปเมืองโซโล เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซียนั่นเอง ตั้งใจไว้จะไปชมมหาสถูปที่ยิ่งใหญ่ งดงามของโลกแต่อยู่ในดินแดนของชาวมุสลิมในปัจจุบัน ที่มีชื่อว่า "บุโรพุทโธ"

ครั้งนั้นผมได้จองโดยมีช่วงระยะเวลาเดินทางหลังแผ่นดินที่อินโดนีเซียไหวไม่กี่สัปดาห์ แต่จริงๆแล้วช่วงดังกล่าวมีเรื่องมากมายเลยจำเป็นต้องทิ้งตั๋วโปร 0 บาทดังกล่าวไปฟรีๆ พร้อมๆกับตั๋วในเส้นทางอื่นอีก 2 เส้นทางสำคัญ ดังนั้น การกลับมาทวงสัญญาของตัวเองว่าเราเป็นพุทธศาสนิกชน ยังไงๆต้องเดินทางมาที่นี่ให้จงได้ จึงได้เริ่มขึ้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอีกครั้งจากการจองตั๋วช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง

ครั้งนี้การได้มาเยือนอินโดนีเซียอีกครั้ง หลังจากที่เคยมาแล้วที่บาหลีจึงไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นสิ่งที่ตั้งใจจะให้เกิดขึ้นด้วยความศรัทธาของชาวพุทธคนหนึ่ง ณ ดินแดนที่สะสมอารยธรรมมาแต่ก่อน, เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย



วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม 2551
กำหนดการเดินทางของเรานั้นเป็นค่ำวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม 2551 ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ใครๆก็บินได้ ด้วยเที่ยวบิน AK885 operated by AirAsia(Malay) เวลาออกตามกำหนดการคือ 20:20 น. ซึ่งเราต้องกระหืดกระหอบมาที่สนามบินสุวรรณภูมิให้ทันก่อนถึง 2 ชั่วโมง

พอเช็คอินเสร็จก็เดินเข้าไปด้านในเตรียมตัวที่จะออกเดินทาง เที่ยวบินนี้ดีเลย์ไปไม่มาก ไม่ถึงชั่วโมงซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหากับเราอยู่แล้ว เพราะคืนนี้เราจะนอนที่สนามบิน LCCT(Low Cost Carier Terminal), KLIA กัวลาลัมเปอร์กัน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวบินต่อในไฟล์ทเช้าสุดเพื่อไปเมืองโซโล ประเทศอินโดนีเซีย ต่อไปในวันรุ่งขึ้น

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึง LCCT ณ ตอนนี้เวลาท้องถิ่นเกือบๆเที่ยงคืนแล้ว สนามบินฝั่งขาออกต่างประเทศก็เงียบเหงาอย่างที่เห็น แล้วเราจะเดินไปนั่งๆนอนๆที่ไหนดีหล่ะ ? ลองมองหาที่นั่งว่างๆกันดูหน่อยซิ


มาถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซียในส่วนของ Low Cost หรือเรียกว่า LCC Terminal ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลย มาครั้งล่าสุดเมื่อกค.48 ตอนไปบาหลีซึ่งครั้งนั้นยังใช้สนามบิน KLIA อยู่ ลงมาแตะพื้นรู้สึกถึงความโลว์เกรดของสนามบินเข้ามาทันที เสียดายที่ทางมาเลย์เขาแยกระหว่าง Low Cost กับสายการบินปกติออกจากกันโดยให้ลงคนละเทอร์มินอล เราเลยไม่ได้ชมความหรูหราของ KLIA อีกต่อไป....

พอรับสัมภาระจากสายพานเสร็จก็เดินออกมาเพื่อเดินต่อไปเรื่อยๆเพื่อหาที่ว่างพอที่จะนั่งๆนอนๆได้ ไปๆมาๆเดินมายาวถึง Food Garden ซึ่งเงียบเชียว แต่ยังมีร้านอาหารเปิดขายอยู่ ก็ไม่ขายได้อย่างไรเพราะเขาแจ้งว่าเปิดตลอด 24 ชม. เราเลยลองหาที่นั่งและเดินหาอะไรรองท้องกันที่นี่เลย


อาหารที่นี่ถ้าจะเปรียบเทียบกับร้านที่ขายในอาคารผู้โดยสารขาออก เช่น Mc Donald ก็จะเห็นว่าถูกกว่ากันมากๆเลยครับ มิน่า เราจะเห็นพนักงานแอร์เอเซียที่ทำงานด้านล่างสลับกันมาทานที่นี่กันตลอดเลย

เราสั่งอาหารที่ตอนนี้จำชื่อแบบมาเลย์ไม่ได้แล้ว แต่จริงๆแล้วก็น่าจะเป็นแกงมัสหมั่นไก่ และแกงกระหรี่ไก่ที่ออกสีแดงๆจานด้านหลังโน้น ราคาจาน 4 RM หรือประมาณ 40 บาทซึ่งก็ถือว่าถูกมากๆครับ อร่อยใช้ได้เลย


หลังจากอาหารก็ตามมาด้วยของหวานมั่ง ซึ่งเป็นพายบลูเบอรี่ซึ่งราคาไม่แพงอีกเช่นกัน มื้อนี้คร่าวๆจะหมดไปประมาณ 15 RM


พออิ่มท้องเสร็จก็เริ่มเดินหาที่ที่พอจะนั่งได้และนอนไปด้วยได้ แต่ภายในอาคารทั้งต่างประเทศและภายในประเทศก็เจอจับจองด้วยผู้โดยสารเต็มไปหมดเลย เอาหล่ะสิ....ไปนั่งหรือนอนที่ไหนดีน้า  ไปๆมาๆ เลยกลับมานอนฟุบคาโต๊ะก็ที่ Food Garden นี้หล่ะครับ โล่งและไม่จอแจด้วย แต่ขอบอกว่าผมหน่ะ ชาแขนไปหมดเลย ก็เล่นนั่งหลับเอามือทั้งสองฟุบอยู่ที่โต๊ะแล้วศีรษะทับแขนอีกที ไม่ให้ชาได้ไง หยอกเย้า

และแล้ว...ราตรีอันไม่ยาวนานสักเท่าไหร่ก็ค่อยๆผ่านไป เสียงมือถือที่ตั้งปลุกไว้ดังขึ้น เมื่อเกือบตี 5 เป็นสัญญาณว่าเราต้องลุกเพื่อไปเช็คอินกันได้แล้ว เนื่องจากไฟล์ทที่จะบินไปโซโลนั้นออก 6:55 น. เราต้องเสียเงินค่าโหลดกระเป๋าอีกต่างหากคนละ 5 RM รวมแล้ว 2 ใบ 10 RM ซึ่งถ้าตอนจองเราแจ้งว่าจะโหลดก็จะเสียถูกกว่านี้คือประมาณ 3 RM ต่อใบ โดยที่สุวรรณภูมิก็เช่นกัน เราเสียคนละ 50 บาท/กระเป๋าหนึ่งใบ

พอผ่านตม.ของมาเลย์มาเสร็จก็เตรียมรอที่ประตู T7 โชคไม่ดีเท่าไหร่ ฝนดันตกมาก่อนหน้านี้เกือบๆครึ่งชั่วโมงแล้ว และยังไม่หายตก สงสัยต้องเดินตากฝนไปขึ้นเครื่องบินที่จองที่หลุมจอดแน่เลยเรา...แงๆ อ้าว....ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว ง่วงนอนจังเลย


นั่นไง ฝกตกพลั่กๆเลย แต่ๆ ทางแอร์เอเชียเขาคำนึงตรงจุดนี้ไว้แล้ว เลยเตรียมพร้อมเรื่องร่มมาให้ผู้โดยสารใช้ระหว่างเดินจากอาคารมายังตัวเครื่องบินครับ

ภาพแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อย ซึ่งก็ครั้งนี้ครั้งแรกหล่ะ เลยขอบันทึกไว้สักภาพ สีสวยทีเดียวเชียว


พอขึ้นเครื่องปุ๊บเราทั้งสองก็เตรียมตัวหลับกันเลย เพราะง่วงนอนกันมาทั้งคืน เผลอแพลบเดียว อ้าว....เห็นยอดอะไรแหลมๆโผล่มาจากม่านหมอกข้างล่างพื้นดินของประเทศอินโดฯแล้ว ณ เวลานี้ 8:23 น. (เวลาในอินโดเท่ากับไทย)

นั่นไง...ดูกันชัดๆนะครับ สิ่งที่ประเทศเราไม่มีแต่วันนี้เรามาเห็นถึงต่างแดน ณ อินโดนีเซีย นั่นคือภูเขาไฟนั่นเอง ! ภูเขายอดแหลมรูปทรงที่ไม่ชินตาเริ่มปรากฎกายเผยโฉมให้เราได้ยลอยู่ ณ เบื้องหน้าตรงนี้แล้ว

โอววว.....ได้เห็นแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นไม่ใช่ย่อยเลยนะเนี่ย


เครื่องบินเคลื่อนตัวเลาะชายฝั่งของเกาะชวาแล้ว เห็นได้จากพื้นน้ำสีฟ้าเข้มตัดกับพื้นดินเบื้องล่าง แถมยังมีวิวภูเขาไฟ 3 หรือ 4 ลูกอยู่ไกลออกไปอีกด้วย


เครื่องบินรู้สึกจะบินอ้อมให้เราเห็นภูเขาไฟหรืออย่างไร เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวเลยซุมเข้าไปดูแบบใกล้ๆกันซิ แต่ละลูกมีชื่อว่าอะไรกันนั้นคงต้องไปหาข้อมุลเพิ่มเติมกันแล้วหล่ะครับ หรือไม่ก็ต้องตามไปอ่านกระทู้คุณหนุ่มเมืองกรุงซึ่งได้บรรยายชื่อไว้  แต่แค่ชมวิวอย่างเดียวเราก็เต็มอิ่มแล้วครับ


อีกสักรูปก่อนเครื่องบินจะลดระดับลงจอดที่สนามบินเมืองโซโล แต่ช้าก่อน....มองเห็นอะไรกันมั้ยครับ ถ้าดูไม่ผิดภูเขาไฟด้านซ้ายจะปล่อยควันสีขาวฉุยๆออกมานะเนี่ย ยิ่งสังเกตก็จะเห็นด้านบนยอดแหลมเป็นสีขาวด้วยนะเนี่ย ถ้าทายไม่ผิดน่าจะเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับอันโด่งดังที่มีชื่อว่า Merapi ตามแผนที่ที่บอกไว้ว่าตั้งอยู่ที่เกาะชวาตอนกลาง


เวลาประมาณ 8:51 น. เครื่องบินก็ร่อนลงที่สนามบินเมืองโซโล ประเทศอินโดนีเซียอย่างปลอดภัย ที่นี่เป็นสนามบินขนาดเล็กมีอยู่ชั้นเดียว ก่อนเข้าสนามบินก็ต้องเขียนใบ Declare และใบ Immigration แบบเดิม แต่ขั้นตอนไม่นานมาก แป๊บเดียวก็ผ่านตม.ออกมาได้

ออกจากสนามบินก็มองหาคนที่ยกป้ายชื่อตัวเอง เพราะเราได้จองรถไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะให้มารับที่สนามบิน โดยเรามีแผนเที่ยวคร่าวๆคือไปวังสุลต่าน Kraton Mangkunegaran ที่อยู่ในเมืองโซโลนี้เอง และให้ขับไปส่งที่ที่พักแถวๆบุโรพุทโธ โดยระหว่างทางก่อนถึงเมืองย็อกยาการ์ตา(เรียกย่อๆว่า ย็อกย่า)นั้น ให้แวะมรดกโลก ปรัมบานัน และแวะสถานีรถไฟในเมืองย็อกยาเพื่อจองตั๋วรถไฟไปเมืองสุราบายาในวันรุ่งขึ้นซะก่อน และแวะวัดเล็กๆคือวัดเมนดุตและวัดปะวนก่อนถึงที่พักนั่นเอง

นั่นไง พอมองไปก็จะเจอป้ายชื่อตัวเองได้ไม่ยาก รถที่มารับเราเป็นรถ Toyota Kijang Innova รุ่นใหม่เอี่ยมเลย สนนราคาเช่าก็ 450,000 Rp.(~ 1,800 บาท) ซึ่งต่อแล้วต่ออีกก็ไม่ยอมลดราคา เลยก็ต้องยอมที่ราคานี้เพราะเจ้าอื่นราคาแพงกว่านี้อีก บางรายเสนอมาทะลุ 850,000 Rp. ก็มี ซึ่งทั้งหมดนี้เราติดต่อราคาทางอินเตอร์เน็ตก่อนมาไว้แล้วครับ ไม่ได้มาหาเอาที่สนามบินเพราะคงต้องแพงกว่านี้มากๆ สภาพรถก็เลือกไม่ได้


จากสนามบินมาที่วังสุลต่าน Kraton Mangkunegaran (Kraton แปลว่า "วัง" นะครับ) ใช้เวลา 10-15 นาทีก็ถึง เราเข้าไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปชม ราคาตรงตามที่หาข้อมูลมาคือคนละ 10,000 Rp. แถมยังมีไกด์หญิงชาวอินโดที่พูดภาษาอังกฤษตามไปบรรยายให้เราทั้งสองอีกด้วย ถือว่าคุ้มมากๆ


เข้ามาภายในโถงของวังกันแล้วครับ มีรูปปั้นสิงห์สีทองอร่ามมารอต้อนรับเราหน้าทางขึ้นบันได


เดินเข้าไปข้างในเพดานกับโคมไฟสวยงามมาก และที่ห้องโถงนี้ยังมีกิจกรรมเต้นรำและการแสดงในวันพฤหัสบดีช่วงเช้าๆด้วย


ถ้าข้อมูลไม่ผิดที่เมืองโซโลหรือชื่อเดิมคือ Surakarta จะมี 2 วังสุลต่าน คือ 
1.Kraton Surakarta Hadiningrat และ 
2.Kraton Mangkunegaran ที่เรากำลังชม ณ ขณะนี้

โดยที่นี่ยังมีราชวงค์พำนักอยู่แยกที่พักโดยด้านซ้ายของอาคารนี้เป็นของผู้หญิงและด้านขวาอาคารเป็นของผู้ชาย


พื้นหินอ่อนของวังสุลต่านขัดมันอย่างดี วับวาวมากๆ บนผนังมีรูปสุลต่านและราชวงค์แขวนประดับอยู่

พอเดินเข้าไปในห้องด้านขวามือนี้ เราก็ไม่สามารถถ่ายรูปได้แล้ว โดยจะเป็นข้าวของเครื่องใช้จริงๆ ที่ราชวงค์นี้ใช้และเก็บสะสมมา มีหลากหลายชนิดมาก บรรยายไม่ได้ครบถ้วนแน่ๆ เช่นเงินเหรียญสมัยก่อนทั้งที่มาจากต่างประเทศและในประเทศ สิ่งของเครื่องใช้ของสุลต่าน กระจับ จับปิ้ง กริช ดาบ แหวน กำไล ฯลฯ



เดินมาด้านข้างๆวังบ้างครับ จะเห็นวิวการตกแต่งสวนและมีรูปปั้นประดับไว้ข้างๆทางเดิน ร่มรื่นดี


เราเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ภายนอกอาคารซึ่งเป็นส่วนข้างหลังแล้ว เราก็จะเจอสิ่งของที่ระลึกจากประเทศไทยเราที่ทางราชวงค์ที่นี่เขาเก็บรักษาอยู่ นั่นคือ หัวโขน ในเรื่องรามเกียรติ์นั่นเอง จะสีงเกตเห็นคำว่า SIAM อยู่ใต้ตู้กระจก ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวละครอะไร แต่น่าจะเป็นยักษ์เพราะมีเขี้ยว


เดินไปอีกหน่อยก็จะเห็นตู้กระจกที่เก็บหน้ากาก สไตล์บาหลีเขาหล่ะ


แล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้นทัวร์ชมวังสุลต่าน Kraton Mangkunegaran กันแล้ว ชักภาพเก็บไว้สักหน่อยครับ


พอจบการเยี่ยมชมวังสุลต่าน เรามีเวลาเหลืออยู่แล้วสำหรับวันนี้ เราก็เลยบอกให้คนขับพาไปอีกวังหนึ่งคือ วังสุลต่าน Kraton Surakarta Hadiningrat ซึ่งพอไปถึงก็ปิดไม่ให้เข้าไป ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปด้านนอก แต่ก็ต้องเสียเงินค่าจอดรถ 3,000 Rp. อยู่ดี


ไหนๆก็มาถึงแล้ว เก็บภาพด้านหน้าวังสุลต่านกันก่อนครับ


จ๊ะเอ๋ขอถ่ายด้วยคนด้วยค่ะ

ต่อจากนี้ไปก็ให้คนขับวิ่งยาวไปเมืองย็อกยาการ์ตาเลย แต่ด้วยความที่เคยทาน Bakso Ayam ตอนไปบาหลี เลยอยากมาชิมอีกครั้งที่นี่ เลยให้คนขับพาไปหา แต่ก็เจอเพียง Bakso ธรรมดา(Bakso แปลว่าก๋วยเตี๋ยวน้ำ) เลยได้ทานแบบธรรมดาที่มีลูกชิ้นเพียงแค่นั้น และจากนั้นก็หลับยาวครับ...คร่อก...ฟี้....คร่อก...ฟี้....zzz...zzzzzz.zzzzzz 

มาตื่นอีกทีจากการปลุกของคนขับคือ ปรัมบานัน พอลงจากรถแบบง่วงๆ(วันนี้ผมง่วงมากๆเพราะเมื่อคืนนอนหลับไม่ได้เต็มที่) ก็เดินไปถามราคาตั๋วที่เคาน์เตอร์ ซึ่งราคาก็ตามที่หาข้อมูลมาคือ คนละ 10 USD เอ่อ....เสียดายเงินครับ ทริปนี้เน้นประหยัด และอีกอย่างดูๆแล้วจากภาพและโมเดลจำลองก็ไม่เห็นจะสวยงามอะไรมากมายเลย เลยถามๆกันว่าจะดูหรือเปล่า ได้ข้อสรุปคือ เราไม่เข้าไปดูครับ เพราะเห็นว่าไม่คุ้ม ไปดูอีกทีที่บุโรพุทโธดีกว่า ที่นี่คุ้มกับเงินที่เสียไปแน่ๆ เลยเดินกลับมาขึ้นรถและบอกให้คนขับบึ่งต่อไปยังสถานีรถไฟ


ไม่นานก็มาถึงแล้วที่สถานีรถไฟ Tugu ในเมืองเมืองย็อกยาการ์ตา เกือบๆบ่ายสองโมง เราต้องจอดแวะก่อนเพื่อไปจองตั๋วเที่ยวพรุ่งนี้บ่าย โดยจะเป็นขบวน ARGO WILIS สาย KA 6 ที่นั่งแบบ Excecutive เลยนะเนี่ย ราคาก็ไม่แพงมากนัก คนละ 100,000 Rp. หรือ 400 บาท แต่เข้าไปแล้วงงครับ....มีเรื่องจะเล่าคือ


เข้าไปแล้วด้านใน ก็งงๆสัก 2-3 นาทีก่อนจะตั้งสติได้ เขาจะมีระบบคิวแบบธนาคารบ้านเรานี่แหล่ะ ซึ่งต้องกดคิวแล้วคอมฯจะปริ้นท์หมายเลขคิวให้ เราก็ไปกดมาโดยมีชาวอินโดใกล้ๆช่วยกดมาให้ ได้คิวที่ 681 ซึ่งตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกันเลย เพราะอะไรเหรอครับ ก็เพราะเขาประกาศเป็นภาษาอินโดไงครับ ฟังไม่รู้เรื่อง เห็นมีคนเดินไปที่เคาน์เตอร์ตามที่เสียงประกาศเรียกทีละคน แต่เอจะฟังได้ไงว่าถึงคิวไหนแล้ว มองไปมองมา เจอแล้ว ! มีตัวเลขบอกที่จอคอมใกล้ๆที่กดคิวนั่นเอง โอเค...หมดปัญหาไปแล้ว 1 step แต่ปัญหาต่อไปคือ....

แล้วเราจะจองตั๋วกันยังไงหล่ะ เพราะเห็นแต่ละคนเดินถือกระดาษสีขาวไปที่เคาน์เตอร์กันทั้งนั้น งั้นมองหากระดาษแบบนั้นดีกว่า.....นั่นไงเจอแล้ว วางอยู่ที่โต๊ะและมีปากกาด้วย ดีใจจัง แต่ๆๆ.....จะเขียนยังไงดีเพราะภาษาในกระดาษนั้นมันเป็นภาษาอินโดฯทังหมดเลย ไม่มีภาษาอังกฤษสักกะตัว ทำไงดีหว่า?? ?......

คิดไปคิดมาเห็นพี่ผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวดูดี ออกแนวทำงานแบบใช้ภาษาอังกฤษบ้างเลยลองเข้าไปถามด้วยภาษาอังกฤษ .....โป๊ะเช๊ !!!....พี่ท่านตอบกลับมาด้วยภาษาอังกฤษครับ!! เราเลยสอบถามถึงวิธีการจองตั๋วของเราโดยบอกรายละเอียดของเราไป แล้วเขาก็จะอธิบายหัวข้อต่างๆที่เป็นภาษาอินโดที่ให้เติมเป็นภาษาอังกฤษกับเรา ได้ความจนครบถ้วนก็ต้องขอขอบคุณกับน้ำใจพี่คนนี้มากๆครับ 

ต่อจากนั้นเมื่อเราเขียนข้อมูลจนครบถ้วนในกระดาษสีขาว เราก็มายืนรอที่เรียกคิวกันต่อ ตอนนี้ถึงประมาณคิวที่ 600 แล้ว เหลืออีกเกือบร้อย สุดท้ายก็ถึงคิวเรา แล้วไปยื่นกระดาษที่เคาน์เตอร์และจ่ายเงินพร้อมกับได้ตั๋วมา ทั้งหมดตั้งแต่แรกจนได้ตั๋วใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ซึ่งนึกในใจว่าจะรอมาซื้อในวันพรุ่งนี้เห็นที่จะลำบากซะแล้ว โชคดีที่มาจองในวันนี้ ตั๋วเดี๋ยวไว้รอดูในวันเดินทางนะครับ


จากสถานีรถไฟตูกู ก็เดินทางต่อมาถึงที่นี่ จันดิเมนดุต (Candi Mendut) (อ่านว่าจันดินะครับ ถามชาวอินโดมา เพราะตอนแรกอ่านว่า "จันทิ" แกงงครับ แล้วตอบกลับมาว่า "จันดิ") 

มีคนดูแลในนั้นกวักมือเข้าไปด้านใน ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าจะเรียกไปจ่ายเงินค่าเข้าชมซะอีก แต่ที่ไหนได้ เรียกให้เข้าไปกราบพระข้างในครับ


ด้านในนี้ยังไม่เสียเงินครับ ให้เราได้ถ่ายรูปพระสถูปจำลองกันไปก่อน เดินไปก็ได้ยินเสียงบทสวดมนต์จากพระครับ อิ่มใจยังไงไม่รู้ โอ๊ะโอ...วันนี้วันเข้าพรรษานี้เนอะ มีพระมาชุมนุมกันในนี้ด้วย


เข้าไปกราบไหว้พระประธานกันอีกครับ ละแวกข้างๆจะทำเป็นซุ้มด้วยไม้ไผ่และใบลานประดับด้วยดอกไม้สวยๆ เห็นแล้วชื่นใจจริงๆครับว่าพุทธศาสนายังคงมีอยู่ในดินแดนแห่งนี้


จ๊ะเอ๋ขอชักภาพซะหน่อย


 ไหว้พระก่อนครับ


ด้านข้างก็จะมีศาลาภายในมีพระแกะสลักหินอยู่เช่นกัน รอบๆข้างรายล้อมด้วยต้นบัว ทำให้สดชื่นขึ้นมาจริงๆ


มีรูปปั้นยักษ์จีนเหมือนๆกับวัดโพธิ์บ้านเราเลย


ตรงด้านบนหลังคาของศาลาจะมีชฎา 5 ชั้นอยู่ 3 ชฎา ไม่แน่ใจว่าเขาทำไว้มีความหมายอย่างไร


คราวนี้เราต้องเสียเงินค่าเข้าชมกันแล้ว คนละ 3,300 Rp. มากกว่าเดิม 300 Rp. แต่ก็มีตั๋วให้อย่างชัดเจน โดยตั๋วเข้าชมที่จันดิเมนดุตนี้สามารถเข้าชมที่จันดิปะวนได้ด้วยเพราะค่าเข้ารวมเข้าไปด้วยกันแล้ว


เดินขึ้นตามบันไปไปด้านบนแล้วเข้าไปภายในครับ จะเจอกับพระประธานปางปฐมเทศนา เราเข้าไปกราบท่านกันครับ


ภายในจริงๆแล้วมีพระโพธิสัตว์อีกสองพระองค์นั่งขนาบข้างพระประธานครับ

ด้านซ้ายมือ(มองไปหาพระประธาน)มีพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเจ้าแห่งความเมตตากรุณา ในปางประทานพรด้วยพระหัตถ์ขวา และ ด้านขวามือ(มองไปหาพระประธาน)มีพระโพธิสัตว์วัชรปาณี ผู้ถือสายฟ้าเป็นอาวุธนั่งประทับอยู่

=====
ข้อมูล : คุณหนุ่มเมืองกรุง



พอเดินออกมาด้านนอกก็จะเห็นภาพแกะสลักลายนูนต่ำอยู่รอบๆจันดิเมนดุตแห่งนี้ ในภาพเป็นการเล่าเรื่องราวในพุทธประวัติหรือไม่ก็เป็นนิทานชาดก (ด้านขวา)


ด้านซ้าย



และด้านตรงกลาง


ก่อนจะจากจันดิเมนดุตนี้ไปขอลาด้วยภาพวิวด้านข้างพร้อมๆกับรากของต้นไทรที่อยู่ข้างๆนะครับ แถมแม่ไก่ให้อีกตัวด้วยหล่ะ


ต่อไปให้รถไปแวะที่จันดิปะวน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจันดิเมนดุตมากนัก พอลงจากรถก็จะมีแม่ค้าซึ่งขายของที่ระลึกเข้ามาตอมถึง 2-3 คนด้วยกัน แต่เราแค่ส่ายหน้าว่าไม่เอา


ที่จันดิปะวนจะเล็กกว่าจันดิเมนดุตมาก และภายในก็มีแค่ซุ้มอย่างเดียว โดยไม่มีพระบรรจุไว้แต่อย่างใด เลยเก็บมาเพียง "กาล" ที่เป็นลักษณะคล้ายหน้าบรรณมาแค่นั้น


หินแกะสลักด้านข้าง


หินแกะสลักด้านหน้า 


ต่อจากนั้นก็มาถึงที่พักของเราแล้วในเวลาประมาณ 4 โมงเย็น Pondok Tingal Hotel ซึ่งอยู่ก่อนที่จะถึงบุโรพุทโธเพียง 600 - 800 เมตร เนื่องจากเราจองที่พักที่มโนห์ราไม่ได้นั่นเอง แต่โดยรวมแล้วก็ใช้ได้ แต่เก่าไปมากทีเดียว ดีที่ราคาถูกเพียง 80,000 Rp. หรือ 240 กว่าบาทเอง


ด้านหน้าห้องพักเรา


สภาพแบบว่า มีให้นอนก็ดีแล้ว เรานอนพักเอาแรงสักชั่วโมงครึ่งก่อน แล้วค่อยอาบน้ำแต่งตัวเดินออกมาหาอะไรทานด้านนอก


เดินไปตามถนนที่จะไปบุโรพุทโธ ณ ยามนี้อากาศเย็นลงจนน่าแปลกใจว่าทำไมเย็นขนาดนี้นะ เดินไปสักพักก็เจอร้านอาหารข้างทางซึ่งดูจากคนรอทานแล้วสรุปได้ว่าท่าทางจะอร่อยแน่ๆ เราเลยหยุดทานที่ร้านนี้ ผมสั่ง Nasi Goreng หรือข้าวผัดนั่นเอง ส่วนจ๊ะเอ๋สั่ง สะเต๊ะกับข้าวเปล่า ปรากฎว่าอร่อยจริงๆด้วย ลืมบอกไปว่าคนอินโดส่วนใหญ๋จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ซึ่งลำบากพอควรในการถามอะไร แต่ก็รอดอดตายมาได้ในมื้อนี้


ทานเสร็จก่อนออกจากร้านก็ขอถ่ายรูปพ่อครัวที่ทำอาหารอร่อยๆให้เราทานซะหน่อย พอผมยกกล้องพ่อครัวที่กำลังง่วนทำอาหารอยู่ก็ยกมือทักทายและยิ้มแย้มกับพวกเรา คนอินโดฯอารมณ์ดีนะครับ

เราออกจากร้านอาหารที่เพิ่งทานข้าวมาเดินต่อไปตามถนนมุ่งหน้าไปสามแยกที่จะไปบุโรพุทโธ ที่สามแยกนี้จะมีของขายเยอะแยะเลย ทั้งโรตีและขนมปังปิ้งแบบอินโดฯเขาหล่ะ เรามาตอนนี้ยังไม่ซื้ออะไรแต่เล็งๆไว้ว่าจะมาทานในวันพรุ่งนี้ตอนลงมาจากบุโรพุทโธ


สุดท้ายก็เดินย้อนกลับทางเดินผ่านร้านสะดวกซื้อก็เลยแวะซื้อน้ำและไอศกรีมก่อนจะกลับไปยังที่พัก ตรงนี้เป็นร้านอาหารของโรงแรมที่พักเราครับ เปิดไฟซะดูดีเลย แต่ไม่มีคนมาทานสักคน


ตรงนี้น่าจะเป็นรูปสัตว์ในวรรณคดีของชาวอินโดเขา ตัวสิงห์ฝ่ายคนดีคล้ายระบำบารองที่เคยเห็นในบาหลี แต่ดูแล้วน่ากลัวจัง


หนังใหญ่ ศิลปะการเชิดหนังหรือเชิดหุ่น หรือภาษาชวาเรียกว่า “วายัง” คล้ายๆในภาคใต้เรา


ถึงเวลาเข้านอนแล้ว เพื่อจะได้ตื่นเช้าประมาณตี 5 เดินไปยังบุโรพุทโธเพื่อเข้าไปชมพระอาทิตย์ยามเช้าในวันรุ่งขึ้น (ขออภัย มือสั่นไปหน่อยครับ ภาพเลยเบลอ)

แล้วมาติดตามกันต่อในวันรุ่งขึ้น 'บุโรพุทโธในยามรับแสงอรุณของวันใหม่' ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาชมและลงชื่อครับ ราตรีสวัสดิ์ (_/\_)

Published on http://www.pantip.com on [ 29 ก.ค. 51 21:19:27 ] as below link 
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/07/E6843422/E6843422.html


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น